คาร์ราเกอร์ ในความทรงจำ

คาร์ราเกอร์ ในความทรงจำ

คาร์ราเกอร์ ในความทรงจำ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : จะบอกว่าช็อกก็คงไม่ใช่กับข่าวที่ตีออกมาจนเป็นหน้าหนึ่งของทุกสื่อหน้ากีฬาเมืองผู้ดี

เมื่อ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ประกาศอำลา "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ด้วยการแขวนสตั๊ด

แต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่า

คาร์ราเกอร์ เป็น "ลิเวอร์พูล" ทั้งตัวและหัวใจ เมื่อเขาเดินเข้าสู่เคหะสถานแห่งนี้ตั้งแต่ 9 ขวบ จนกระทั่งนาทีปัจจุบันอายุ 35 ปี

ขออนุญาตเขียนจากความทรงจำที่งัดมาได้นะครับ


เจมี่ คาร์ราเกอร์ ตอนที่ขึ้นมาเล่นใหม่ๆ เขาเล่นมิดฟิลด์ตัวรับ และผมได้เห็นประตูแรกที่เขาทำได้ก็จากการ "ถ่ายทอดบันทึกการแข่งขัน" คืนวันเสาร์ หลังจากผมกลับจากงานประจำปีวัดปริวาส เมื่อมกราคม ปี 1997

นั่นเป็นเกมแรกที่เขาได้ลงตัวจริง และทำประตูได้ทันที หลังจากก่อนหน้านี้เป็นตัวสำรองมา 2 เกม

ที่จำได้เพราะเมื่อก่อนนี้ ไม่ได้มีการถ่ายทอดสดอย่างเอิกเกริกจนชวนอ้วกแตกแบบทุกวันนี้ ฟุตบอลอังกฤษหาดูยังยากอยู่เมื่อก่อนนี้ และการเป็นนักศึกษาคงจะไม่มีปัญญาติดเคเบิ้ลทีวี

ยุคนั้นยังเป็น "ไอบีซี" และ "ยูทีวี" ก่อนจะรวบรวมเป็น "ยูบีซี" นะครับ

คาร์ราเกอร์ โหม่งเข้าไป ผมยังนั่งมองว่า "ไอ้นี่ใคร" ดีใจแบบลืมโลก จนกระทั่งได้ยินเสียงผู้บรรยายบอกว่า "เจมส์ คาร์ราเกอร์"

ใช่ครับ! เช้าวันรุ่งขึ้นผมรีบไปซื้อหนังสือพิมพ์มาดูว่า "ใช่หรือไม่" และก็เป็นจริงเด็กคนนั้นชื่อว่า "เจมส์ คาร์ราเกอร์"

กอปรกับตัวผมกำลังทำงานชุดใหญ่ส่งอาจารย์ทั้ง "แผ่นพับ, หนังสือพิมพ์, นิตยสาร และปฏิทิน" ทั้งหมด 4 อย่าง เพื่อให้เรียนจบปี 3 วารสารศาสตร์ นิเทศบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

แผ่นพับผมทำหัวเรื่องว่า "คุณรู้จักลิเวอร์พูล...แค่ไหน" ซึ่งแผ่นพับดังกล่าวหน้าหลังสุด ผมออกแบบเป็นชื่อนักเตะชุดปัจจุบันตอนนั้น

ก็ใส่ชื่อนักบอลคนสุดท้ายหมายเลขนี้ว่า "เจมส์ คาร์ราเกอร์"

จากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนจาก "เจมส์" มาเป็น "จามี่" และเป็น "เจมี่" ตามยุคภาษาเข้าถึง ซึ่งตัวเขาถือเป็นนักบอลที่อาจจะเรียกได้ว่า "ลูกเป็ดขี้เหร่" ก็ว่าได้

คาร์ราเกอร์ ไม่สามารถที่จะยึดตำแหน่งตัวจริงได้

ผิดกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ได้แชมป์ยูธเอฟเอ คัพ ปี 1996 อย่าง ไมเคิล โอเว่น ที่โด่งดังเป็นพลุแตก


คาร์ราเกอร์ เล่นได้ทุกตำแหน่งในแนวรับทั้ง เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ, แบ็กซ้าย, แบ็กขวา และเป็นอะไหล่ชิ้นสำคัญในชุด 3 แชมป์ บอลถ้วย กระทั่งได้มายืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟแบบเต็มตัวในปี 2005 ยุคของ ราฟาเอล เบนิเตซ

ตรงนี้แหละที่ทำให้ คาร์ราเกอร์ ได้รับการยกย่องอย่างมาก และเป็นเซ็นเตอร์เบอร์ 3 ของประเทศ เป็นรองเพียง ริโอ เฟอร์ดินานด์ และจอห์น เทอร์รี่ ซึ่งแฟนบอลยุคนั้น ถ้าไม่เกรียนคงจะยอมรับและทราบกันดี

เขาเป็นตัวหลักให้ทีมมานับจากนั้นคว้าแชมป์ยุโรป ต่อด้วยเอฟเอ คัพ และเกือบได้แชมป์พรีเมียร์ลีก จนกระทั่งมาเสียตำแหน่งให้กับ มาร์ติน สเคอร์เทล และ ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์ เมื่อซีซั่นกว่าๆ ที่ผ่านมา

นาทีปัจจุบัน คาร์ราเกอร์ อาจจะกลับมายึดตัวจริงได้ในนัดสองนัดหลัง แต่มันไม่ได้จีรังยั่งยืนอะไร เมื่อถูกอายุและสังขารมากกวักมือถามหา

เขาจะปิดตำนานตัวเองเมื่อปิดซีซั่น หลังจากรับใช้ทีมชุดใหญ่ยาวนาน 16 ปี ตั้งแต่ยุคของ รอย เอฟแวนส์ ที่ให้โอกาส, เอฟแวนส์ คุมทัพร่วมกับ เชราร์ อุลลิเยร์ กระทั่ง อุลลิเยร์ คุมเดี่ยวพร้อมกับให้เขาเล่นทุกตำแหน่งในแนวรับ, ราฟา เบนิเตซ ที่ปรับให้ชีวิตใหม่ เรื่อยมาถึงยุค รอย ฮอดจ์สัน, เคนนี่ ดัลกลิช และเบรนแดน ร็อดเจอร์ส

เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่ลงเล่นให้กับทีมทีมเดียว ละม้ายกับนักเตะหลายต่อหลายคน และคนต่อไปจากนี้ก็คือ ไรอัน กิ๊กส์ แห่งฟากฝั่งยูไนเต็ดแน่นอน

การเลิกเล่นไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรกับทีม แต่สำหรับในเรื่องของแฟนบอล มันก็ไม่ต่างอะไรจากการสูญเสียเพื่อน, พี่ หรือว่าน้อง บางทีเลยเถิดไปเป็นน้าที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำแทบจะทุกสัปดาห์

มันสะเทือนซางบอกไม่ถูกเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะมีการเล่นที่ผิดพลาดบ่อย พังประตูตัวเองบ่อย แต่ด้วยความทุ่มเทจนเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของสโมสร บัดนี้จะเหลือเพียง สตีเว่น เจอร์ราร์ด เท่านั้นที่เป็น "สเก๊าเซอร์"

อย่างที่บอกไปว่า "ไม่เสียดาย"

แต่ "ใจหาย" ขอรับ!

เรื่องโดย "บี แหลมสิงห์"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook