671 ครั้ง : ที่มาสุดซึ้งท่าดีใจชี้มือขึ้นฟ้าของ "ลิโอเนล เมสซี่"

671 ครั้ง : ที่มาสุดซึ้งท่าดีใจชี้มือขึ้นฟ้าของ "ลิโอเนล เมสซี่"

671 ครั้ง : ที่มาสุดซึ้งท่าดีใจชี้มือขึ้นฟ้าของ "ลิโอเนล เมสซี่"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ลิโอเนล เมสซี่ ยิงประตูได้ตลอดชีวิตการค้าแข้งแล้ว 671 ประตู (อัพเดทล่าสุด 31 สิงหาคม 2019) มันคือจำนวนที่มากจนเหลือเชื่อ และมันง่ายดายมากที่คนดูจะรู้สึกไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไรมากมายนักกับการส่งบอลไปกองในก้นตาข่ายของเขา ... เพราะมันเกิดขึ้นบ่อยสุดๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว

อย่างไรก็ตามหากคุณสังเกตให้ดีภายใต้การยิงประตู "ทุกครั้ง" ไม่ว่า เมสซี่ จะฉลองด้วยท่าดีใจใดๆ ก่อน เขาจะปิดท้ายด้วยการชี้มือขึ้นฟ้าเสมอ ... แล้วทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกันล่ะ?

ท่าดีใจของ เมสซี่ 

Bleacher Report สื่อกีฬาใหญ่ของโลกได้ทำในสิ่งที่แฟนบอลขี้เกียจทำ นั่นคือการนับการฉลองท่าดีใจและหาความหมายว่าแท้จริงแล้ว ลิโอเนล เมสซี่ ซูเปอร์สตาร์อันดับ 1 ของโลกลูกหนังนั้นมีท่าดีใจทั้งหมดกี่ท่า และแต่ละท่ามีความหมายอะไรบ้าง


Photo : www.mirror.co.uk

สิ่งที่สื่อเจ้าใหญ่สำรวจมา พวกเขาพบว่ามี 5 ท่าที่ใช้เป็นท่าหลักในการดีใจของเมสซี่หลังจากยิงประตูได้ และอธิบายถึงท่าดีใจที่พอจะหาที่มาที่ไปของมันได้ โดยแบ่งเป็นหลัก 5 ท่าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นท่า ดูดจุกนม ที่เขาเริ่มทำในปี 2015 ที่ บาร์ซ่า เอาชนะ แอตฯ มาดริด ได้ 2-1 ท่าดีใจดังกล่าวมาจากที่ก่อนแข่งไม่กี่วัน มาเตโอ ลูกชายคนที่ 2 ของเขาได้ลืมตาดูโลก

นอกจากนี้ยังมีท่า "Call Me, Maybe?" (ต่อสายโทรศัพท์), ท่า Trident (การฉลองพร้อมกัน 3 คนร่วมกับ หลุยส์ ซัวเรซ และ เนย์มาร์) หรือแม้กระทั่งการไม่ดีใจเลยแม้จะยิงเข้าเพราะว่าวันนี้ฟอร์มการเล่นของเขาต่ำกว่ามาตรฐาน


Photo : barcacentral.com

อย่างไรก็ตามมี 1 ท่า ซึ่งเราได้เห็นเมสซี่ทำเป็นประจำ นั่นคือการชูมือขึ้นฟ้าหลังทำประตูได้ ซึ่งท่านี้คือท่าที่เขาจะทำทุกครั้งหลังจากยิงทุกประตู มันคือท่าปิดท้ายก่อนที่คู่แข่งจะเอาบอลมาเขี่ย ... และท่านี้นี่เองที่มีความหมายลึกซึ้งที่สุดสำหรับเขา เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

The beginning of Leo

ทุกคืนก่อนเข้านอน ลิโอเนล เมสซี่ ในวัยเด็กจะกุมมือขึ้นอธิษฐานกับดวงดาว นั่นคือสิ่งที่ ฮอร์เก้ พ่อของเขาสังเกตเห็นเป็นประจำจนวันหนึ่ง ฮอร์เก้ ตัดสินใจถามว่า "ลูกขอพรว่าอะไรบ้าง?"  เมสซี่ ในวัยเด็กบอกว่า "ผมขอพรจากพระเจ้า ขอให้ท่านมอบความสูงให้กับผม"


Photo : www.telegraph.co.uk

"เมสซี๋แฟมิลี่" คือครอบครัวใหญ่ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ณ เมือง โรซาริโอ บ้านหลังเล็กๆ หลังนี้คือบ้านที่นักฟุตบอลทีดีที่สุดในโลกใช้ชีวิตอยู่ในช่วงวัยเด็ก

ทุกคนในครอบครัวทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง โดยมี "ย่าเซเลีย" หญิงชราที่ทำหน้าที่คอยอยู่กับบ้านจัดเตรียมอาหารหรืออะไรต่างๆ ให้พร้อมสำหรับทุกคนในครอบครัวสำหรับการออกไปลุยงานในแต่ละวัน

24 มิถุนายน ปี 1991 เป็นวันคล้ายเกิดของคนที่อายุน้อยที่สุดในบ้าน ... "ลีโอ" ซึ่งเกิดในปี 1987 กำลังจะมีอายุครบ 4 ขวบ เด็กคนนี้ไม่ค่อยชอบเป็นที่สนใจของใครนักหรอก แต่เขาชอบวันเกิดเพราะเขาจะได้กินเค้กเท่านั้นเอง


Photo : www.theapricity.com

ย่าเซเลีย เดินถือเค้กเข้ามาในห้องนอนของ ลีโอ และบอกว่า  "เอ้า อธิษฐานสิหลาน" ... เขาหลับตาและหลังจากนั้นย่าก็มอบของขวัญให้ เมื่อ ลีโอ ลืมตา เขาพบว่าของขวัญครอบรอบ 4 ขวบ คือลูกฟุตบอลเบอร์ 5 เท่าขนาดแข่งขันจริง มีลายเป็น 5 เหลี่ยมสีฟ้าซึ่งเป็นสีที่เขาชอบที่สุด

นั่นแหละคือลูกบอลลูกแรกของ ลิโอเนล เมสซี่ โดย "ย่าเซเลีย" ตั้งใจจะมอบให้เขาเพราะ ลีโอ นั้นเป็นน้องเล็กของบ้าน และเวลาที่เขาไปเล่นฟุตบอลกับพี่ๆ เขามักจะถูกกีดกันไม่ให้ลงเล่นเสมอ นั่นจึงทำให้ ลีโอ เป็นเด็กที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองนัก และใช้เวลาขลุกอยู่แต่ในห้อง

"เอ้า ลุยเลยลีโอ" ย่าเซเลีย ตะโกนมาจากหน้าประตู "เอาบอลออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ได้แล้ว อย่าขลุกอยู่แต่ในห้อง หลานต้องการแสงอาทิตย์บ้าง มันจะทำให้หลานเติบโตได้ดีนะ ออกโชว์ลีลาให้พวกพี่ๆ เขารู้ว่าหลานเก่งขนาดไหน"

เจ้าหนู ลีโอ จุ๊บแก้มของย่าเซเลีย ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ พี่ๆ อย่างตั้งใจ ลูกฟุตบอลเบอร์ 5 สีฟ้าลูกนั้นคือสิ่งที่ทำให้เขาไม่ต้องกังวลว่าวันนี้จะมีใครให้เล่นด้วยหรือเปล่า เพราะต่อให้ไม่มีใครต้องการเขา เขาก็ยังสามารถเตะลูกบอลลูกใหม่คนเดียวได้ อย่างไรก็ตามมีกฎข้อหนึ่งของเด็กน้อยคือ "ใครมีบอลคนนั้นคือราชา" และเมื่อ เมสซี่ ได้ลงเล่นกับคนอื่นๆ มากขึ้น มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่นี้

หัวใจใหญ่กว่าตับ 

หาก ฮอร์เก้ พ่อของ เมสซี่ เปรียบเสมือนโค้ชที่พาเขาไปเจอกับฟุตบอลที่แท้จริงแล้วล่ะก็ ย่าเซเลีย ก็เป็นเหมือนโค้ชจิตวิทยาส่วนตัวของ เมสซี่ เช่นกัน 


Photo : www.telegraph.co.uk

เมสซี่ เป็นเด็กตัวเล็กที่ต้องพิสูจน์ตัวเองมากกว่าใคร เขาไปแข่งขันที่ไหนก็มักจะไม่ได้ลงเป็นตัวจริง และย่าเซเลีย ก็รู้เรื่องนี้ดี เธอจึงต้องคอยบอกหลานรักคนนี้อยู่เสมอว่าจงอย่ากลัวและทำในส่วนของตัวเองให้เต็มที่ เธอบอกว่าให้ดู ดีเอโก้ มาราโดน่า เป็นตัวอย่าง ถึงจะตัวเล็กแต่ก็เป็นยอดนักเตะระดับแชมป์โลกได้ 

"ลีโอ มักจะกลัวเวลาต้องเล่นกับเด็กอายุเยอะกว่าและตัวใหญ่กว่า เขาคิดว่าตัวเองตัวเล็กไปจนเก่งไม่พอที่จะเล่นกับทุกคน ทั้งๆ ที่ความจริงฉันดูเขาจับบอลก็รู้แล้ว" ย่าเซเลีย เล่าผ่านหนังสือ The Flea - The Amazing Story of Leo Messi

เมื่อมักถูกมองด้วยอคติ ย่าเซเลีย จึงพา เมสซี่ ไปเล่นให้กับทีมฟุตบอลเด็กที่ห่วยที่สุดในเมืองที่ชื่อว่า กรานโดลี่ ในตอนนั้น เมสซี่ เองก็ยังสงสัยว่าทำไมเขาต้องไปเล่นให้ทีมที่แข่งไปก็มีแต่แพ้ด้วย

"ทีมห่วยๆ จำเป็นจะต้องมีนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใช่ไหมล่ะหลาน? นั่นล่ะ ลีโอ คนนั้นคือหลานเอง พวกเขาไม่รู้ว่าหลานเก่งขนาดไหน แล้วเดี๋ยวเราจะช่วยกันให้พวกเขาเห็นเอง" ย่าเซเลีย บอก

"แล้วถ้าโค้ชไม่เลือกผมลงสนามล่ะ?" ลีโอ ยังคงกังวล

"เชื่อย่าสิ พวกเขาให้หลานเล่นแน่" เธอกล่าวอย่างมั่นใจ


Photo : www.quora.com

เมื่อถึงวันแข่งของทีม กรานโดลี่ ย่าเซเลีย พา ลีโอ เดินทางไปสนามของ กรานโดลี่ เธอต้องคะยั้นคะยอให้หลานของเธอยอมมาด้วย เพราะ เมสซี่ ยังกังวลไม่หายและภาพจำของเขาคือไปสนามไหนมักจะโดนกีดกัน ทว่าย่าเซเลีย เตรียมการมาเป็นอย่างดีสำหรับเรื่องนี้ เธอเริ่มสั่งให้ลีโอนับผู้เล่นที่จะลงสนามในเกมนั้น

"ทีมนึงมี 11 คนส่วนอีกทีมมี 10 คนครับย่า" ลีโอ บอกกับ ย่าเซเลีย ขณะที่เธอได้แต่อมยิ้มและบอกว่า "นั่นล่ะลีโอ หลานลงไปได้แล้ว หลานทำได้แน่ถ้าไม่ยอมแพ้"  

ช่วงต่อจากนี้คือช่วงเจรจา ย่าเซเลีย เดินเข้าไปหาโค้ชของทีมที่ชื่อว่า อปาริซิโอ "ฉันรู้ ทีมของคุณตัวไม่ครบ ขาดไปคนนึง ให้ฉันช่วยอะไรไหมล่ะ?" โค้ชอปาริโช่ งงมากที่ย่ารู้ว่าทีมของเขามีตัวไม่พอ ก่อนที่ย่าเซเลียจะชี้ให้เห็นว่า เมสซี่ กำลังวิ่งวอร์มรอลงสนามอยู่ ทว่าเมื่อ "โค้ชอปา" เห็นตัวของ เมสซี่ เขารีบดึงแขนย่าเซเลีย ออกมาไกลๆ เพื่อจะบอกในบางสิ่งที่ไม่อยากให้หลานของเธอได้ยิน

"ไม่เอาหน่าเซเลีย นี่คุณจะบอกให้ผมเอาลีโอลงเล่นเหรอ? ไม่ได้หรอกเขาตัวเล็กจะตายสู้เด็กคนอื่นไม่ไหวหรอก เขาจะโดนเตะจนร้องไห้นะผมจะบอกให้คุณรับได้เหรอแบบนั้น?" โค้ชอปาเริ่มขู่ 

"ถ้าเขาทำให้ทีมคนเล่นไม่ดี ฉันนี่แหละจะลากคอเขากลับบ้านเอง ทีนี้คุณจะให้เขาลงได้หรือยัง? เชื่อเถอะ มอบโอกาสให้เขาและคุณจะไม่ผิดหวัง" ย่าเซเลีย บอกแค่นั้นและสกิลมนุษย์ป้าของเธอก็ทำให้โค้ชอปาใจอ่อน 

ตัวของเมสซี่เองยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี มันเป็นเกมระดับการแข่งขันจริงจังครั้งแรกที่เขาได้สัมผัส และเขายังนึกถึงสิ่งที่ย่าทำให้เขาจนถึงทุกวันนี้


Photo : hoycinema.abc.es

"ตอนนั้นผมเด็กที่สุดและก็ตัวเล็กมาก ไม่มีที่ว่างให้กับผมเลย โค้ชบอกว่าไม่ได้ๆ ท่าเดียว ส่วนย่าผมก็พูดเป็นคำเดียวเหมือนกัน เอาเขาลงสนามสิ! เอาเขาลงสนามสิ! จนโค้ชใจอ่อนไปเอง"

ลีโอ ลงไปวิ่งปะทะแสงแดดอย่างที่ย่าของเขาอยากจะเห็น ทุกครั้งที่เขาได้บอล ย่าเซเลีย จะตะโกนว่า "ไปเลยหลาน เลี้ยงบอลไปเลย สู้ๆ" ขณะที่หลานชายของเธอกำลังสนุกอย่างเต็มที่ด้วยการเลี้ยงหลบผู้เล่นฝั่งตรงข้ามคนแล้วคนเล่าและเข้าไปทำประตูให้กับทีม

"เห็นไหมนั่น ลีโอ เป็นเหมือนกับหมัด คุณพยายามจะปัดทิ้งยังไงเขาก็ไม่หลุดจากลูกฟุตบอลอยู่ดี" ย่าเซเลียถึงกับหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าและคำพูดของโค้ชอปาในเวลานั้น 

"เกมนั้นผมยิงสองลูก ความจริงผมจำมันได้ไม่ชัดนักหรอกเพราะผมยังเด็กมาก (แค่ 8 ขวบ) แต่ย่าน่ะจำแม่น เธอเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังเองแหละ"


Photo : www.lacapital.com.ar

กรานโดลี่ ทีมที่ไม่เคยชนะใครเอาชนะได้ในเกมนั้น ย่าเซเลีย มีความสุขมาก เธอกำลังจะพาหลานชายเดินกลับบ้านและแวะหากินอะไรอร่อยๆ ก่อนกลับสักหน่อย ทั้งคู่เดินออกพ้นสนามได้ไม่นานก็มีเสียงตะโกนว่า 

"เซเลีย พรุ่งนี้อย่าลืมทำให้ ลีโอ พร้อมสำหรับการฝึกซ้อมร่วมกับทีมด้วยล่ะ" โค้ชอปา ตะโกนไล่หลังมาก่อนที่ย่าเซเลียตะโกนแบบไม่หันหน้ากลับและบอกว่า

"เอ้อ! เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว"

สิ่งที่ได้จากคุณย่า

โอกาสที่ได้มาจากความพยายามของย่าทำให้ เมสซี่ เริ่มมั่นใจในตัวเอง เขาเป็นดาวเด่นในระดับบอลเด็กเล็กมาตลอด และได้เข้าไปอยู่กับทีมอะคาเดมี่ของ นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ 


Photo : tribuna.com

ทว่าความเก่งกับมาพร้อมกับฝันร้ายเล็กๆ ตอนอายุ 11 ปี เขาอยู่ในภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต ... ริเวอร์เพลท ทีมดังแห่งอาร์เจนติน่า ซึ่งมี ปาโบล ไอมาร์ ไอดอลนักเตะของเมสซี่อยู่ในทีม ณ ตอนนั้น ได้แสดงความสนใจในตัวเขา แต่ก็ไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน 900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือนให้ 

และก็อย่างที่เรารู้กัน ท้ายที่สุด บาร์เซโลน่า คือสโมสรที่เห็นอนาคตล่วงหน้าด้วยการรับ เมสซี่ เข้าสู่ระบบอะคาเดมี่ของทีม อีกทั้งยังอนุญาตให้นำครอบครัวมาอยู่ในอพาร์ทเมนต์ที่สโมสรเตรียมไว้อีกด้วย (ในช่วงปี 2000 กฎการย้ายทีมของนักเตะเยาวชนต่างชาติยังไม่เข้มงวดเหมือนยุคนี้) และเรื่องราวหลังจากนั้นก็กลายเป็นตำนานของโลกฟุตบอล

แม้หลายคนจะบอกว่า เมสซี่ มีวันนี้ได้เพราะ บาร์เซโลน่า และยาเพิ่มโกรธฮอร์โมนมูลค่าเข็มละหลายหมื่นบาทสำหรับการฉีดแต่ละครั้ง ซึ่งฮอร์โมนนี้เองที่ทำให้เขาสูงขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็วจากราว 140 เซนติเมตร มาเป็น 168 เซนติเมตรอย่างในปัจจุบัน

ทว่าหลังจากที่ได้รับรู้เรื่องนี้ จริงๆ แล้วเครดิตแรกเริ่มคงต้องยกให้ย่าเซเลีย หญิงชราผู้ที่ทำให้ เมสซี่ ได้รู้ตัวเองว่าเขาสามารถเล่นฟุตบอลได้แม้จะตัวเล็กกว่าใคร ที่สำคัญคือแรงกระตุ้นจากย่าทำให้ทุกปัญหานั้นดูง่ายไปหมด แม้จะต้องเจอเด็กตัวใหญ่กว่าเตะคว่ำ แต่เมสซี่ก็ผ่านมันมาได้และเป็นภูมิคุ้มกันมาจนถึงทุกวันนี้... 

ก่อนจะได้รับยาที่มีประสิทธิภาพ ย่าเซเลียได้ฉีดสารแห่งความใจสู้ให้กับหลานชายคนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว และเมื่อทั้งสองสิ่งมารวมตัวกันในร่างของ ลิโอเนล เมสซี่ มันจึงสุดยอดอย่างที่แฟนบอลทั่วโลกได้เห็นเป็นประจำ


Photo : futaa.com

สุดท้ายเราต้องวกกลับมาที่ท่าดีใจแบบชี้มือขึ้นฟ้าของเขา ที่ความหมายทั้งหมดคือการส่งสัญญาณไปให้กับย่าเซเลียบนสวรรค์นั่นเอง ... เธอจากเขาไปตั้งแต่ปี 1998 ก่อนที่จะได้ย้ายไปอยู่ที่ บาร์เซโลน่า เสียอีก 

น่าเสียดาย ที่เธอไม่ทันได้เห็นหลานชายของเธอคนนี้เอาชนะผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่ามาแล้วทั่วโลก และประสบความสำเร็จบนเส้นทางลูกหนังจนหลายคนยกให้เขาเป็นหนึ่งใน "นักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook