ไม่ใช่แค่ฟิต.. แต่ท็อปฟอร์ม : ทำไม "โรนัลโด - เมสซี" ถึงยืนระยะได้นานผิดธรรมชาติบอลยุคใหม่?

ไม่ใช่แค่ฟิต.. แต่ท็อปฟอร์ม : ทำไม "โรนัลโด - เมสซี" ถึงยืนระยะได้นานผิดธรรมชาติบอลยุคใหม่?

ไม่ใช่แค่ฟิต.. แต่ท็อปฟอร์ม : ทำไม "โรนัลโด - เมสซี" ถึงยืนระยะได้นานผิดธรรมชาติบอลยุคใหม่?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ลิโอเนล เมสซี ดาวเตะของบาร์เซโลนา เพิ่งจะคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่าประจำปี 2019 ส่วน คริสเตียโน โรนัลโด แข้งจากยูเวนตุส เพิ่งจะทำลายสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบคัดเลือก ในขณะที่ทั้งคู่มีอายุขึ้นหลักเลข 3 มาพอสมควร

ในวัยเดียวพวกเขา นักเตะระดับโลกบางคน ย้ายไปเล่นในลีกที่จ่ายหนักอย่างจีน สหรัฐอเมริกา หรืออาหรับ เพื่อเก็บเกี่ยวรายได้ในบั้นปลาย แต่ทั้งคู่ยังคงยืนหยัดอยู่ทีมระดับท็อปของโลก แถมไม่ใช่เป็นแค่อะไหล่ แต่เป็นนักเตะที่ขาดไม่ได้ของทีม

 

อะไรที่ทำให้พวกเขาทั้งคู่ สามารถยืนระยะได้เป็น 10 ปี  และยังเป็นส่วนสำคัญของวงการฟุตบอลจนถึงปัจจุบัน? ร่วมติดตามไปพร้อมกับ Main Stand

สองดาวรุ่งแห่งยุค 

 1

“ระหว่างโรนัลโด กับเมสซี ใครคือนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก?” อาจจะเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ แต่สิ่งที่สามารถบอกได้คือพวกเขาต่างเป็นนักเตะที่ฉายแววอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก และที่สำคัญคือพวกเขาต่างเติบโตขึ้นมาในยุคเดียวกัน 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2004 เด็กหนุ่มร่างเล็กชาวอาร์เจนตินา ได้มีโอกาสสัมผัสเกมอย่างเป็นทางการกับบาร์เซโลนา เป็นครั้งแรกหลังถูกเปลี่ยนลงไปในนาทีที่ 82 ในเกมพบกับเอสปันญอล 

ในวันนั้นเขามีอายุเพียง 17 ปี 3 เดือนกับ 22 วัน และนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เขากลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดของบาร์ซาในตอนนั้น ที่ได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ 

“เขาทำลายเราทุกคน พวกเราต่างไล่เตะเขาเพื่อไม่ให้รู้สึกเสียหน้าจากการโดนเด็กหลอก แต่เขาก็แค่ลุกขึ้นและเล่นต่อไป เขาเลี้ยงบอลผ่านนักเตะสี่คนและเข้าไปทำประตู แม้กระทั่งกองหลังตัวจริงของเรายังรู้สึกกลัวเขา เขาเป็นเหมือนมนุษย์ต่างดาว” ลูโดวิช ชูลี อดีตนักเตะบาร์เซโลนา ย้อนความหลังในวันที่เจอกับ เมสซี เป็นครั้งแรกในสนามซ้อม 

 2

ในขณะที่ 2 ปีก่อนหน้านั้นในเดือนเดียวกัน ไกลออกไปทางทิศตะวันตกของเมืองบาร์เซโลนาราว 1,000 กว่ากิโลเมตร โรนัลโด ชายร่างผอมวัย 17 ปี ก็ได้มีโอกาสประเดิมสนามให้กับ สปอร์ติง ลิสบอน แถมยังทำ 2 ประตูช่วยให้ทีมเอาชนะคู่แข่ง 3-0

ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งคู่ยังเป็นนักเตะที่ใช้เวลาไม่นานก็สามารถสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีม ตอนอายุ 20 โรนัลโด ลงเล่นในชีวิตอาชีพไปแล้วกว่า 120 นัด ส่วนเมสซี ก็ลงเล่นไปไม่ต่ำกว่า 70 นัดในทุกรายการ 

ด้วยความที่เป็นนักเตะที่แจ้งเกิดตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ โรนัลโด และ เมสซี ต่างมีเวลาค้าแข้งมากกว่านักเตะทั่วไป ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขายังเป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ขึ้นสู่จุดพีคเร็วกว่าคนอื่น 

อย่างไรก็ดี ไม่เสมอไปที่นักเตะดาวรุ่งจะยืนระยะได้นานกว่าคนอื่น บางคนพีคเร็วแต่พังไว หรือบางคนมีแววดาวรุ่ง แต่หลังจากนั้นก็กลายเป็นแค่นักเตะดาดๆ หรือกลายเป็นพวก “ดาวรุ่งตลอดกาล” ที่ไม่สามารถทำผลงานได้ดี หลังพ้นช่วงเวลานั้นไปแล้ว 

แต่ไม่ใช่สำหรับ โรนัลโด และเมสซี ที่มีอะไรต่างไปจากดาวรุ่งคนอื่น

หมกมุ่นในการรักษาความฟิต 

 3

แม้โรนัลโด จะอายุแตะหลัก 34 ปีไปแล้ว แต่เขายังรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ปีที่แล้ว เขาคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดของยูเวนตุส หลังยิงไป 21 ประตูเมื่อฤดูกาลที่แล้ว และสิ่งที่ทำให้เขายังทำผลงานได้เช่นนี้ คือการรักษาสภาพร่างกายของตัวเองอย่างเข้มงวด

ก่อนย้ายไปยูเวนตุส ทีมงานของ เรอัล มาดริดได้ตรวจร่างกายของเขาและพบว่า โรนัลโด มีร่างกายเทียบเท่าเด็กอายุ 20 ปีจากการรายงานของ AS สื่อชื่อดังของสเปนระบุว่า เขามีไขมันเพียงแค่ 7 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ในขณะที่นักฟุตบอลทั่วไปจะมีไขมันราว 10-11 เปอร์เซ็นต์ 

นอกจากนี้เขายังมีมวลกล้ามเนื้อที่สูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนักฟุตบอลส่วนใหญ่มีไม่ถึง 46 เปอร์เซ็นต์ แถมยังสามารถทำความเร็วสูงสุดในฟุตบอลโลก 2018 ได้ถึง 33.98 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นสถิติที่เร็วที่สุดในทัวร์นาเมนต์

โรนัลโด เป็นคนที่นิยมความสมบูรณ์แบบ เขาแทบจะเรียกได้ว่า หมกมุ่นกับความฟิตของตัวเอง และมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอด ตั้งแต่สมัยอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 

“เขาคือคนแรกที่ผมเห็นว่าจ้างทั้งนักโภชนาการ หมอ นักกายภาพบำบัด และหัวหน้าพ่อครัวส่วนตัว” ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตเพื่อนร่วมทีมปีศาจแดงของโรนัลโด กล่าวกับ Goal 

 4

“เขาลงทุนไปกับตัวเองและกลายเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของโลก” ในขณะเดียวกัน โรนัลโดก็ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูร่างกายของตัวเอง และไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาใช้เวลาอย่างคุ้มค่าทุกนาทีในการดูแลร่างกายตัวเอง 

“บางครั้งที่เรากลับมาจากเกมสโมสรยุโรป ประมาณตอนตี 3 แต่โรนัลโด เป็นนักเตะที่ไม่ได้มุ่งตรงกลับบ้านเลย เขากลับไปที่สนามซ้อมเพื่อแช่น้ำแข็ง เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูจากเกมการแข่งขัน” คาร์โล อันเชล็อตติ อดีตกุนซือเรอัล มาดริด กล่าวกับ Daily Mirror 

“ครั้งหนึ่ง เรากลับมาจากอิสตันบูลตอน 6 โมงเช้า และโรนัลโดตรงไปให้นักกายภาพนวดคลายกล้ามเนื้อ” พอล คลีเมนท์ ผู้ช่วยของ อันเชล็อตติ สมัยคุม เรอัล มาดริด กล่าวกับ The Guardian 

นอกจากนี้ เคล็ดลับที่ทำให้เขาสามารถยืนหยัดได้ชนิดแรงดีไม่มีตก ก็คือความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจ เขาทั้งเข้มงวดและยืดหยุ่น และเขารู้ว่าเวลาไหนควรพัก เวลาไหนควรซ้อม เพื่อให้ร่างกายเกิดความสมดุลย์มากที่สุด 

“พยายามเรียนรู้ที่จะฝึกจิตของคุณเช่นเดียวกับร่างกาย ความแข็งแกร่งทางจิตใจนั้นสำคัญเท่ากับร่างกาย และมันจะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายได้” โรนัลโดกล่าวกับ Goal 

 5

“การฝึกซ้อมคือสิ่งสำคัญที่สุด แต่การใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายจะช่วยให้คุณทำได้ดีที่สุดเท่าที่คุณสามารถทำได้ ทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ ผมใช้เวลาว่างไปกับครอบครัวและเพื่อน ที่ทำให้ผมผ่อนคลายและมีความคิดในแง่บวก” 

“การนอนหลับอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณได้ประโยชน์มากที่สุดจากการฝึกซ้อม ผมเข้านอนเร็วและตื่นแต่เช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนเกม การนอนหลับช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นฟูซึ่งมันเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ”

You Are What You Eat 

จริงอยู่ที่เมสซี อาจจะไม่ใช่นักเตะที่ฟิตเปรี๊ยะอย่างโรนัลโด แต่ในวัย 32 ปี ดาวเตะอาร์เจนไตน์ ก็ยังเป็นนักเตะที่ขาดไม่ได้ของบาร์ซา และยังปราดเปรียวว่องไว ไม่ต่างจากช่วงวัยรุ่น

เบื้องหลังที่ทำให้เขายังรักษามาตรฐานได้คือการออกกำลังกายอย่างถูกต้อง จากการรายงานของ Pinata ระบุว่าแผนการออกกำลังกายของเมสซี ถูกสร้างขึ้นมาให้เอื้อกับการเป็นผู้เล่นที่ใช้ความเร็วอย่างเขา

 6

โปรแกรมการออกกำลังกายของเขาถูกเซ็ตขึ้นมา เพื่อทำให้เมสซีสามารถทำความเร็วได้มากที่สุด ซึ่งประกอบไปด้วยการออกกำลังกายหลายรูปแบบ เช่นท่า pillar bridge-front, ท่าลันจ์, ท่ายืดกล้ามเนื้อขาด้านหลัง และ pillar skips และใช้ท่า hurdle hop และท่า split squat เพื่อสร้างกล้ามขาอีกด้วย  

เขายังใช้การกระโดดข้ามกรวยหรือสิ่งกีดขวาง ที่ทำให้การเคลื่อนไหวทางด้านข้างดีขึ้น ที่ช่วยเสริมสร้างความคล่องตัว และใช้การวิ่งในอัตราเร่งที่ต่างกัน เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ในสนาม 

นอกจากการออกกำลังกายแล้ว สิ่งที่เมสซีให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องโภชนาการ เขาได้ เจียลิโน โพเซอร์ นักโภชนาการชาวอิตาลี มาช่วยปฏิวัติการกินของเขา โดยทั้งคู่ทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2014 

โพเซอร์ ได้แยกประเภทอาหารที่จำเป็นต่อเมสซี ออกเป็น 5 หมวดหมู่คือ น้ำ น้ำมันมะกอก ธัญพืช ผลไม้สด และผักสด ซึ่งสิ่งเหล่านี้กลายเป็นอาหารหลักที่ต้องรับประทานทุกวันของ นักเตะบัลลงดอร์ 5 สมัย 

 7

“สิ่งที่ดีคือถั่วและเมล็ดพืช น้ำตาลเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับกล้ามเนื้อ ยิ่งเขาห่างจากน้ำตาลมันยิ่งดีขึ้นไปอีก แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในทุกวันนี้คือแป้งขัดขาว มันเป็นเรื่องยากที่จะหาข้าวสาลีที่ไม่ปนเปื้อน” โพเซอร์อธิบายกับ Goal 

เช่นเดียวกับนักโภชนาการทั่วไป เขายังได้แนะนำให้นักเตะหมายเลข 10 บาร์ซา ลดการกินเนื้อสัตว์ที่มากเกินไป แม้เป็นสิ่งที่ผู้คนในสเปนและอเมริกาใต้ชอบมาก 

“คนอาร์เจนตินาและคนอุรุกวัยกินเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งเป็นโปรตีนที่ย่อยยาก” โพเซอร์กล่าว 

นอกจากนี้ เมสซี ยังต้องยอมลดการกิน “มิลาเนซา” อาหารที่นิยมในอาร์เจนตินาและอุรุกวัย ซึ่งเป็นเนื้อทอดบางๆ ในขนมปังชิ้นเล็ก และ พิซซา ที่ต่างเป็นอาหารจานโปรดของเขา เพื่อรักษาสภาพร่างกายให้สมบูรณ์แบบ

“สิ่งที่คุณเอาใส่เข้าไปในร่างกายตอนอายุ 18-19 มันไม่เหมือนกับตอนที่คุณอายุ 27 แล้ว” 

แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันที่ทำให้เมสซี รวมไปถึงโรนัลโด สามารถยืนหยัดมาได้จนถึงปัจจุบัน คือการมีกันและกัน

ศัตรูที่รัก 

 8

“ผมไม่ได้แข่งกับเมสซี ผมแข่งกับตัวผมเอง ผมอยากจะโฟกัสกับตัวเอง ผมคิดถึงเกมของตัวเองมากว่าที่จะไปคิดถึงเรื่องของคู่แข่ง” โรนัลโดกล่าวกับ Men’s Health

แม้ว่าทั้ง โรนัลโด และเมสซี จะออกตัวมาโดยตลอดว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้แข่งกัน และพยายามทำผลงานให้ดีที่สุด แต่การมีอยู่ของพวกเขา กลายเป็นแรงผลักดันให้กันได้เป็นอย่างดี

จุดเริ่มต้นมหากาพย์การดวลกันของพวกเขา ต้องย้อนกลับไปในปี 2007 ที่ทั้งคู่ต่างคว้าอันดับ 2 ในการประกาศผลรางวัลบัลลงดอร์ หรือรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี โดยพ่ายแพ้ให้กับ กากา ดาวเตะของ เอซี มิลาน โดยเมสซีพูดถึงโรนัลโด ที่ขณะนั้นเล่นให้กับ แมนฯยูไนเต็ด ไว้ว่า 

“คริสเตียโน โรนัลโด เป็นนักเตะที่พิเศษ มันคงสุดยอดมากถ้าได้เล่นทีมเดียวกับเขา” เมสซีกล่าวในวันประกาศรางวัล 

และการดวลกันครั้งแรกของทั้งคู่ก็เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อแมนฯ ยูไนเต็ด ต้องโคจรมาพบกับ บาร์ซา ในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2007-08 แม้โรนัลโด จะยิงจุดโทษพลาดในนัดแรก แต่ยูไนเต็ด ก็สามารถเข้าชิง และคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ก่อนที่เขาจะได้บัลลงดอร์ในปีดังกล่าว 

บาร์ซาและยูไนเต็ด ต้องเจอกันอีกครั้งในปีต่อมาในนัดชิงชนะเลิศ UCL แต่ครั้งนี้เป็นฝ่าย เมสซี และพวกพ้องที่สามารถถอนแค้นได้ โดยแข้งหมายเลข 10 ของทีมยังเป็นผู้โหม่งประตูย้ำชัยให้ทีมเอาชนะไปได้ 2-0 และบัลลงดอร์ในปี 2009 ก็ตกเป็นของเมสซี 

 9

ก่อนที่ในฤดูกาล 2009-10 โรนัลโด จะย้ายมาสวมชุดของเรอัล มาดริด ซึ่งเป็นทีมคู่รักคู่แค้นของบาร์เซโลนา ต้นสังกัดเมสซี ทำให้การดวลกันของทั้งคู่เปิดฉากอย่างเต็มตัว 

ทั้งโรนัลโด และเมสซี ต่างแข่งกันทำผลงานอย่างเต็มที่ และช่วยยิงประตูและทำแอสซิสต์อย่างถล่มทลายให้กับต้นสังกัด ที่ทำให้เมสซี กลายเป็นดาวซัลโวและแอสซิสต์สูงสุดตลอดกาลของลาลีลา ในขณะที่โรนัลโด ตามมาเป็นอันดับ 2 ในเรื่องการยิงประตูและอันดับ 3 ในเรื่องแอสซิสต์ 

ส่วนในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ตำแหน่งดาวยิงสูงสุดตลอดกาลในรายการนี้ตกเป็นของโรนัลโด ที่ควบตำแหน่งท็อป แอสซิสต์ โดยมีเมสซีตามมาเป็นอันดับ 2 ในการทำประตู และแอสซิสต์เป็นอันดับ 5 

นอกจากนี้ทั้งคู่ยังเป็นเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ หรือรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลกเท่ากันที่ 5 สมัย โดยโรนัลโด เริ่มได้ครั้งแรกในปี 2008 ก่อนที่เมสซี จะครอง 4 ปีติดในช่วงปี 2009-2012 และกลายเป็นของดาวเตะชาวโปรตุเกส อีก 2 ครั้งในปี 2013-2014 และถูกคั่นด้วยเมสซีในปีต่อมา ก่อนที่จะกลับมาสู่โรนัลโดในปี 2016 และ 2017 

มันคือการต่อสู้ด้วยแพสชั่น ยิ่งคนหนึ่งทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม อีกคนหนึ่งก็ยิ่งอยากทำงานให้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า จนมันกลายเป็นแรงผลักดันที่สร้างความท้าทายให้พวกเขาไม่รู้ตัว 

 10

“แทบไม่ต้องสงสัยว่ามันทำให้คุณเป็นผู้เล่นที่ดีขึ้นเหมือนที่ผมเคยทำได้ (ในช่วงเวลาเดียวกัน) กับเขา” โรนัลโดให้สัมภาษณ์กับ TVI โดยพูดถึง เมสซี คู่แข่งคนสำคัญของเขา

“การเป็นคู่แข่งเป็นสิ่งที่ดี มันช่วยเติมเต็มคุณ ไม่ว่าจะในกีฬาฟุตบอลหรือกีฬาอื่น และผมก็มีความสัมพันธ์ในฐานะมืออาชีพที่ยอดเยี่ยมกับเมสซี”

“เราเคยไปกินข้าวเย็นด้วยกันมั้ย? ไม่เลย แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ในอนาคต ผมไม่มีปัญหา เขาเป็นชาวอาร์เจนตินา ภรรยาผม (จอร์จินา โรดริเกซ) ก็เช่นกัน”

ในขณะที่เมสซี แม้อาจจะไม่ได้พูดถึงความสัมพันธ์กับโรนัลโดมากนัก แต่ตอนที่คู่แข่งของเขาย้ายไปเล่นให้กับ ยูเวนตุส เขาถึงขั้นออกปากเลยว่าคิดถึงดาวยิงชาวโปรตุกีส 

“ผมคิดถึงคริสเตียโน แม้ว่าผมอาจจะไม่ได้เห็นเขาคว้าแชมป์ได้ง่ายนักเมื่อเขาจากไป แต่ที่ผ่านมาเขาก็สร้างเกียรติภูมิให้ลาลีกาไว้มาก” เมสซีกล่าวกับ FM Club 947 ในอาร์เจนตินาในปี 2018

“ยูเวนตุสที่ได้ตัวโรนัลโดจะกลายเป็นหนึ่งในทีมที่มีโอกาสลุ้นแชมป์แชมเปียนส์ลีก” 

แม้ว่า “ใครคือนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก?” จะยังคงเป็นคำถามที่ต้องถกเถียงต่อไป ตราบที่สองคนนี้ยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการลูกหนัง แต่มันคงไม่สำคัญเทียบเท่ากับมรดกที่ทั้งคู่ได้มอบให้กับโลกเอาไว้ 

พวกเขาทั้งคู่ต่างสร้างสถิติขึ้นมากมาย ทำลายสถิติตลอดกาลที่อยู่มาอย่างยาวนานหลายครั้ง รวมไปถึงสร้างปรากฎการณ์ที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลกนับครั้งไม่ถ้วน ในขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นแบบอย่างให้กับนักเตะในรุ่นหลัง 

สิ่งสำคัญที่สุดจึงไม่ใช่ใครคือนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก แต่คือการที่โลกของเรามีนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดทั้งในแง่ผลงาน และการยืนระยะได้อย่างยาวนานในคราวเดียวกันถึงสองคน 

ดังนั้น ไม่ว่าใครแพ้หรือชนะ แต่การมีทั้งสองคนอยู่ในยุคเดียวกัน ก็ถือเป็นชัยชนะที่มีค่าสำหรับแฟนบอล ที่มีโอกาสได้เห็นการเล่นอันน่าตื่นตาจากพวกเขาด้วยตาตัวเองได้นานขนาดนี้  

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ ไม่ใช่แค่ฟิต.. แต่ท็อปฟอร์ม : ทำไม "โรนัลโด - เมสซี" ถึงยืนระยะได้นานผิดธรรมชาติบอลยุคใหม่?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook