"ดิเอโก้ ฟอร์ลัน" : นักฟุตบอลที่ละทิ้งความฝันเพื่อพี่สาวที่รักบนรถเข็น

"ดิเอโก้ ฟอร์ลัน" : นักฟุตบอลที่ละทิ้งความฝันเพื่อพี่สาวที่รักบนรถเข็น

"ดิเอโก้ ฟอร์ลัน" : นักฟุตบอลที่ละทิ้งความฝันเพื่อพี่สาวที่รักบนรถเข็น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ดาวยิงผมบลอนด์ ที่มาพร้อมกับผ้าคาดหัวจนเป็นเอกลักษณ์ คือภาพจำของชายที่ชื่อว่า ดิเอโก้ ฟอร์ลัน เขาเป็นหนึ่งในนักเตะระดับตำนานของอุรุกวัย จากประตูที่ผลิตให้สโมสรและทีมชาติอย่างเป็นกอบเป็นกำ จนคว้ารางวัลดาวยิงสูงสุดแห่งฤดูกาลของยุโรป และดาวซัลโวฟุตบอลโลกมาแล้ว

อย่างไรก็ดี แม้จะประสบความสำเร็จในชีวิตนักเตะอาชีพ แต่ฟุตบอลไม่ใช่กีฬาชนิดแรกที่เขาชื่นชอบ ในอดีต ฟอร์ลัน เคยเป็นนักเทนนิสมาก่อน เขาชื่นชอบมันมาก และมุ่งมั่นที่จะเป็นนักเทนนิสอย่างจริงจัง

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ อดีตดาวยิงทีมชาติอุรุกวัย เปลี่ยนเส้นทางชีวิตจากไม้แร็คเก็ตมาสู่โลกลูกหนัง? ติดตามไปพร้อมกับ Main Stand 

 

ครอบครัวลูกหนัง 

ไกลออกไปทางตอนใต้ของละตินอเมริกา ที่รายล้อมไปด้วยบิ๊กเบิ้มของทวีปอย่างบราซิล และ อาร์เจนตินา มีดินแดนที่ชื่อว่าอุรุกวัยแทรกตัวอยู่ พวกเขาคือประเทศเล็กๆ ที่มีพื้นที่เพียงแค่ 181,034 ตารางกิโลเมตร ใกล้เคียงกับภาคอีสานของไทย และมีประชากรเพียงแค่ 3.5 ล้านคนเท่านั้น 

 1

แม้จะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่ในวงการฟุตบอล อุรุกวัยคือหนึ่งในชาติมหาอำนาจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พวกเขาคือแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1930 และเคยคว้าถ้วยใบนี้ได้อีกครั้งในปี 1950 แถมยังเป็นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัย และแชมป์โคปา อเมริกา อีกถึง 15 สมัย 

และทีมชาติอุรุกวัย ก็เป็นจุดกำเนิดนักเตะทีมชาติในครอบครัวฟอร์ลันถึง 3 รุ่น แถมทั้งสามรุ่น ยังสร้างประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์โคปา อเมริกา มาครองได้ทั้งสามคน หลัง ดิเอโก้ ฟอร์ลัน พาทีมคว้าถ้วยใบนี้เมื่อปี 2011 

“ตาของผมก็เคยคว้าแชมป์ พ่อของผมก็เคยได้ และตอนนี้ผมก็ทำได้สำเร็จ” ฟอร์ลันกล่าวหลังพาทีมเอาชนะ ปารากวัย 3-0 ในนัดชิงชนะเลิศเมื่อปี 2011 

“นักเตะสามรุ่นคว้าถ้วยใบนี้ ชื่อของฟอร์ลัน จะอยู่ในประวัติศาสตร์” 

ฮวน คาร์ลอส โคราโซ ตาของฟอร์ลัน คือนักเตะทีมชาติอุรุกวัยในยุคเริ่มแรก และค้าแข้งกับ อินดิเพนเดนเต้ ในช่วงทศวรรษที่ 1930 แถมยังเคยเป็นกุนซือทีมชาติในฟุตบอลโลก ในปี 1962 และเป็นเจ้าของสถิติพาทีมจอมโหดไม่แพ้ใคร 14 นัดติดต่อกันในช่วงปี 1967-1968 

ในขณะที่ ปาโบล พ่อของเขา เล่นตำแหน่งแบ็คขวาให้กับทีมชาติอุรุกวัยในฟุตบอลโลก 1966 และ 1974 รวมไปถึงค้าแข้งให้กับหลายทีมดังทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่าง เพนารอล, เซา เปาโล, ครูเซโร และ นาซิอองนาล 

อย่างไรก็ดี แม้จะเกิดมาในครอบครัวของนักเตะ ที่มีสภาพแวดล้อมสมบูรณ์ แต่ย้อนกลับไปในวัยเด็ก ฟุตบอลไม่ใช่กีฬาชนิดแรกที่เขาตกหลุมรัก

เทนนิสคือที่ 1

ฟุตบอลอาจจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่ฟอร์ลันรู้จัก หลังลืมตาดูโลก จากการที่ตาและพ่อของเขาเป็นนักเตะดัง และเขาเองก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเล่นกีฬาชนิดนี้ แต่สิ่งที่เขาหลงใหลมากกว่า คือการจับไม้แร็คเก็ตเล่นเทนนิส 

 2

ฟอร์ลัน ชื่นชอบเทนนิสมาก มันไม่ใช่แค่สนใจชั่วคราวเหมือนเด็กเล่นของเล่น แต่เขาตั้งใจกับกีฬาชนิดนี้ตั้งแต่เด็ก ใกล้บ้านของเขา บริเวณแถบชานเมืองมอนเตวิเดโอ เมืองหลวงของอุรุกวัย มีสนามเทนนิสที่ชื่อว่า คาร์รัสโซ ลอน เทนนิส สมาคม และเขาก็มักจะไปคลุกคลีอยู่เป็นประจำ และเริ่มเรียนเทนนิสอย่างจริงจังที่นี่ 

“เรามีเขาเป็นนักเรียนของสมาคมตั้งแต่เขาอายุ 8 -16 ปี ดิเอโก้ มีความหลงใหลในเทนนิสมากกว่าฟุตบอล ดังนั้นจึงไม่มีใครในตอนนั้นคาดคิดว่าเขาจะกลายเป็นตำนานของอุรุกวัยอย่างทุกวันนี้ได้” มิเกล โมไรรา ที่เคยสอนเทนนิสให้ ดิเอโก้ ตอนอายุ 7-13 ปีกล่าวกับ Sofoot

อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ฟุตบอล คือกีฬาอันดับ 1 ของอุรุกวัย ทำให้ที่สมาคมแห่งนี้ มีชั่วโมงให้เด็กได้เล่นฟุตบอลอีกด้วย ทำให้ ฟอร์ลัน ได้มีโอกาสเล่นกีฬาทั้งสองประเภทควบคู่กันไป แต่ถึงอย่างนั้น เทนนิส ก็ดูเหมือนจะเป็นกีฬาที่เขาสนใจมากกว่าในตอนนั้น 

“เขามักอยากตีบอลอยู่เสมอ เขาซ้อมกับกำแพงที่มีวงเป็นเป้าให้ตีโดน ไม้แรก หลังจากนั้นเท้าทั้งสองก็ตามไป” มิเกลกล่าวต่อ 

“เรามีตารางที่แตกต่างกัน มีชั่วโมงสำหรับเทนนิส และมีชั่วโมงอื่นๆสำหรับฟุตบอล แต่เขาเชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน มันเป็นกิจกรรมที่สนุก เขาไม่มีข้อผูกมัดและสนุกกับกีฬาอย่างง่ายๆ”

ฟอร์ลัน สนุกกับกีฬาที่เขาชื่นชอบอยู่หลายปี และมุ่งมั่นที่จะเข้าสู่วงการนี้อย่างจริงจัง แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันในวันหนึ่ง ก็มาเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล

อุบัติเหตุเปลี่ยนชีวิต 

มันเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว…  

14 กันยายน 1994 มันเป็นวันที่ อเลฮานดรา ฟอร์ลัน พี่สาวของดิเอโก้วัย 17 ปีในตอนนั้น นั่งรถมากับ กอนซาโล่ แฟนหนุ่ม หลังกลับจากไปเที่ยวงานปาร์ตี้กับกลุ่มเพื่อน ที่ย่านแรมบลา ย่านชื่อดังในกรุงมอนเตวิเดโอของอุรุกวัย

 3

มันเป็นคืนที่ฝนพรำ เธอนั่งอยู่ข้างๆ โดยมี กอนซาโล่ เป็นคนขับ แต่ช่วงเวลาไม่กี่วินาที อยู่ๆ รถก็เสียการควบคุม จากนั้นก็เริ่มหมุนคว้างอย่างน่ากลัว ก่อนที่จะพุ่งกระแทกเข้ากับต้นปาล์มในบริเวณนั้น 

“ฉันจำได้ว่าตอนรถหมุนไปเรื่อยๆ ฉันร้องขอพระเจ้าให้ฉันได้อยู่ต่อ ฉันไม่อยากตาย ฉันอยากจะได้เจอครอบครัวอีกครั้งและบอกว่าฉันรักพวกเขามากแค่ไหน” อเลฮานดรา ย้อนความหลังกับ Hola 

โชคร้ายที่ทั้ง กอนซาโล และ อเลฮานดรา ต่างไม่มีใครคาดเข็มขัดนิรภัยเลย แรงอัดกระแทกทำให้ กอนซาโล่ เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ในขณะที่พี่สาวฟอร์ลัน ตกอยู่ในสภาพโคม่า และต้องพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาลถึง 7 เดือน ในสภาพที่สวมเครื่องช่วยหายใจ 

ไม่เพียงเท่านั้น อุบัติเหตุในครั้งนั้น นอกจากจะคร่าชีวิตแฟนหนุ่มของเธอแล้ว มันยังทำให้ อเลฮานดรา กลายเป็นอัมพาตตั้งแต่ท่อนล่างลงไป และต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นตลอดชีวิต 

สิ่งนี้สร้างความเจ็บปวดให้ ดิเอโก้ ในวัย 13 ปีมาก แม้ว่าเขาจะชื่นชอบเทนนิสมากเพียงใด แต่เขาก็ตั้งใจที่จะเลือกเดินตามรอยเท้าของคนในครอบครัว และต้องเป็นนักฟุตบอลที่โด่งดังให้ได้ เพื่อหาเงินให้ได้มากที่สุดเพื่อมารักษา อเลฮานดรา 

 4

“สิ่งแรกที่เขาบอกกับฉันตอนที่ฉันยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาลคือ เขาจะเป็นนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียง และหาเงินเพื่อให้ฉันมีหมอที่เก่งที่สุดในโลก” อเลฮานดรา กล่าว

“ผมบอกเธอตอนที่เธอนอนอยู่โรงพยาบาลว่าผมจะต้องเป็นดาวดังให้ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะมีชีวิตที่ดีต่อจากนี้” ดิเอโก ฟอร์ลัน อธิบาย

และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ดิเอโก้ ฟอร์ลัน เลิกเล่นเทนนิส และเบนเข็มเข้าสู่วงการลูกหนัง

จากนี้เพื่อพี่สาว 

แม้จะเป็นคำสัญญาของเด็กวัย 13 ปี แต่มันไม่ใช่แค่คำสัญญาลอยๆ หรือแค่คำให้กำลังใจแก่พี่สาว ฟอร์ลัน จริงจังกับเรื่องนี้ และอยากทำให้คำสัญญาเป็นจริงให้ได้ แต่ก้าวแรกของเขาคือต้องเป็นนักฟุตบอลอาชีพให้ได้ก่อน 

 5

ฟอร์ลัน ใช้เวลา 3 ปีหลังเหตุการณ์นั้น ฝึกปรือฝีเท้าของตัวเองให้ดีขึ้น และด้วยความมุ่งมั่น ทำให้ตอนอายุ 16 ปี เขาตัดสินใจบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่ยุโรป เมืองหลวงของฟุตบอล เพื่อเข้ามาทดสอบฝีเท้ากับ นองซี ในลีกฝรั่งเศส 

เขาใช้เวลาอยู่กับนองซี ถึง 5 เดือน ในตอนนั้นเขามีเทคนิคที่ค่อนข้างดี และการจบสกอร์ที่ไม่เป็นสองรองใครในวัยเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่สโมสรแห่งฝรั่งเศสไม่สามารถมอบสัญญาให้เขาได้ 

แม้ว่าจะสะดุดตั้งแต่เริ่มต้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฟอร์ลันยอมแพ้ เขาเดินทางกลับอเมริกาใต้ และเข้าเป็นนักเตะเยาวชนของ อินดิเพนเดนเต้ ทีมดังแห่งอาร์เจนตินา และอดีตสโมสรเก่าของตาของเขา 

สิ่งที่ทำให้ฟอร์ลัน เลือกที่จะเข้าทีมเยาวชนในอาร์เจนตินา แทนที่จะเป็นสโมสรในบ้านเกิด เป็นเพราะว่าเขาอยากจะยืนหยัดด้วยตัวเอง เขาสัญญากับพี่สาวว่าจะเป็นนักเตะดังก็จริง แต่ต้องดังด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพียงเพราะพึ่งพาชื่อเสียงเก่าๆ ของตาและพ่อ 

และที่นั่นก็ทำให้เขาได้แจ้งเกิด ฟอร์ลันใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีก็ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะของทีมได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะซัดไปถึง 40 ประตูจาก 91 ที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาไปไกลถึงยุโรป 

ผลงานอันยอดเยี่ยมของ ฟอร์ลัน เข้าไปเตะตา สตีฟ แม็คลาเรน กุนซือของ มิดเดิลสโบรช์ อย่างจัง พวกเขาตกลงค่าตัว 6.9 ล้านปอนด์ของ ฟอร์ลันได้เป็นที่เรียบร้อย และเจ้าตัวก็เดินทางมาอังกฤษ เพื่อเจรจาเรื่องสัญญา แต่กลับโดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมที่แม็คลาเรนเคยเป็นผู้ช่วยกุนซือ ชิงตัวไปได้ในนาทีสุดท้าย 

 6

นอกจากชื่อชั้นที่เหนือกว่า เหตุผลที่ทำให้ ฟอร์ลัน ตัดสินใจเลือก แมนฯ ยูไนเต็ด แทนโบโร่ ก็มาจากเรื่องเงินเป็นสำคัญ เขาเคยสัญญากับอเลฮานดราเอาไว้ ว่าจะหาเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อเอามารักษาพี่สาว และเขาก็ยังคงรักษาคำสัญญานั้น 

“แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ ผมจึงตัดสินใจไปที่นั่น อีกอย่างก็คือพวกเขาเสนอเงินให้ผมมากกว่ามิดเดิลสโบรช์” ฟอร์ลันอธิบายผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของแมนฯ ยูไนเต็ด 

และทันทีที่เขาได้รับเงินจากการย้ายทีมเป็นมูลค่าสูงถึง 1 ล้านปอนด์ ฟอร์ลัน ก็โอนเงินจำนวนนั้นเข้าบัญชีของพ่อทันที เพื่อเป็นค่ารักษาพี่สาวและค่าดูแลเธอ 

เขายังได้ดัดแปลงบ้านที่แมนเชสเตอร์ เพื่อรองรับอเลฮานดรา หากเธอมาเยี่ยม เขายังโทรหาเธอทุกวัน และบอกว่าเธอเป็นพี่สาวที่ดีที่สุดในโลกในช่วงนั้นที่เธอยังเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล หลังจากระบบหายใจมีปัญหา และมักจะหาโอกาสไปเยี่ยมทุกครั้งที่มีโอกาส 

มันคือการอุทิศตัวให้แก่พี่สาวอย่างแท้จริง

ล้มเหลวกับ ยูไนเต็ด? 

ฟอร์ลัน ถูกซื้อตัวเข้ามาในช่วงตลาดนักเตะหน้าหนาวฤดูกาล 2001-02 เพื่อทดแทนการจากไปของ แอนดี้ โคล อดีตดาวยิงปีศาจแดง ที่เพิ่งย้ายไปเล่นให้กับ แบล็คเบิร์น ในช่วงเปิดตลาด และ ดไวท์ ยอร์ค ที่กำลังจะไปเล่นให้กับ มิดเดิลสโบรช์ (แม้ว่าภายหลังดีลจะล่มก็ตาม) 

 7

เขาได้ประเดิมสนามทันทีในหนึ่งสัปดาห์หลังย้ายมาร่วมทีม ด้วยการถูกส่งลงเป็นตัวสำรองใน 15 นาทีสุดท้ายในเกมพบ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส ก่อนที่การลงเล่นตัวจริงนัดแรกในสีเสื้อปีศาจแดง ต้องรอจนถึงวันที่ 6 มีนาคมในเกมพบ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ 

สไตล์การเล่นในตอนนั้นของเขาดุดันราวกับพายุ เขาจะวิ่งพล่านไปทั่วสนาม ออกไปไล่บอลคู่แข่ง แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นและทุ่มเท แต่น่าเสียดายที่การจบสกอร์ที่เฉียบคมแบบที่เป็นจุดแข็งของเขา กลับไม่มีโอกาสได้เห็นเลยในฤดูกาลนั้น  

ในครึ่งฤดูกาลแรกในชีวิตกับพรีเมียร์ลีก ฟอร์ลันได้รับโอกาสลงเล่นไป 13 นัด และสัมผัสเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีก 5 เกม แต่กลับไม่สามารถเบิกสกอร์ให้ทีมได้เลยแม้แต่ลูกเดียว 

อย่างไรก็ดี เขายังคงได้รับความเชื่อมั่นจากเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และยังอยู่ในแผนการทำทีมในฤดูกาลต่อมา เขายิงประเดิมประตูแรกได้จากจุดโทษ ในเกมแชมเปียนส์ลีก ที่พบกับ มัคคาบี ไฮฟา ในเดือนกันยายน 2002 และซัดสกอร์แรกในพรีเมียร์ลีกได้ในนัดพบ แอสตัน วิลลา ในเดือนต่อมา 

ฤดูกาลที่ 2 เขายิงให้ยูไนเต็ดไปได้ 9 ประตูจาก 45 นัดในทุกรายการ และ 8 ประตูจาก 32 นัดในฤดูกาลที่ 3 คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก กับเอฟเอคัพ รายการละ 1 สมัย ก่อนถูกขายไปให้ บียาร์เรอัล ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2004-05 ด้วยค่าตัวสุดถูกเพียงแค่ 2.8 ล้านปอนด์ ท่ามกลางความคาดการณ์ว่าเป็นเพราะเขาทำผลงานได้ล้มเหลว

แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? 

จริงอยู่ที่ฟอร์ลัน อาจจะมีสถิติการยิงประตูที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับตำแหน่งกองหน้า แต่สำหรับเพื่อนร่วมทีม เขามีประโยชน์มากกว่าที่เห็นเป็นตัวเลข ความขยันของเขาทั้งในสนามซ้อมและสนามจริงเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีสำหรับทีม 

 8

“โอเล กุนนาร์ โซลชา อดีตคู่หูผมที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครั้งหนึ่งเคยบอกผมว่า ผมฝึกหนักกว่าผู้เล่นคนไหนที่เขาเคยเล่นด้วย” ฟอร์ลันกล่าว 

การฝึกหนักของเขา มันไม่ใช่เพื่อตัวของเขาเองเท่านั้น แต่มันยังมีคำสัญญาที่เคยลั่นวาจาเอาไว้กับพี่สาว ทำให้เขาเต็มที่ในทุกโอกาส เพื่อวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นนักเตะดังให้ได้ 

“ถ้าผู้เล่นคนหนึ่งพยายาม ดิเอโก้ก็จะทำด้วย เราก็จะลากเขาไปด้วย เราพยายามช่วยเขาอย่างเต็มที่” รอย คีน อดีตกัปตัน แมนฯ ยูไนเต็ด ย้อนความหลัง 

“ดิเอโก้เป็นคนตรงไปตรงมา ในการฝึกซ้อม หลายคนอาจจะพูดว่า ‘โชคร้ายจัง พรุ่งนี้ก็ดีขึ้นน่า’ แต่สำหรับฟอร์ลัน เขาจะพูดว่า ‘ต้องทำได้ดีกว่านี้สิวะ’” 

หากฟอร์ลันดีจริง แล้วเหตุใด แมนฯ ยูไนเต็ดจึงปล่อยตัวเขาไปเล่นในสเปน? หลังจากปล่อยให้ผู้คนสงสัยมานาน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือของปีศาจแดงในตอนนั้นก็ออกมาไขข้อข้องใจว่ามันไม่ใช่เรื่องผลงานในสนาม 

 9

“มันไม่ได้มีปัญหากับเขาเลยที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด อาจจะเป็นแค่ปัญหาการจับคู่ การเล่นกับ ฟาน นิสเตลรอย มันไม่ได้เวิร์คก็แค่นั้น” เฟอร์กี้ กล่าวกับ Independent เมื่อปี 2010

“เขามีปัญหาอื่น นั่นคือเรื่องสุขภาพของพี่สาวของเขาที่สเปน เขาอยากไปสเปนอยู่เสมอ สิ่งเดียวที่เราตำหนิตัวเองคือเราขายเขาไปในราคาที่ถูกไป” 

“เราโชคดีที่เคยมีเขา เขาเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยม เป็นมืออาชีพที่มหัศจรรย์ พูดได้ห้าภาษา และเป็นนักเทนนิสที่สุดยอดเช่นกัน” 

หลังออกจากแมน ยูไนเต็ด ฟอร์ลัน ก็สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นยอดดาวยิงแห่งยุค เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมที่สเปน ทั้งกับ บียาร์เรอัล และ แอตเลติโก มาดริด ด้วยการคว้ารางวัลดาวซัลโว ลาลีกา 2 สมัยในฤดูกาล 2004-05 และ 2008-09 จากผลงาน 25 และ 32 ประตูตามลำดับ และทั้งสองปีนั้น เขาเป็นดาวซัลโวยุโรปอีกด้วย

ฟอร์ลัน ยังเป็นเจ้าของดาวซัลโวร่วมฟุตบอล 2010 ที่แอฟริกาใต้ หลังระเบิดฟอร์มยิง 5 ประตู พาอุรุกวัยเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ที่ทำให้เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งทัวร์นาเมนต์ไปครอง และเป็นชาวอุรุกวัยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัลนี้

เขาเพิ่งจะยุติเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพไปเมื่อปี 2018 โดยมี คิตฉี ในฮ่องกง เป็นสโมสรสุดท้ายในเส้นทางนี้ ตลอดชีวิตการค้าแข้งเขายิงไปถึง 310 ประตูจาก 637 และได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในนักเตะระดับตำนานของอุรุกวัย 

“ดิเอโก้ เป็นคนมีน้ำใจมากในแบบที่ไม่ค่อยได้เจอ เขาเป็นคนขยัน มีวินัย และเหนือสิ่งอื่นใด เป็นคนถ่อมตัว เขาเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมตลอดชีวิต” อเลฮานดรากล่าวกับ Hola 

 10

ในขณะเดียวกัน ฟอร์ลันเองภารกิจสำคัญที่ดำเนินการร่วมกับพี่สาว นั่นคือ “มูลนิธิ อเลฮานดรา ฟอร์ลัน” ที่ก่อตั้งมาเมื่อปี 2009 ที่มีไว้รณรงค์ความเท่าเทียมกันและช่วยเหลือคนพิการ รวมไปถึงป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนน เหมือนที่พี่สาวของเขาเคยประสบ 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า พี่สาวของฟอร์ลัน มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตเขา เธอกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก จนทำให้เด็กหนุ่มที่ชื่นชอบเทนนิส ยอมทิ้งฝัน หันเหสู่เส้นทางลูกหนัง และกลายมาเป็นหนึ่งในตำนานของวงการฟุตบอลอย่างเหลือเชื่อ 

“เธอเป็นแรงบันดาลใจให้ผมหลังจากเหตุการณ์นั้นและตลอดมา เธอเป็นคนพิเศษด้วยจิตวิญญาณที่พิเศษ เธอช่วยกระตุ้นผมและผมเป็นตัวแทนของเธอในสนาม” ฟอร์ลันกล่าวกับ Yahoo Sports

ในขณะเดียวกัน ฟอร์ลันเอง ก็เป็นแรงกระตุ้นสำหรับเธอ คำสัญญาที่น้องชายเคยให้ไว้ได้กลายเป็นกำลังใจที่ทำให้ อเลฮานดรา มีแรงที่จะฮึดเดินต่อ แม้ว่าร่างกายอาจจะไม่เหมือนเดิมก็ตาม เพราะเธอยังคงมีน้องดีๆ อย่างฟอร์ลัน เคียงข้างอยู่เสมอ และมันก็ไม่มีอะไรที่จะมาแทนที่ได้ 

“ฉันรู้สึกสนุกเวลาได้เห็นผลงานของเขา ฉันรู้ว่าเขาต้องทำงานหนักแค่ไหนเพื่อมาได้ถึงจุดนี้ เขาควรได้รับทุกความสำเร็จในโลกใบนี้ เวลาที่เขาวิ่ง เขากำลังทำมันเพื่อฉันเช่นกัน” อเลฮานดราทิ้งท้าย 

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ "ดิเอโก้ ฟอร์ลัน" : นักฟุตบอลที่ละทิ้งความฝันเพื่อพี่สาวที่รักบนรถเข็น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook