เคอร์ลอน นักเตะที่โด่งดัง และ ล้มเหลวด้วยท่าเลี้ยงบอลแบบ "แมวน้ำ"

เคอร์ลอน นักเตะที่โด่งดัง และ ล้มเหลวด้วยท่าเลี้ยงบอลแบบ "แมวน้ำ"

เคอร์ลอน นักเตะที่โด่งดัง และ ล้มเหลวด้วยท่าเลี้ยงบอลแบบ "แมวน้ำ"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ย้อนกลับไปสัก 15 ปีก่อนที่ YouTube เพิ่งจะเริ่มบูมและมีเหล่ามือตัดคลิปฟุตบอลสวยๆ อัปโหลดให้แฟนๆทั่วโลกได้ชม เมื่อนั้นโลกทัศน์ของคอบอลก็เปิดกว้างแบบไม่รู้จบ

แน่นอนว่าหากใครที่ทันในยุคนั้นจะต้องได้เห็นคลิปของ 1 ในนักเตะที่ดังมากในยูทูบที่ชื่อว่า "เคอร์ลอน" เด็กระเบิดจากบราซิล ที่ลงเล่นในศึกชิงแชมป์อเมริกาใต้รุ่นยู 17 ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์และยิง 8 ประตูจาก 7 เกมที่ลงสนาม

แต่จำนวนประตูที่ทำได้ยังไม่น่า "ว้าว" เท่ากับทักษะของเขาที่เรียกว่า "ซีล ดริบเบิ้ล" (Seal Dribble) หรือ "เลี้ยงบอลแบบแมวน้ำ" นั่นคือการเอาบอลขึ้นมาเลี้ยงไว้บนหัวและโหม่งบอลไปเรื่อยๆ  

ท่านี้คือท่าที่ไม่มีทางหยุดได้นอกจากจะทำฟาวล์ มันควรจะเป็นท่าไม้ตายที่ทำให้เขาโด่งดังและมีชื่อเสียงหากรวมกับฝีเท้าที่เขามี ... อย่างไรก็ตามเรื่องจริงกลับแตกต่างไปคนละขั้ว

ทำไมท่าไม้ตายที่หยุดไม่ได้ จึงดูไร้ค่าเมื่อเขาย้ายมาค้าแข้งในยุโรป? ติดตามได้ที่นี่

กำเนิดแมวน้ำ 

ศึกชิงแชมป์ทวีปอเมริกาใต้รุ่นยู 17 คือเวทีที่สร้างยอดฝีมือและกลายเป็นแข้งระดับโลกมาแล้วมากมาย ลิโอเนล เมสซี่, โรนัลโด้, โรนัลดินโญ่ หรือใครก็ตามที่คุณนึกออก ล้วนมีจุดเริ่มต้นที่ฟุตบอลเด็กแบบนี้ทั้งนั้น 


Photo : www.thesun.co.uk

การจะดูว่าเด็กคนไหนมีแววในรายการเช่นนี้นั้นง่ายนิดเดียว วิธีดูแบบคนดูบ้านๆ มีอยู่ 2 อย่างนั้นคือ 1. ยิงประตูแหลกลาญ 2. โดดเด่นยิ่งกว่าใครในสนามอย่างเห็นได้ชัด และ 3. มีคาแร็คเตอร์ที่มองแว่บแรกก็จำได้ทันที ซึ่งทั้ง 3 อย่างนั้นมีอยู่ในตัวของ "เคอร์ลอน" 

เรื่องนี้ย้อนไปตอนปี 2005 ที่เขาถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลชุดยู 17 เคอร์ลอน ในเสื้อหมายเลข 20 เป็นทุกอย่างของทีม เขาทำ 8 ประตูจาก 7 เกมที่ลงสนามคว้ารางวัล MVP ประจำทัวร์นาเมนต์และส่งให้ บราซิล เป็นแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 7

ดาวรุ่งอายุแค่ 17 ปี ส่วนสูง 167 เซนติเมตร ผมสีดำเข้ม ได้ฉายาว่า "นิว โรนัลดินโญ่" ทันทีหลังจากการแข่งขันนั้นจบลง เขาเดินทางกลับไปยังต้นสังกัดอย่าง ครูไซโร่ และถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่ในอีกไม่นาน เมื่อนั้นชีวิตค้าแข้งของเขาก็ไม่สงบสุขอีกเลย

ทุกสโมสรใหญ่ทั่วยุโรปส่งแมวมองข้ามฟ้าข้ามทะเลมายัง บราซิล เพื่อพยายามปิดดีลนี้ล่วงหน้าให้ได้ เพราะนักเตะบราซิลจะยังย้ายออกมาเล่นต่างแดนไม่ได้หากอายุยังไม่ถึง 18 ปี แต่เวลานั้นไม่คอยท่า เรอัล มาดริด, แมนฯ ยูไนเต็ด, ยูเวนตุส และทีมอื่นๆ อีกมากมายต้องการลายเซ็นของเขาล่วงหน้า เพราะหากพลาดไป ทุกคนเชื่อว่าจะต้องเสียใจที่ไม่พยายามคว้าเพชรเม็ดงามเม็ดนี้

 

เตะเท่านั้นที่หยุดได้ 

สิ่งที่ เคอร์ลอน พยายามใช้มาตลอดเมื่อได้ลงสนามคือท่า "ซีล ดริบเบิ้ล" หากเขางัดบอลขึ้นมาเอาหัวโหม่งและเลี้ยงไปข้างหน้าได้ มันก็ยากที่จะหยุด ทุกการใช้ท่านี้หนึ่งครั้งเขาจะช่วยให้ทีมพาบอลกินแดนไปได้ราวๆ 5-10 เมตรเป็นอย่างต่ำ และหากใครจะหยุดเขาต้องเตะคนให้ร่วงสถานเดียว


Photo : thesefootballtimes.co

ในช่วงที่ยังเป็นบอลเด็กชุดยู 17 หรือในทีมระดับเยาวชนของสโมสร เต็มที่ก็แค่ฟาวล์และทีมของเขาได้ฟรีคิกมันก็แค่นั้น แต่เมื่อขึ้นชุดใหญ่ ท่า "ซีล ดริบเบิ้ล" ของเขาต้องถูกพิสูจน์ด้วยอะไรที่มากกว่านั้นเยอะ 

ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ใหญ่อายุมากกว่า ร่างกายแข็งแรงกว่า แน่นอนว่าการได้เห็นเด็กเมื่อวานซืนเพิ่งขึ้นรุ่นงัดบอลขึ้นมาไว้บนหัวและวิ่งยั่วให้คุณสกัดฟาวล์ คืออะไรที่ไม่ชวนให้สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง และเมื่อที่นี่คือ บราซิล ด้วยแล้ว หากจะฟาวล์ทั้งทีก็ต้องซัดหนักจัดให้คุ้มทื่จะเสียใบเหลืองหรือใบแดง 

แรกๆ นั้นมันยังไม่รุนแรงมากในการตัดฟาวล์แต่ละครั้ง จนกระทั่งสุดท้ายมันเป็นประเด็นครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอลบราซิล มันเกิดขึ้นในเกมดาร์บี้แมตช์ ระหว่าง แอตเลติโก มิไนโร่ กับ ครูไซโร่ 

เกมดุเดือดตามประสาเกมดาร์บี้ แต่ทุกอย่างอยู่ภายใต้กรอบกติกาเป็นอย่างดี จนกระทั่งในช่วงท้ายเกมที่ ครูไซโร่ นำเจ้าบ้านอยู่ 4-3 และเคอร์ลอน ตัดสินใจเอาท่าไม้ตายของเขาออกมาใช้ ซึ่งจุดประสงค์ในการใช้ "ซีล ดริบเบิ้ล" ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การลุ้นทำประตูแต่อย่างใด แต่มันคือการพาบอลเข้ามุมและถ่วงเวลาตามประสาบอลนำ 

ลำพังแค่เลี้ยงบอลเข้ามุมธงทีมที่ตามหลังก็หัวร้อนจะแย่ แต่นี่คือเด็กอายุ 17 ปี ที่พาบอลเข้ามุมด้วยการเลี้ยงบอลไว้บนหัวและวนไปวนมาเพื่อรอคนมาทำฟาวล์ จริงอยู่ที่มันไม่ผิดกติกา แต่สำหรับแข้ง มิไนโร่ พวกเขาคิดว่า "นี่มันเกินไป"

กองหลังของ มิไนโร่ ที่ชื่อว่า โคเอลโญ่ พยายามจะเข้าไปกระแทกจากด้านหลังในครั้งแรก ทว่า เคอร์ลอน ก็ยังขืนตัวเองไว้ได้และไม่ยอมหยุดใช้ท่านั้นจน โคเอลโญ่ โมโหถึงขีดสุด เขาเตะใส่ เคอร์ลอน แบบเต็มๆ มันคือการปะทะในรูปแบบของ "บอลอยู่ไหนไม่รู้ แต่คนต้องร่วง" ซึ่ง เคอร์ลอน ก็ร่วงจริงๆ ถึงตอนนั้นเกมในสนามเดือดถึงขีดสุด เมื่อผู้เล่นมิไนโร่วิ่งเข้มาากระชากเขาลุกจากพื้นและพยายามตะโกนบอกว่า "แบบนี้มันหยามเกินไป"  

 

การปะทะครั้งนั้นทำเกมหยุดไป 5 นาทีเต็มๆ ผู้เล่นสองฝั่งมีปากเสียงและกระทบกระทั่งกันจนสุดท้ายเกมกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ ส่วน โคเอลโญ่ นั้นโดนใบแดงโดยตรงออกจากสนามไป 

ทว่าเหตุการณ์ไม่จบแค่ในสนามและผลการแข่งขัน 4-3 เพราะหลังจากเกมจบลง คนใหญ่คนโตและสื่อในบราซิลต่างพากันพูดถึงประเด็นนี้กันอย่างเผ็ดร้อน เอฟเอ ของบราซิล มีคำสั่งแบน โคเอลโญ่ ทันที 4 เดือนฐานจงใจทำร้ายเพื่อนร่วมอาชีพ แต่การลงโทษนั้นไม่ได้ทำให้เขาสำนึก

"ผมไม่มีทางอดใจไหวแน่ถ้าเจอคนเลี้ยงบอลด้วยหัวแบบนี้ ผมแค่อยากให้เด็กนั่นรู้ว่าเมื่อทีมของคุณกำลังจะแพ้และเจออะไรแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่น วิถีเดียวที่จะหยุดมันได้คือต้องเอาไหล่กระแทกไหล่เอาให้ร่วง แต่ที่ผมทำมันเป็นส่วนหนึ่งของฟุตบอล และมันเกิดขึ้นไปแล้ว" โคเอลโญ่ กล่าว 

เสียงของคนฟุตบอลในบราซิลแตกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งแรกคือฝั่งที่บอกว่าต่อให้ เคอร์ลอน จะเลี้ยงท่าแมวน้ำวนไปรอบสนาม เขาก็ไม่ควรโดนเล่นนอกกติกาแบบตั้งใจให้เจ็บตัว เพราะกติการะบุไว้ชัดเจนว่าการเลี้ยงบอลแบบนี้ถูกต้องตามกฎอย่างตรงไปตรงมา 

ส่วนอีกเสียงก็บอกว่าสมควรแล้ว การโดนเตะครั้งนี้จะเป็นการสอนให้ เคอร์ลอน ที่อายุแค่ 17 ปีรู้ว่าโลกฟุตบอลของจริงมันเป็นอย่างไร ... ไม่มีทางที่มันจะง่ายเหมือนกับบอลเด็กที่เขาแค่งัดบอลขึ้นหัว และหลังจากนั้นก็เข้าไปเรียกฟาวล์ให้กับทีมพร้อมลุกขึ้นมาเล่นต่อซ้ำๆ แบบนี้ไม่รู้จบ 

"มันตั้งใจยั่วกันชัดๆ" จอร์จินโญ่ ตำนานนักเตะชุดแชมป์โลกปี 1994 ที่ ณ ช่วงปี 2006 เป็นผู้ช่วยโค้ชของทีมชาติบราซิลชุดใหญ่เลือกข้างสมควรโดน "มันยากนะที่จะไม่รำคาญเมื่อมีคนมาทำอะไรแบบนี้ใส่คุณ เคอร์ลอน ยังอายุน้อยและมีอีกหลายสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้"


Photo : gauchazh.clicrbs.com.br

ขณะที่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟของทีม ฟลูมิเนนเซ่ อย่าง ลุยส์ อัลแบร์โต้ ก็บอกไปในทิศทางเดียวกัน และสนับสนุนฝั่ง โคเอลโญ่ ที่โดนแบนว่า ถ้าเขาโดน เคอร์ลอน เลี้ยงท่าแมวน้ำใส่เหมือนที่ โคเอลโญ่ โดน ผลลัพธ์คงออกมาไม่ต่างกัน เผลอๆ จะหนักข้อยิ่งกว่าที่ โคเอลโญ่ ทำด้วยซ้ำไป

"เขาไม่มีทางผ่านผมไปได้ด้วยท่าเลี้ยงนั้นแน่คอยดูสิ" ลุยส์ อัลแบร์โต้ กล่าว 

อย่างไรก็ตาม เคอร์ลอน ไม่เคยหยุดใช้ท่านั้น ต่อให้ต้องเจ็บตัวเขาก็จะทำเพราะมันคือท่าที่ยากจะหยุดได้ ซึ่งส่วนนี้มีอดีตนักเตะทีมชาติบราซิลหรือนักวิจารณ์หลายคนให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกับเขาว่า กลุ่มต่อต้านทำตัวเหมือนพวกมือถือสากปากถือศีล กล่าวคือทุกคนชื่นชอบและภูมิใจเมื่อมีคนบอกว่า "บราซิลคือประเทศที่เล่นฟุตบอลด้วยเทคนิคที่สวยงามที่สุด" แต่พอ เคอร์ลอน โชว์เทคนิคที่ไม่มีใครทำ ทุกคนกลับรุมด่าเขาทั้งๆ ที่เขาคือคนที่ต้องเจ็บตัว

"ฟุตบอลของบราซิลประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมเพราะอะไร? ใช่พวกเราคือศิลปินลูกหนังไม่ใช่พวก 'บอลนักเลง' ที่เตะชาวบ้านเขาเป็นอย่างเดียว เราต้องการคนอย่าง เคอร์ลอน ที่ลงเล่นราวกับเป็นศิลปินที่โชว์ศิลปะบนสนามหญ้า" หลุยส์ แฟร์นันโด โกเมส นักข่าวของสำนักข่าว Lance ในบราซิลกล่าวถึง 

 

เอาเข้าจริงฝ่ายไหนถูก? 

เคอร์ลอน ย้ายไปอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน ในช่วงปี 2008 แต่โดนส่งให้กับ คิเอโว เวโรนา ยืมตัว เพราะช่วงเวลานั้น อินเตอร์ มีปัญหานักเตะต่างชาติเกินโควต้า จึงต้องฝากเลี้ยงไว้ที่ คิเอโว ก่อนเหมือนที่พวกเขาเคยฝาก ฮูลิโอ เซซาร์ และ วิคเตอร์ โอบินน่า ไว้ก่อนหน้านี้ และคนที่จัดการเรื่องดังกล่าวให้เรียบร้อยไม่ใช่ใครที่ไหน มิโน่ ไรโอล่า เอเย่นต์มือ 1 ของวงการฟุตบอลที่เป็นเจ้าพ่อแห่งการต่อรองนั่นเอง 


Photo : www.fcinter1908.it

ข้อถกเถียงมากมายที่ บราซิล ไม่มีประโยชน์เลยที่จะเอามาพูดถึงที่ อิตาลี เพราะ เคอร์ลอน กับ "ซีล ดริบเบิ้ล" ที่แฟนๆ อยากเห็น แทบไม่เคยปรากฎเลย (เหตุเพราะไม่มีคลิปวีดีโอที่ใช้ท่านี้สมัยค้าแข้งในอิตาลีแม้เพียงคลิปเดียว) จริงอยู่เขาอาจจะเคยใช้มันบ้างในสนามซ้อม แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่ออกมาน่าจะใช้คำว่า "ไม่ได้ผล" เพราะในปีแรกเขาได้ลงเล่นให้ คิเอโว่ แค่ 4 เกมเท่านั้น จนกระทั่ง อินเตอร์ แต่งตั้ง โชเซ่ มูรินโญ่ คุมทีมในปี 2009 ตัวของ เคอร์ลอน จึงได้กลับมาพิสูจน์ตัวเองกับต้นสังกัดจริงๆ 

เมื่อกลับมายัง อินเตอร์ เขาได้ซ้อมกับนักเตะระดับโลกมากมาย ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ, เวสลี่ย์ สไนจ์เดอร์ และ มาร์โก มาเตร์รัซซี่ ที่เป็นกลุุ่มผู้เล่นเบอร์ใหญ่ที่สุดที่เขาเคยเจอ สำหรับ เคอร์ลอน แล้วเขาไม่ต้องการมาให้ใครมาบอกเขาว่าท่า "ซีล ดริบเบิ้ล" มันเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด แต่เขาได้รู้ว่าเมื่อต้องมาเล่นในเกมฟุตบอลระดับสูง ทักษะนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำออกมาใช้เหมือนที่เล่นในทีมเยาวชนยู 17 หรือตอนที่ค้าแข้งในลีกบราซิล

"ผมได้ไปทัวร์กับ อินเตอร์ ในช่วงปรีซีซั่นที่ มูรินโญ่ เข้ามา แต่พูดตรงๆ ผมไม่เคยพยายามที่จะเลี้ยงบอลด้วยหัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกคนในสนามตัวสูงใหญ่อย่างกับยักษ์ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้ 'ซีล ดริบเบิ้ล' ผมลองนึกภาพดูถ้าผมใช้มันขึ้นมาใส่กองหลังอย่าง มาเตร์รัซซี่ เขาคงชนผมกระเด็นขึ้นฟ้าปานว่าผมบินได้เลยล่ะ" เคอร์ลอน กล่าว

สิ่งที่น่าผิดหวังคือเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมายนัก และในช่วงที่มาเล่นในยุโรปก็แทบไม่มีใครจำเขาได้อีกเลย เมื่อท่าเลี้ยงแมวน้ำไม่สามารถงัดออกมาใช้ได้ ทุกอย่างก็จบตรงนั้น

เคอร์ลอน เจอกับเส้นทางค้าแข้งที่ผิดหวังมาตลอด แทบไม่มีที่ไหนที่เขากลับมาเล่นได้แบบ ครูไซโร่ อีกแล้วไม่ว่าจะ อินเตอร์, คิเอโว่ ไปจนถึงลีกมอลต้า ก็เคยไปมาแล้ว 

เขาลงเล่นฟุตบอลอาชีพทั้งหมด 12 ปี แต่ได้ลงสนามทั้งหมดไม่เกิน 120 นัด มันชัดเจนมากๆ ว่านั่นคือความล้มเหลว จนทุกคนสามารถบอกได้ว่า "ซีล ดริบเบิ้ล" ก็แค่ลูกไม้เด็กน้อยที่ทำได้แค่โชว์ แต่ด้อยประสิทธิภาพในการแข่งขันจริง   

ภายใต้คำดูถูก เคอร์ลอน ค้นเจอความหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่คำว่าล้มเหลว ... และสิ่งนั้นก็คือ? 

 

มองย้อนกลับไปอย่างผู้ชนะ

เคอร์ลอน ผู้ล้มเหลวไม่เคยคิดว่าเขาเป็นอย่างที่ใครว่า ท่าไม้ตาย "ซีล ดริบเบิ้ล" สำหรับเขาไม่ได้ไร้ค่า เพราะอย่างน้อยมันทำให้ชีวิตเขามีสีสันมากที่สุด และใครก็ตามที่เคยเห็นคลิปวีดีโอนั้นยังจดจำเขาได้ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักเตะที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย


Photo : as.com

"ท่านี้เนี่ย คนที่ฝึกให้ผมคือ 'โค้ชตัวละครลับ' นั่นก็คือพ่อผมเอง พ่อให้ผมฝึกทำมันตั้งแต่ 9 ขวบ ผมฝึกมันทุกวันจนทำมันออกมาได้เป็นธรรมชาติมากที่สุดเกินกว่าใครจะทำได้" เคอร์ลอน ในวัย 31 ปีที่เลิกเล่นฟุตบอลแล้วกล่าว

เขาไม่ใช่คนขวางโลก เขารู้ว่า "ซีล ดริบเบิ้ล" ทำให้เขาโดนหมั่นไส้ โดนไล่เตะ และเป็นจุดเริ่มต้นให้ร่างกายของเขาเจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอดตั้งแต่เป็นดาวรุ่ง เขาผ่าตัดถึง 8 ครั้ง โดย 6 ครั้งเกิดขึ้นที่หัวเข่า และอีก 2 ครั้งเกิดขึ้นที่ข้อเท้า และทั้งหมดทำให้เขาพัฒนาได้ช้ากว่าคนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ย้ำคำเดิมว่าต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็จะทำเหมือนเดิมอยู่ดี

"ผมว่ามันอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดนะ แต่ผมก็ไม่เสียใจกับชะตากรรมที่เกิดขึ้นหรอก ทุกคนล้วนมีเรื่องราวของชีวิตที่แตกต่าง ถ้าตอนนั้นผมรู้อนาคตล่วงหน้าชีวิตก็คงจะจืดชืดสิ้นดี ดังนั้นผมบอกคุณได้เลยว่าผมมีความสุขกับทุกสิ่งที่ผมทำ ส่วนใครจะบอกว่าผมงี่เง่าทำในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ผมก็มักจะบอกเขาไปว่า ... 'นี่มันชีวิตของข้าว่ะ เส้นทางนี้ข้าเลือกเอง'" เคอร์ลอน กล่าวกับสื่อบราซิล

"ซีล ดริบเบิ้ล" ไม่ใช่สิ่งที่นำเรื่องร้ายๆ มาให้เขาเท่านั้น หากมองอีกด้านมันก่อให้เกิดความสุขเล็กๆ แบบที่เขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเจอได้เหมือนกัน ... 

มีช่วงหนึ่งที่เขาไปเล่นให้กับทีมระดับดิวิชั่น 3 ของญี่ปุ่นที่ชื่อว่า ฟูจิเอดะ MYFC ทีมเล็กๆ ที่แทบไม่ปรากฎบนหน้าสื่อ (แฟนบอลไทยอาจจะคุ้นหูบ้างตอนที่ จัน วัฒนากา ดาวดังของกัมพูชาไปเล่นให้ช่วงสั้นๆ) แต่นั่นคือช่วงที่เขาได้ความสุขแบบที่นักเตะระดับโลกก็ยากที่จะได้เจอกลับมา และจุดเริ่มต้นคือท่า "ซีล ดริบเบิ้ล" นั่นเอง


Photo : dsds2009.info

"ที่ญี่ปุ่นเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างทางวัฒนธรรมมาก (คนบราซิลเป็นคนสบายๆ แต่คนญี่ปุ่นเข้มงวดกับทุกสิ่ง) พวกเขาต้องมารับผมที่บ้านตอน 7 โมงเช้าทุกวัน แต่ผมน่ะคนบราซิล เวลาผมไปช้าประมาณครึ่งชั่วโมงทุกคนจะโกรธผมมาก ไม่มีใครคุยกับผมเลย จนกระทั่งวันหนึ่งทุกคนบอกผมว่า 'ฟังนะไอ้น้อง สำหรับที่นี่ เวลาเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์มากๆ จำไว้' จากนั้นผมก็ไม่เคยไปซ้อมช้าอีกเลย"  

ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ เคอร์ลอน กลับมาเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในรอบหลายปี เขาได้ลงสนามให้ทีม 22 นัดยิงไป 9 ลูก นอกจากที่ ครูไซโร่ เขาไม่เคยลงสนามให้ทีมไหนมากกว่าที่ญี่ปุ่นอีกแล้ว  

ท่า "ซีล ดริบเบิ้ล" ทำให้เขาได้มาที่นี่ และมันทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของเด็กๆ ที่ญี่ปุ่น ทุกครั้งที่เขาเจอแฟนบอลรุ่นเยาว์ เด็กๆ จะบอกว่าทำท่า "ซีล ดริบเบิ้ล" ให้ดูหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าเขาเต็มใจมากที่จะโชว์ให้เด็กๆ ได้รู้ว่าเขานี่แหละคือผู้ให้กำเนิดท่านี้คนแรกของโลก  

เขากลายเป็นคนดังของเมือง และมีเครื่องดื่มซอฟต์ดริงค์ยี่ห้อท้องถิ่น ที่นำรูปวาดของเขาไปแปะเป็นโลโก้ โดยใช้ชื่อรสชาติว่า "Foquinha" (ภาษาโปรตุเกสแปลว่า แมวน้ำ) และนำมาขายในสนามที่มีวันแข่ง ซึ่งน้ำยี่ห้อนี้ยังขายดิบขายดีเสียด้วย


Photo : www.otempo.com.br

"ตอนที่ผมหมดสัญญา น้ำยี่ห้อนี้เปลี่ยนฉลากเป็นคำว่า 'โชคดี เคอร์ลอน' มันขายดีมากเลยนะ ผมเคยลองกินอยู่บ้าง มันเป็นน้ำที่อัดแก๊สเข้าไป รสชาติอร่อยมาก" เขาเล่าถึงเส้นทางที่ ซีล ดริบเบิ้ล พาเขาไปเจอกับอะไรที่แปลกใหม่อย่างสนุกสนาน 

ช่วงเวลาหลังจากแขวนสตั๊ด เขาได้แต่งงานและมีลูกสาว 1 คน ใช้ชีวิตเรียบง่าย แม้ใครจะบอกว่ามันยากถึงยากมากสำหรับนักฟุตบอลตกสวรรค์ หากวันไหนไม่ดังขึ้นมาและต้องแขวนสตั๊ด การหาเงินก็จะฝืดเคืองมากกว่าเดิมเยอะ 

"ตอนเป็นนักเตะอะไรก็ง่าย อยากได้อะไรมันก็จะมาอยู่ในมือคุณ ตั้งแต่ที่นอนสักหลังหรือบิลค่าใช้จ่ายต่างๆ ทุกคนจะแย่งกันทำจัดการให้คุณ แรกๆ มันยากนะที่เลิกเป็นนักฟุตบอล หลายคนสบายจนมองไม่เห็นตัวเองหลังจากเลิกเล่น แรกๆ ผมเองก็เป็นแบบนั้นแหละ" เคอร์ลอน กล่าว 

ตอนนี้เขาปรับตัวได้ เมื่อมีครอบครัวทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทาง เขาเริ่มทำงานในศูนย์ฝึกเยาวชนที่ชื่อว่า "โอเล่ ซ็อคเกอร์" ใน คอนเนตติคัต ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีนักเรียนมากกว่า 3,000 คน ที่นี่เองทำให้เขาเห็นตัวเองตอนหนุ่ม และรู้สึกมีความสุขกายสบายใจ 


Photo : jovempan.com.br

เมื่อถามเขาว่าสำหรับท่า "ซีล ดริบเบิ้ล" ที่ตัวของเขาเป็นเหมือนเจ้าของลายเซ็นนี้ มีความหมายสำหรับเขาอย่างไรบ้าง เคอร์ลอน ได้ตอบสั้นๆ ว่ามันคือสิ่งที่เขาจะต้องจดจำมันไปตลอดชีวิต ไม่มีวันที่จะลืมได้

"ผมคือผู้ริเริ่มและใช้มัน และไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปีไม่มีใครสามารถเอาความภูมิใจนี้ไปจากผมได้" เคอร์ลอน กล่าวทิ้งท้าย 

ชีวิตของคนเรานั้นเกิดมาเพื่ออะไร? ... เกิดมาเพื่อทำในสิ่งที่คนอื่นชื่นชอบ หรือทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ?  สำหรับ เคอร์ลอน เขาเลือกแบบที่ 2 และเขาไม่เคยเสียใจเลยสักครั้งที่เลือกข้อนี้

ใครจะมองว่าเขาแพ้และล้มเหลวอย่างไรก็ช่าง สุดท้ายแล้วเขามองท่า "ซีล ดริบเบิ้ล" ว่าเป็นเครื่องหมายของชัยชนะสำหรับชีวิตของเขา 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook