เมื่อ 'หงส์' จะไม่เดินซ้ำรอยตีน 'ไก่'

เมื่อ 'หงส์' จะไม่เดินซ้ำรอยตีน 'ไก่'

เมื่อ 'หงส์' จะไม่เดินซ้ำรอยตีน 'ไก่'
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เชื่อว่าบรรดาเดอะค็อปทั้งหลายคงอดห่วงไม่ได้ที่เห็นทีมรักกำลังเดินจ่ายตลาดด้วยการไล่กว้านซื้อผู้เล่นเข้ามาเสริมจากเม็ดเงินก้อนโตที่ ซัวเรซ ทิ้งไว้ให้เป็นมรดก เพราะมันเป็นภาพเดียวกับที่ สเปอร์ส ใช้เงินจากการขาย แกเร็ธ เบล แต่ดันล้มเหลวไม่เป็นท่ากับการซื้อตัวผู้เล่นใหม่เมื่อปีที่ผ่านมา

การขาย หลุยส์ ซัวเรซ ออกจากทีมไป ยังคงเป็นคำถามตัวเบ้อเร้อ ว่าผลงานของทีม ลิเวอร์พูล จะเป็นตายร้ายดียังไงในซีซั่นหน้าที่กำลังจะเปิดฉากขึ้น ถึงแม้พวกเขาจะสูญเสียสตาร์ประจำทีมไป แต่สภาพทีมโดยรวมก็ยังดูแข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับข้าศึกทั้งหลาย ดีไม่ดีอาจได้ผู้เล่นหน้าใหม่เพิ่มเข้ามาเสริมถึง 7-8 คน

ซัวเรซ กับสีเสื้อที่เปลี่ยนไป แต่ทิ้งทุนทรัพย์ก้อนใหญ่ไว้ให้ทีม

สถานการณ์เช่นนี้มันก็คล้ายๆ กับ สเปอร์ส ในฤดูกาลที่ผ่านมา เมื่อทีมจากลอนดอนต้องเสียซูเปอร์สตาร์ประจำทีมอย่าง แกเร็ธ เบล ไปให้ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 91 ล้านยูโร จึงทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เกิดการเปรียบเทียบกันกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ แต่อย่างน้อยสาวกหงส์แดง ก็น่าจะพออุ่นใจได้อยู่บ้าง ด้วยเหตุผลบางประการที่จะทำให้ทีมรักของพวกเขาจะไม่เดินซ้ำรอยเหมือน สเปอร์ส ในฤดูกาลที่ผ่านมา

เริ่มที่เหตุผลแรกกับการไว้ใจได้ของเรื่องการผลิตสกอร์

สเปอร์ส เป็นทีมที่ผลิตสกอร์ได้ไม่เยอะอยู่แล้ว แม้ในช่วงที่ แกเร็ธ เบล ยังค้าแข้งให้กับทีมก็ตาม โดยจากตัวเลข 66 ประตู ที่ทำได้เท่ากันเป๊ะใน 2 ฤดูกาล 2011/12 และ 2012/13 และฤดูกาลล่าสุดที่พวกเขายิงได้น้อยลง เหลือเพียง 55 ลูกเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า พวกเขายิ่งมีปัญหามากขึ้นกับการเสียปีกทีมชาติเวลส์ ในหัวใจหลักในเกมรุกไป ซึ่งก็เหมือนกับ ลิเวอร์พูล ที่เสีย ซัวเรซ หัวใจหลักในเกมรุกไปเช่นกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ถ้าลองตัด 31 ลูก ที่หัวหอกจอมกัดชาวอุรุกวัยทำได้ในฤดูกาลที่แล้วออกไป พวกเขาก็ยังผลิตสกอร์ได้สูงถึง 70 ลูกอยู่ดี ในขณะที่ สเปอร์ส ไม่เคยยิงได้ถึง 70 ลูกเลยนับตั้งแต่เปลี่ยนมาเป็นยุคของพรีเมียร์ลีก

ข้อสอง เรื่องจริงที่โหดร้ายของพรีเมียร์ลีก

ฤดูกาลที่แล้ว สเปอร์ส ใช้เงินมากกว่า 100 ล้านปอนด์ ในการนำเข้า 7 แข้งดังจากทั่วโลก  แต่ทั้งหมดนั้นไม่เคยมีประสบการณ์ในลีกหฤโหดที่ต้องใช้พละกำลังและการเล่นกันอย่างรวดเร็วเลย แน่นอนว่าการย้ายข้ามลีกนั้นต้องใช้เวลาในการปรับตัวทั้งเรื่องภาษาและรูปแบบการเล่น ซึ่ง สเปอร์ส กล้าเดิมพันกับสิ่งเหล่านี้ ผลก็คือ มีเพียง คริสเตียน อิริคเซ่น คนเดียวเท่านั้นที่สอบผ่าน ส่วนที่เหลือดับสนิท!

ส่วนหนึ่งของการซื้อที่สูญเปล่าของสเปอร์ส??!!

ผิดกับทาง ลิเวอร์พูล ที่ดูเหมือนจะเข้าใจทฤษฎีนี้ เพราะ อดัม ลัลลาน่า, ริคกี้ แลมเบิร์ต ต่างก็มีประสบการณ์ในลีกอังกฤษมาอย่างโชกโชน เรียกได้ว่าแทบจะทุกเลเวล ส่วนนักเตะที่คาดกันว่ากำลังจะเข้ามาสวมยูนิฟอร์มหงส์แดง อย่าง โลอิก เรมี่ และ เดยัน ลอฟเรน ต่างก็ซึมซับวิถีลูกหนังแห่งลีกสูงสุดผู้ดีมาแล้วเช่นกัน ซึ่งน่าจะทำให้ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้การันตีว่านักเตะจะประสบความสำเร็จในแอนฟิลด์ เพียงแต่มันช่วยลดความเสี่ยงในการเซ็นสัญญากับนักเตะใหม่เท่านั้นเอง

เหตุผลต่อมา... แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์

เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ สเปอร์ส ไม่มี เบล แล้ว? โรแบร์โต้ โซลดาโด้ กองหน้าชาวสแปนิช ผู้ที่ควรจะเป็นคนผลิตสกอร์เป็นกอบเป็นกำให้กับทีม แต่กลับพิสูจน์ตัวเองด้วยการประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการยิงลูกจุดโทษเท่านั้นเอง ทำให้ซีซั่นแรกของเขาในอังกฤษ ยังไม่เป็นที่น่ายินดีนัก

การจากไปของพี่เหยิน ทำให้ "จอมแด๊นซ์" ก้าวมาเป็นศูนย์หน้าเบอร์ 1 ของทีม

ส่วนทางฝั่ง ลิเวอร์พูล พวกเขาแสดงให้เห็นแล้วว่ายังมี สเตอร์ริดจ์ อีกคนที่ฝากความหวังได้ นับตั้งแต่ย้ายมาจาก เชลซี หัวหอกทีมชาติอังกฤษรายนี้ก็ยิงได้อย่างสม่ำเสมอ และยังทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ใช้เวลาเร็วที่สุดในการผลิตสกอร์ถึง 50 ลูกในประวัติศาสตร์หงส์แดง แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากความช่วยเหลือของ ซัวเรซ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า อดีตนักเตะเรือใบสีฟ้า เล่นโดยไม่มีพาร์ทเนอร์จากอุรุกวัยถึง 10 นัด ในช่วงที่ถูกแบนเนื่องจากไปกัด บรานิสลาฟ อิวาโนวิช โดยซัดไปได้ 11 ตุง แล้วถ้าซีซั่นนี้ตัวเขาไม่โชคร้ายเจอปัญหาอาการบาดเจ็บหรือโดนแบน โอกาสที่จะยิงได้ใกล้เคียงกับ 30 ลูกก็ไม่ไกลเกินเอื้อม

เหตุผลถัดไปกับชายที่ชื่อ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

อังเดร วิลลาส-โบอาส เป็นกุนซือที่มีสไตล์เน้นเกมรับมากกว่า บีร็อด และเมื่อไร้ แกเร็ธ เบล ยิ่งทำให้เขายิ่งมีปัญหาหนักกับการผลิตสกอร์ สุดท้ายก็ต้องกระเด็นจากเก้าอี้ไป ผิดกลับทาง ร็อดเจอร์ส ที่สร้างสถานะเก้าอี้กุนซืออย่างมั่นคง แม้ว่าจะพลาดการคว้าแชมป์ในช่วงบั้นปลายของฤดูกาลก็ตาม แต่ก็สามารถพาทีมบินสูงเกินที่คาดไว้ ซึ่งเจ้าตัวก็เคยได้ออกมายืนยันแล้วว่า มันจะเป็นความท้าทายใหม่ที่ต้องไร้ ซัวเรซ แต่ก็ไม่ทำให้ทีมที่เขาสร้างมาต้องหยุดก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างแน่นอน

แท็กติกของ "บีร็อด" พิสูจน์ให้เห็นว่าใครก็ประมาทหงส์ไม่ได้

ซัวเรซ สร้างผลงานให้กับ บีร็อด แต่ บีร็อด ก็เป็นคนอยู่เบื้องหลังผลงานของ ซัวเรซ เช่นกัน เพราะบอสหงส์แดงรายนี้เป็นผู้ปรับแท็กติก รูปแบบการเล่น เพื่อให้ ซัวเรซ ได้แสดงศักยภาพออกมาให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะได้รับรางวัลตอบแทนทั้งคู่... ซัวเรซ ได้ย้ายไปเล่นให้กับทีมยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง บาร์เซโลน่า ตามความฝัน ส่วน ร็อดเจอร์ส ก็ได้ไปลุยรายการแชมป์เปี้ยนลีก ตามเป้านั่นเอง

และท้ายสุดกับการที่ไม่ต้องสร้างทีมใหม่

11 ผู้เล่นตัวจริงของลิเวอร์พูลยังคงแข็งแกร่งเช่นเดิมเหมือนซีซั่นที่ผ่านมา แม้ว่าการขาด ซัวเรซ ไป จะทำให้ทีมดูอ่อนแอลงไปบ้าง แต่การซื้อขายยังคงไม่สิ้นสุดลง และเป็นเรื่องโชคดีที่ บีร็อด ไม่จำเป็นต้องสร้างทีมใหม่อีกครั้ง เพราะเขาเพียงแค่จูนนักเตะให้เข้ากับระบบให้ดีก็พอ

แลมเบิร์ต, ลัลลาน่า, ชาน 3 แข้งใหม่

สมมุติว่าพวกเขาได้ทั้ง ลอฟเรน และ เรมี่ ตามที่คาดการณ์ ก็จะทำให้เขามีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาถึง 6 คน หรือแม้กระทั่งจะมากกว่านั้นก็ตาม แต่จะมีซักกี่คนเชียวที่จะได้ลงเล่นเป็น 11 คนแรกในนัดเปิดสนาม? สองหรือสามน่าจะดูเป็นไปได้มากที่สุด ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ผู้เล่นใหม่จะนั่งดูอยู่ที่ข้างสนามในตอนเปิดซีซั่น แต่นั่นก็เหมือนการช่วยลดความกดดันให้บรรดานักเตะใหม่นั่นเอง

ลาซาร์ มาร์โควิช ตัวรุกที่น่าจะถูก เดอะ ค็อป ฝากความหวังไว้สูงแน่ในซีซั่นใหม่นี้

อย่างในกรณีของ เอ็มเร่ ชาน มิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมันชุดอายุไม่เกิน 21 ปี ถ้าหากนักเตะรายนี้ต้องใช้เวลานานในการปรับตัว ซึ่งก็ไม่น่าจะส่งผลอะไรให้กับทีมมากนัก เพราะดีลนี้เป็นการซื้อเพื่ออนาคตอยู่แล้ว แต่หากปรับตัวได้เร็ว ทำผลงานได้ดี ก็เป็นเรื่องที่ดีไป ผิดกับทาง ลาซาร์ มาร์โควิช ที่ย้ายมาด้วยค่าตัวค่อนข้างสูง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกคาดหวังว่าตัวเขาจะทำผลงานได้ดีให้คุ้มกับค่าตัวตั้งแต่ฤดูกาลแรกเริ่มเลย ซึ่งบางทีตัวเขาอาจจะเป็นเหมือนอย่าง อิริค ลาเมล่า ที่สอบตกกับสเปอร์สในซีซั่นแรกก็ได้ แต่บางทีเขาอาจจะพิสูจน์ให้เห็นว่าคุ้มค่ากับการลงทุนเฉกเช่น คริสเตียน อิริคเซ่น

ก็ไม่รู้ว่าผลงานของเหล่าแข้งนิวเร้ดเดอร์ซีซั่นใหม่จะทำได้ดีแค่ไหน แต่อัตราความเสี่ยงที่จะล้มเหลวในเม็ดเงินที่ลงทุนไปนั้น คงไม่เท่ากับทีมจาก ไวท์ ฮาร์ท เลน เหมือน 1 ปีที่ผ่านมา

เรื่องโดย : “บอย บุฟฟ่อน”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook