5 เหตุผลที่ทำให้ "เลสเตอร์" และ "เชลซี" กลายมาเป็นคู่แข่งล่าแชมป์เต็มตัว

5 เหตุผลที่ทำให้ "เลสเตอร์" และ "เชลซี" กลายมาเป็นคู่แข่งล่าแชมป์เต็มตัว

5 เหตุผลที่ทำให้ "เลสเตอร์" และ "เชลซี" กลายมาเป็นคู่แข่งล่าแชมป์เต็มตัว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากเกมบิ๊กแมทช์ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หล่นร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 4 และเปิดเผยอีกสองโฉมหน้าคู่แข่งรายใหม่ของหงส์แดงในซีซั่นนี้อย่างเต็มตัว แน่นอนว่าไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นสองอดีตแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี นั่นเอง!

ทั้งสองทีมขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 2 และ 3 โดยมีแต้มห่างจากจ่าฝูง ลิเวอร์พูล 8 คะแนนเท่ากัน ระยะห่างขนาดนี้ดูจะไม่มากไม่น้อยเกินไป หากเทียบกับเส้นทางอันยาวไกลที่ยังเหลืออยู่ในซีซั่นนี้ วันนี้เราจะมาดูกันว่าทำไมทั้งคู่ถึงทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ผิดจากที่หลายๆคนคาดกันไว้มาก จนขยับขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงแชมป์ลีกในประเทศที่ว่ากันว่าโหดหินมากที่สุดที่หนึ่งของโลก

1. ผลงานที่ไม่เปรี้ยงปร้าง แต่ดูสม่ำเสมอ

 gettyimages-1186664643-594x

สิ่งที่เหมือนกันของทั้ง เชลซี และ เลสเตอร์ คือ การเริ่มต้นซีซั่นได้ไม่สวยหรูเท่าใดนัก 2 เกมแรก เชลซี บุกไปแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เละเทะ 0-4 ส่วนเกมต่อมาก็เปิดบ้านเสมอ เลสเตอร์ 1-1 ส่วนด้านทีม จิ้งจอกสยาม เปิดฤดูกาล 2 เกมแรกด้วยผลเสมอทั้งสองเกม ซึ่งกว่าพวกเขาจะหาชัยชนะเจอ ต้องรอถึงสัปดาห์ที่ 3 ของพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว

หลังจากนั้น ทั้งสองทีมเหมือนจะเริ่มตั้งตัวได้ แม้จะมีสะดุดบ้าง แต่พวกเขาต่างเก็บชัยชนะได้อย่างสม่ำเสมอ จนอันดับพุ่งทะยานขึ้นมาสู่หัวตารางได้สำเร็จ ในขณะที่ทีมใหญ่อื่นๆ กลับชนะบ้าง แพ้บ้าง เสมอบ้าง กระทั่งสัปดาห์ที่ 12 ทั้งคู่ดีดตัวขึ้นมาอยู่อันดับ 2 และ 3 ของตารางมี 26 แต้มเท่ากัน ไล่จ่าฝูง ลิเวอร์พูล 8 คะแนน แม้ดูเหมือนจะยังห่าง แต่ก็ถือว่าไม่ห่างจนถึงขนาดหมดลุ้นเลยซะทีเดียว

2. ขุนพลที่ชื่อชั้นไม่หวือหวา แต่จัดว่าลงตัว

 gettyimages-1186526366-594x

ก่อนซีซั่นนี้จะเริ่ม เชลซีเจอกับปัญหาใหญ่ที่ถูกแบนห้ามลงทะเบียนนักเตะใหม่ นั่นทำให้พวกเขาต้องใช้ทรัพยากรที่เหลืออยู่แบบจำกัด พร้อมกับดันดาวรุ่งของทีมขึ้นมาเป็นกำลังหลักแทนที่สตาร์เดิมอย่าง เอแด็น อาซาร์ ที่ย้ายออกไป ซึ่งต้องบอกเลยว่าชื่อชั้นดาวรุ่งแต่ละคนของสิงห์บลูส์ ถ้าไม่ใช่แฟนตัวยงของทีมแทบไม่มีใครเคยได้ยินชื่อมาก่อน ทั้ง เมสัน เมาท์, ฟิกาโย โทโมริ, รีซ เจมส์ จะมีก็แต่เพียง แทมมี อับราฮัม ที่เคยถูกปล่อยยืมไปค้าแข้งกับทีมอื่นในพรีเมียร์ลีกมาบ้าง แต่พอเอาเข้าจริง เล่นไปเล่นมา ดาวรุ่งเหล่านี้กลับระเบิดฟอร์มสร้างชื่อขึ้นมาได้แบบไม่มีใครคาดคิด พวกเขาสามารถเติมเต็มในสิ่งที่แข้งประสบการณ์สูงขาดไปได้อย่างมีมิติและลงตัว

ด้าน เลสเตอร์ ซิตี้ พวกเขาได้นักเตะหน้าใหม่จริงๆ มาเสริมทัพ 2 ราย คือ อโยเซ เปเรซ และ เดนนิส ปราทต์ แต่กลับต้องเสียตัวหลักอย่าง แฮร์รี แม็คไกวร์ ออกไป อีกทั้ง เจมี วาร์ดี ก็อายุอานามมากขึ้น หลายคนจึงคิดว่าพวกเขาคงไม่ประสบความสำเร็จมากนักในปีนี้ แต่ก็อย่างที่ทราบกัน มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกเขาระเบิดฟอร์มได้อย่างสุดยอด ชากลาร์ โซยุนซู สามารถทดแทนการขาดหายไปของแม็คไกวร์ได้อย่างไร้ที่ติ เจมส์ แมดดิสัน, ยูริ ตีเลอมองส์ ช่วยกันสร้างสรรค์เกมได้อย่างลงตัว ที่สำคัญ วาร์ดี้กลับมาคืนฟอร์มเก่งยืนหนึ่งเป็นดาวซัลโวสูงสุดได้ ณ เวลานี้

3. กึ๋นและมันสมองของ 2 กุนซือ

 gettyimages-1162397516-594x

แบรนแดน ร็อดเจอร์ส ขึ้นชื่อว่าเป็นกุนซือจอมแท็คติกอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากรับเผือกร้อนต่อจาก โคลด ปูเอล ปลายซีซั่นก่อน ก็จัดว่าทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม คุมทีมจิ้งจอก 25 นัด ชนะ 15 เสมอ 5 แพ้ 5 โดยจุดเด่นของอดีตนายใหญ่หงส์แดงนั้น อยู่ที่การมองเห็นถึงศักยภาพของนักเตะ และนำสิ่งเหล่านั้นออกมาใช้ได้อย่างเหมาะสมและลงตัว อีกทั้งแผนการเล่นยังมีความยืดหยุ่นหลากหลาย พร้อมปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ จึงยากที่คู่แข่งจะเดาทางได้ว่าเกมนี้จะต้องเจอกับอะไร

ทางด้านเชลซี ได้กุนซือใหม่ที่พึ่งจะมีประสบการณ์คุมทีมเพียงปีเดียว แถมเป็นการคุมทีมระดับ เดอะ แชมเปียนชิพ เท่านั้น จึงเป็นเครื่องหมายคำถามให้กับใครหลายๆคน ไม่ใช่แค่กับแฟนสิงห์บลูส์ว่า แลมพาร์ดจะพาทีมก้าวต่อไปได้ภายใต้ปัญหาและข้อจำกัดที่ถาโถมเข้ามาพร้อมๆกันในเวลานั้น เช่น การถูกแบนห้ามลงทะเบียนนักเตะใหม่ หรือแม้แต่การจากไปของสตาร์อันดับหนึ่งอย่าง เอแด็น อาซาร์ ได้หรือไม่ ซึ่งตอนนี้เราคงได้คำตอบแล้วว่า ส่วนผสมระหว่างดาวรุ่งและแข้งมากประสบการณ์สไตล์ซูเปอร์แฟรงค์ ก็สามารถพาทีมไปอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นได้ ซึ่งสไตล์ของแลมพาร์ดค่อนข้างชัดเจนว่าเน้นเกมรุก แต่มิติและรูปแบบการเข้าทำค่อนข้างหลากหลาย นั่นทำให้รูปเกมดูงดงาม สามารถสร้างสีสันในสนามให้น่าติดตามชมตลอด 90 นาที แม้สกอร์จะตามหลังหรือนำขาดไปแล้วก็ตาม

4. ความเป็นธรรมชาติที่ไร้ความกดดัน

 gettyimages-1162580539-594x

อีกสิ่งหนึ่งที่มีเหมือนกันของทั้งสองทีมในช่วงที่ผ่านมาคือ การลงสนามโดยไม่ต้องคาดหวังสิ่งอื่นใดนอกจากเอาชนะคู่แข่งตรงหน้าให้ได้เท่านั้น ไม่ต้องมาลุ้นผลคู่อื่น ไม่ต้องแคร์ว่าใครจะตามทัน ไม่ต้องแคร์ว่าทีมอยู่ส่วนไหนของตาราง นั่นจึงทำให้ทุกเกมที่ลงสนาม พวกเขาจะเล่นแบบไร้ความกดดัน ส่งผลให้นักเตะและโค้ชทำงานได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถโฟกัสอยู่ที่ทีมตัวเอง และทำให้เกมนั้นออกมาดีที่สุดโดยไม่ต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมาใดๆทั้งสิ้น

5. ถึงเวลาที่หงส์แดงต้องแข่งกับตัวเองอีกครั้ง

 gettyimages-1181428845-594x

ตอนนี้ ลิเวอร์พูลนำห่างทีมอันดับสองและสามถึง 8 คะแนน ระยะห่างเหล่านี้ดูเหมือนจะมาก แต่ในทางกลับกันหากพวกเข้าสะดุดสัก 2-3 เกม ก็มีสิทธิ์โดนแซงได้เหมือนกัน ดังนั้น เมื่อพวกเขากุมความได้เปรียบเอาไว้อยู่ในมือแล้วนั้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวเองแล้วว่าจะรักษามันเอาไว้ได้นานแค่ไหน นี่ยังไม่นับถึงความกดดันมหาศาลในแต่ละเกมที่จะบีบให้ พลพรรคเรด แมชชีน ต้องเก็บ 3 แต้มให้ได้ในทุกนัดที่ลงเล่น ไหนจะรายการอื่นๆอีกมากมายที่พวกเขาต้องโฟกัส และมันอาจทำให้พวกเขาเสียสมาธิในช่วงท้ายเหมือนกับปีก่อนๆ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่หงส์แดงต้องก้าวข้ามข้อจำกัดนั้นของตัวเองไปให้ได้ เพราะตอนนี้ถ้วยแชมป์อยู่ในกำมือพวกเขาแล้ว อยู่ที่ว่าเขาจะเลือกยกมันขึ้นสูงหรือเลือกจะปล่อยมันไปเท่านั้นเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook