My Liverpool

My Liverpool

My Liverpool
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : หากเปรียบกับเส้นทางแล้ว การเดินทางในศึกพรีเมียร์ลีกของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้กินระยะทางไปแล้วประมาณ 20 เปอร์เซนต์ของการเดินทางทั้งหมดแต่สิ่งที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส และลูกทีมของเขาแสดงออกมาให้แฟนๆได้เห็นกัน

ก็คือพวกเขาเป็นทีมที่มีแนวรุกที่เฉียบขาดและมีขุมกำลังที่มากพอสำหรับการจะเบียดลุ้นความสำเร็จไปพร้อมกับทีมอื่นๆจนถึงเดือนพฤษภาคมปีหน้า

สุดสัปดาห์นี้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้มีโปรแกรมลงเล่นในเกมพรีเมียร์ลีกอังกฤษเหมือนที่ผ่านๆมาเพราะต้องหลีกทางให้กับโปรแกรมการแข่งขันของทีมชาติต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกชาติในยุโรปที่กำลังเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก

โดยเกมสุดท้ายก่อนหน้าจะเว้นวรรคให้กับเกมทีมชาตินั้น ลิเวอร์พูล ทำผลงานกันได้ดีทีเดียวเมื่อเก็บ 3 คะแนนที่ต้องการได้สำเร็จหลังเปิดบ้านเอาชนะผู้มาเยือนอย่าง "ปราสาทเรือนแก้ว" คริสตัล พาเลซ ลงได้ 3-1

ลิเวอร์พูล หวังอย่างยิ่งที่จะเก็บชัยชนะในบ้านให้ได้ในการเจอกับ พาเลซ เพราะพวกเขามีแต้มตามหลัง อาร์เซน่อล ทีมจ่าฝูงอยู่เพียงแค่สองแต้มและกับการที่ได้ลงเล่นก่อนนั่นทำให้หาก ลิเวอร์พูล เอาชนะได้ พวกเขาก็จะมีลุ้นขึ้นไปนำอยู่ด้านบนตารางอีกครั้ง

โดย อาร์เซน่อล จะต้องกับงานที่ยากเหมือนกันเมื่อจะต้องออกไปเยือนรัง เดอะ ฮอว์ธอร์นส์ ของ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่ยังใช้ สตีฟ คล้าร์ก อดีตมื่อขวาของ เคนนี่ ดัลกลิช ทำทีม โดยเกมก่อนหน้ามาเยือน ลิเวอร์พูล นั้น ทีมของ คล้าร์ก เพิ่งจะหักปากกาเซียนด้วยการบุกไปล้มทีม "แชมป์เก่า" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงได้ถึง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

เพียง 45 นาทีแรกของเกม ลิเวอร์พูล ก็ได้ประตูนำห่าง พาเลซ ของ เอียน ฮอลโลเวย์ ไปแล้วถึง 3-0 จาก หลุยส์ ซัวเรซ ที่กลับมาทำประตูในลีกต่อหน้าแฟนๆในแอนฟิลด์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ติดโทษแบนยาวไปตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายน

รวมถึงประตูจาก ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ที่นำเป็นดาวซัลโวของลีก และประตูปิดท้ายจาก สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมคนเก่งที่สังหารจุดโทษเข้าไปไม่เหลือพร้อมกับทำสถิติยิงประตูในลีกให้กับ ลิเวอร์พูล ได้มา 15 ฤดูกาลติดต่อกันซึ่งเป็นสถิติที่ไม่เคยมีนักเตะของลิเวอร์พูลคนใดเคยทำได้มาก่อนด้วยหากจะย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา

ประตูตีไข่แตกของ พาเลซ ประตูเดียวในเกมนี้มาจากลูกโหม่งของ ดไวท์ เกยล์ แต่ก็ไม่อาจจะหยุดไม่ให้ ลิเวอร์พูล ชิงตำแหน่งจ่าฝูงมาจาก อาร์เซน่อล ได้สำเร็จแม้อาจจะเป็นแค่การได้ครองเพียงชั่วคราวก็ตามเพราะทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ จะลงเล่นในวันต่อมาและต้องบุกไปเยือน เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน นั่นเอง

นอกเหนือจากผลงานที่น่าประทับใจแล้ว ยังมีความพิเศษของบรรยากาศจากเกมล่าสุดที่แอนฟิลด์ให้ได้เห็นอีกทั้งการนำลูกชายคนใหม่ของครอบครัวของ หลุยส์ ซัวเรซ

ที่ตั้งชื่อทายาทคนล่าสุดของเขาว่า เบนจามิน มาอวดแก่แฟนๆในสนามแล้ว ด้านบนอัฒจันทร์ท่ามกลางเหล่าแฟนบอลยังได้เห็นภาพของ เคนนี่ ดัลกลิช อดีตผู้เล่นและอดีตผู้จัดการทีมขวัญใจของบรรดา เดอะ ค็อป มานั่งชมเกมอยู่ในสนามด้วยเช่นกัน

การกลับมาที่แอนฟิลด์หนนี้ของ ดัลกลิช ไม่ใช่แค่การมาพักผ่อนดูฟุตบอลที่เขารักเพียงอย่างเดียว ดัลกลิช ได้ตัดสินใจรับคำเชิญจากสโมสรในการมารับตำแหน่งเป็นบอร์ดที่ไม่ต้องรับผิดชอบในด้านการบริหาร

แต่เขาจะมาให้คำแนะนำและมุมมองที่ผ่านมาในวัย 62 ปีของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่กำลังพาทีมทำผลงานได้ดีแต่ปราศจากประสบการณ์ในการทำทีมลุ้นแชมป์มาก่อน

ย้อนกลับไปตอนจบฤดูกาล 2011/12 ที่ ดัลกลิช พาทีมเข้าชิงฟุตบอลถ้วยถึง 2 รายการและได้แชมป์มาครอง 1 รายการทว่าเขาก็โดนคำสั่งของบอร์ดนำโดย จอห์น ดับเบิ้ล ยู เฮนรี่ ประกาศปลดจากตำแหน่งไปท่ามกลางความตกใจและความเสียใจทั้งของตัวเขาเองและแฟนๆลิเวอร์พูลทั่วโลก

อย่างไรก็ดีการดึง ดัลกลิช ที่ยังเป็นที่รักของแฟนๆลิเวอร์พูลอย่างไม่มีเสื่อมคลายกลับมาในเที่ยวนี้ ถือเป็นสิ่งที่แฟนๆต้องการอย่างยิ่งที่จะได้เห็น ดัลกลิช กลับมาอยู่กับทีมที่ตัวเขารักและคนรักเขาอย่างมากอีกครั้ง

หลังจากหมดโปรแกรมทีมชาติไปแล้ว ลิเวอร์พูล จะมีเกมลีกเกมถัดไปรออยู่นั่นคือการจะต้องออกไปเยือนรัง เซนต์ เจมส์ ปาร์ค ของทีม "สาลิกาดง" นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด โดยจะเล่นกันเป็นคู่แรกสุดของวันเสาร์ที่ 19 ต.ค.

ซึ่งอย่างที่เห็นกันว่าผลงานของ นิวคาสเซิ่ล ในฤดูกาลนี้แม้จะไม่ดีเท่ากับฤดูกาลแรกที่ อลัน พาร์ดิว เข้ามาคุมและจบด้วยการพาทีมไปเล่นในรายการอย่าง ยูโรป้า ลีก แต่เด็กๆของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก็หมดสิทธิ์จะประมาทเช่นกัน

พูดถึงทีมชาติแล้ว ยังจำชื่อของ ฟาบิโอ บอรินี่ กันได้หรือไม่ครับ กองหน้าชาวอิตาเลี่ยนรายนี้ตัดสินใจย้ายไปเล่นให้ ซันเดอร์แลนด์ ในแบบยืมตัวเป็นเวลาหนึ่งฤดูกาลเต็มๆเมื่อช่วงซัมเมอร์

ล่าสุด เซซาเร่ ปรันเดลลี่ เทรนเนอร์ของทีมชาติอิตาลี ได้เรียกตัวดาวเตะของลิเวอร์พูลรายนี้ไปติดทีมที่จะลงเล่นเกมฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือกที่เหลืออยู่สองเกมสุดท้ายกับ เดนมาร์ก และ อาร์เมเนีย

อิตาลี ของ ปรันเดลลี่ นั้นผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายที่ บราซิล ในกลางปีหน้าเป็นที่แน่นอนแล้วและนั่นทำให้ อิล ซีที คนปัจจุบันตัดสินใจที่จะเรียกผู้เล่นบางคนเข้ามาเพื่อทดลองทีม

ในรอบคัดเลือกที่ผ่านมานั้น อิตาลี ลงเล่นไปแล้ว 8 เกมโดยปราศาจากความพ่ายแพ้โดยเอาชนะคู่แข่งไปได้ 6 เกมและเสมออีก 2 เกม โดยพวกเขาจะไปเยือน เดนมาร์ก ในวันศุกร์ที่ 11 ต.ค.นี้ ก่อนจะกลับมาเล่นใน เอสตาดิโอ ซาน เปาโล ในเมืองนาโปลี รอรับมือ อาร์เมเนีย คืนวันอังคารที่ 15 ต.ค.

ที่ผ่านมา บอรินี่ เคยได้รับโอกาสลงสนามให้กับ อัซซูรี่ ไปเพียงเกมเดียวเท่านั้นโดยเป็นเกมอุ่นเครื่องกับ สหรัฐอเมริกา เมื่อ 29 ก.พ. 2012 โดยเขามีรายชื่อลงเล่นให้กับ อิตาลี ด้วยในทัวร์นาเมนต์ ยู 21 ชิงแชมป์ยุโรปเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมาในการแข่งขันรอบสุดท้ายที่ประเทศ อิสราเอล

ซึ่ง อิตาลี เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศก่อนจะพ่ายให้กับ สเปน ได้แค่รองแชมป์มาครอง

เรื่องโดย "มาร์ค สุรเดช"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook