จาก′เปเล่′ถึง′เนย์มาร์′ ′อย่าทำให้ลูกชายเห็นน้ำตาของผม′

จาก′เปเล่′ถึง′เนย์มาร์′ ′อย่าทำให้ลูกชายเห็นน้ำตาของผม′

จาก′เปเล่′ถึง′เนย์มาร์′ ′อย่าทำให้ลูกชายเห็นน้ำตาของผม′
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทีมชาติ บราซิล ผ่านเข้ารอบสองด้วยการคว้าแชมป์กลุ่มเอ จากชัยชนะ 2 และเสมอ 1 ซึ่งถือว่าไม่เหนือความคาดหมาย เพราะพวกเขาคือเต็งหนึ่ง เป็นเจ้าภาพและเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฟุตบอลโลกจากการเป็นแชมป์ถึง 5 ครั้ง

ถ้ามีบทละครความสุดยอดของทัพแซมบ้าในเวิลด์คัพแล้ว ย่อมต้องมีพระเอก และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เปเล่ ตำนานมีชีวิตที่เคยพาบราซิลคว้าแชมป์โลกได้ถึง 3 สมัย คือ 1958, 1962, 1970 เป็น 3 สมัยประวัติศาสตร์ที่ทำให้บราซิลครองโลกฟุตบอลได้อย่างหมดจด

แข้งซุปเปอร์สตาร์ของแซมบ้าเกิดขึ้นเรื่อยๆ ยุคหลังๆ มี เบเบโต้, โรมาริโอ, โรแบร์โต้ คาร์ลอส, ริวัลโด้, โรนัลดินโญ่ รวมทั้ง โรนัลโด้ ผู้ทำสถิติเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในฟุตบอลโลกอย่างโรนัลโด้ ที่ทำไป 15 ประตู และเจเนอเรชั่นล่าสุดอย่าง เนย์มาร์ กองหน้าวัย 22 ปี ที่ลงเล่นฟุตบอลโลกหนแรกในชีวิต และซัด 4 ประตูนำดาวซัลโวอยู่หลังผ่าน 3 นัดแรก

แต่กว่าจะมีวันนี้บราซิล พวกเขาเคยเจอความผิดหวังคาบ้านมาก่อน ฟุตบอลโลก 1950 นัดชิงชนะเลิศที่สนามมาราคาน่า วันนั้นอุรุกวัยเฉือนชนะบราซิล 2-1 คว้าแชมป์โลกบนดินแดนแซมบ้าแบบเจ็บแสบ จนถึงขั้นคนบราซิเลียนใช้คำว่า "มาราคานาซ่า" แทนคำว่าเจ็บปวด ผิดหวังเลยทีเดียว

"วันนั้นผมอายุเพียง 9 ขวบ ความพ่ายแพ้วันนั้นเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายจริงๆ เราทุกคนได้แต่ปลอบใจกัน บอกกันว่าไม่เอาน่าอย่าร้องไห้ แต่พอผมหันไปเห็นพ่อร้องไห้ มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดมากจริงๆ และถ้าผมมีเวทมนตร์ ผมจะเสกให้บราซิลเจอกับอุรุกวัยในนัดชิงชนะเลิศ ที่มาราคาน่าอีกครั้ง และครั้งนี้จะเป็นการแก้แค้นของบราซิล" เปเล่เล่า

ทีมจากแดนกาแฟคว้าแชมป์โลกครั้งล่าสุดเมื่อปี 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ ครั้งนี้ได้โอกาสลงเล่นในบ้าน ท่ามกลางแฟนบอลของตัวเองหลายล้านคน แต่เปเล่ยอมรับว่า ทีมแซมบ้าเมื่อปี 1970 กับ 2014 มีความแตกต่างกันมากทีเดียว

นักเตะบราซิลในชุดแชมป์ 1970 ลงเล่นในสโมสรเดียวกันหลายคน และเล่นลีกในประเทศเกือบทั้งหมด ซึ่งทำให้ทุกคนรู้ใจกัน ก่อนหน้าจะเตะรอบสุดท้ายที่เม็กซิโก พวกเขามีแมตช์อุ่นเครื่องถึง 7 นัด แต่สำหรับชุดปัจจุบันนักเตะออกไปเล่นลีกดังๆ นอกประเทศกันหมด มีเพียง โจ, เฟร็ด, วิคตอร์, เจฟเฟอร์สัน ที่เล่นในบราซิล ส่วนอีก 19 คนกระจัดกระจายไปเล่นใน 8 ประเทศ กว่าจะมารวมตัวกันที่บราซิลได้ก็เหลือเวลาแค่ไม่กี่วัน แถมยังมีนัดอุ่นเครื่องเพียงแมตช์เดียวเท่านั้น

ไม่ใช่แค่บราซิลเท่านั้นที่อยู่ในสถานการณ์นี้ กานาก็มีนักเตะที่กระจายไปเล่นใน 13 ประเทศ แต่ต้องไม่ลืมว่าความคาดหวังของกานากับบราซิลต่างกัน การเป็นชาติที่ริเริ่มการเล่นฟุตบอลแบบสวยงาม ย่อมต้องซ้อมร่วมกันเพื่อความรู้ใจ เพื่อรักษาเอกลักษณ์ความเป็นแซมบ้าไว้ให้ได้

"บราซิลมีความโดดเด่นในเกมรุกเสมอ แต่ฟุตบอลโลกหนนี้พวกเขามีปัญหาในการสร้างเกมบุก เพราะโยนความรับผิดชอบให้เนย์มาร์มากเกินไป ความกดดันที่มีกับเนย์มาร์ในการคว้าแชมป์ครั้งนี้มหาศาลกว่านักเตะคนอื่นในทีม"

เนย์มาร์ดาวยิงรุ่นหลาน ผู้สวมเสื้อเบอร์ 10 ของเปเล่ยอมรับว่า เขาพร้อมจะเป็นดาวเด่นของทีม หรืออีกนัยหนึ่ง เขากล้าที่จะแบกความกดดันของบ้านเกิดไว้บนบ่าตัวเอง และ 4 ประตูที่เขาทำได้จาก 3 นัดแรก ถือเป็นการคลายความเครียดไปได้เปลาะหนึ่ง แต่หลังจากนี้ต้องไม่ลืมว่าเป็นรอบน็อกเอาต์ ถ้าพลาดขึ้นมาบราซิลไม่มีโอกาสแก้ตัว เหมือนในรอบแบ่งกลุ่ม

ทัพแซมบ้าเคยผ่านความผิดหวังจากโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ครั้งนั้นเนย์มาร์และสตาร์หลายคนในชุดฟุตบอลโลก 2014 อยู่ในทีม ตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบรองชนะเลิศพวกเขาทำผลงานได้อย่างเหนือชั้น เข้ารอบชิงชนะเลิศได้ตามความคาดหมาย แต่ท้ายที่สุดกลับแพ้ให้เม็กซิโก และได้แค่เหรียญเงิน

จากมาราคาน่า 1950 สู่มาราคาน่า 2014 ยังไม่แน่ว่า ทัพเซเลเซารุ่นหลานเปเล่จะกรุยทางไปถึงนัดชิงดำที่มาราคาน่าได้หรือไม่ เพราะยังเหลืออีกหลายด่านทีเดียว

แต่เปเล่ได้บอกหลานๆ ของเขาว่า "ชาวบราซิลไม่อยากเห็นภาพเหมือนตอนปี 1950 อีก หวังว่าครั้งนี้ลูกชายจะไม่เห็นผมร้องไห้ เหมือนที่ผมเห็นพ่อทำเมื่อ 64 ปีที่แล้ว"

ติดตามข่าวบอลโลก 2014 โปรแกรมบอลโลก ผลบอลโลก ได้ที่
http://sport.sanook.com/worldcup

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook