"ไฆเม มาตา" : ผู้ไม่เคยเชื่อว่าฟุตบอลจะทำให้ชีวิตดีขึ้น.. จนกระทั่งติดทีมชาติสเปน
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/sp/0/ud/209/1047583/d.jpg"ไฆเม มาตา" : ผู้ไม่เคยเชื่อว่าฟุตบอลจะทำให้ชีวิตดีขึ้น.. จนกระทั่งติดทีมชาติสเปน

    "ไฆเม มาตา" : ผู้ไม่เคยเชื่อว่าฟุตบอลจะทำให้ชีวิตดีขึ้น.. จนกระทั่งติดทีมชาติสเปน

    2020-01-25T09:07:00+07:00
    แชร์เรื่องนี้

    ปัจจุบัน นักเตะบนโลกนี้หลายคนสามารถรักษาระดับการเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมแม้จะอายุมากกว่า 30 ปี พวกเขาได้รับการยอมรับในฐานะคนสำคัญของสโมสรหรือในระดับทีมชาติ ผ่านประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดตั้งแต่ยังเป็นนักเตะดาวรุ่ง 

    แต่สำหรับใครบางคนมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น และ ไฆเม มาตา ดาวเตะของเกตาเฟ่ ที่เล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรกตอนอายุ 25 ปี และได้เล่นลีกสูงสุดครั้งแรกในวัย 30 ปี จะเล่าว่าชีวิตของนักเตะไร้แต้มต่อนั้นเป็นเช่นไร?

    จากคนที่โดนเบี้ยวค่าเหนื่อย ลงเล่นในสนามที่เต็มไปด้วยโคลน และเคยคิดจะออกไปเรียนให้จบปริญญาตรีแทนที่จะเป็นนักเตะอาชีพ เขาก้าวขึ้นมาติดทีมชาติสเปนชุดใหญ่ได้อย่างไร?

     

    พบเรื่องราวแข้งนักสู้ที่ไม่รู้จักคำว่าแก่เกินไปได้ที่นี่ 

    ปลายทางช่างสวยงาม 

    ทีมชาติสเปน กำลังมองหาความเปลี่ยนแปลง หลังจากที่เหล่านักเตะชุดแชมป์โลกปี 2010 หลายคนเริ่มถึงช่วงเวลาปลดระวาง 

    พวกเขาไม่ได้มีทีมที่แข็งแกร่งมากนักในปัจจุบันหากเทียบกับในช่วงทศวรรษก่อนหน้านี้ ดังนั้น การเปลี่ยนสายเลือดใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับ หลุยส์ เอ็นริเก กุนซือของทีมกระทิงดุชุดปัจจุบัน 

    ในยุคของเอ็นริเก (รวมถึงช่วงที่ โรเบิร์ต โมเรโน ขึ้นมาเป็นกุนซือรักษาการชั่วขณะหนึ่ง) จึงมีนักเตะใหม่ๆเข้ามารับใช้ทีมชาติมากมาย รายชื่ออย่าง อดามา ตราโอเร, ดานี เซบายอส, มิเกล โอยาร์ซาบัล, ดานี โอลโม และคนอื่นๆ อีกมากมายถูกเรียกเข้ามาทดลอง

     1

    ผู้เล่นเหล่านี้ถือเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ได้รับการยกย่องมาตั้งแต่ที่พวกเขายังเล่นในระดับเยาวชนแล้ว พวกเขาเติบโตมากับระบบอะคาเดมีของทีมระดับลีกสูงสุดที่มีชื่อเสียง ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง พวกเขาจึงได้โอกาสก้าวขึ้นมาพิสูจน์ตัวเองในนามทีมชาติ

    อย่างไรก็ตาม ในรายชื่อมากมาย กลับมีนักเตะที่เป็นเหมือนแกะดำในทีมชุดนี้อยู่คนหนึ่ง นั่นคือ ไฆเม มาตา ดาวยิงวัย 30 ปี ของเกตาเฟ่ ที่ได้รับโอกาสครั้งแรกพร้อมๆกับรุ่นน้องที่กล่าวชื่อมาในข้างต้น

    ไฆเมไม่เคยฝึกฟุตบอลในอะคาเดมีระดับมาตรฐานเลยแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต เขาโตขึ้นมาพร้อมๆกับการลงเล่นฟุตบอลกับทีมระดับท้องถิ่นตั้งแต่ยังวัยรุ่น ดังนั้นการติดทีมชาติจึงไม่ใช่สิ่งที่เขากล้าคาดหวัง จนกระทั่งเอ็นริเกเรียกตัวเขามาในเดือนมีนาคม ปี 2019 เขาจึงได้รู้เป็นครั้งแรกว่า "ทีมชาติสเปนมันเป็นแบบนี้นี่เอง"

    ในวันรายงานตัว เขาเดินทางเข้าสู่แคมป์ทีมชาติและร้อง "ว้าว" กับสิ่งที่ได้พบเห็น ไม่ใช่แค่สิ่งปลูกสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกเท่านั้นที่มันแตกต่างและทันสมัยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา แต่มันยังรวมถึงสื่อต่างๆมากมายที่รอการปรากฎตัวของเขา.. ทุกคนสนใจเรื่องราวของนักเตะโนเนมที่เล่นแต่ในลีกล่างมาแทบจะตลอดชีวิตค้าแข้ง ว่าที่สุดแล้ว เขาเดินทางมายังจุดที่ได้ใส่เสื้อทีมชาติที่มีดาวในฐานะแชมป์โลกได้อย่างไร? 

     2

    "ในฐานะนักฟุตบอลที่เคยได้เล่นแต่กับทีมเล็กๆเป็นส่วนใหญ่ คุณจะต้องแปลกใจแน่นอนเมื่อได้เห็นห้องนวดขนาดใหญ่และพนักงานนวดที่มากมาย.. และกว่าที่ผมจะมาอยู่จุดนี้ ถนนสายชีวิตของผมมันยาวมากจริงๆ" ไฆเม มาตา เล่าความรู้สึกของตัวเอง หลังถูกเรียกตัวติดทีมชาติสเปนชุดใหญ่ 

    ไอ้ทางที่ว่ายาวและยากลำบากซึ่งไฆเมบอกนั้น.. จริงๆแล้วมันยากลำบากขนาดไหนกันแน่? 

    อีกฟากของโลกฟุตบอล 

    ไฆเม มาตา เป็นชาวมาดริดเต็มขั้น หนุ่มเมืองหลวงอย่างเขาเคยหวังว่าจะได้เป็นนักฟุตบอลในอะคาเดมีของทีมฟุตบอลดังประจำเมืองอย่าง เรอัล มาดริด, แอตเลติโก มาดริด หรือแม้กระทั่ง เกตาเฟ่ ที่อยู่ในระดับรองลงมาก็ยังดี แต่ความจริงที่เขาต้องยอมรับคือ ในเมืองใหญ่ที่มีการแข่งขันสูง โอกาสมีอยู่จริง.. แต่ไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน 

    ในช่วงปี 2008-10 เป็นช่วงเวลาที่หลายประเทศในยุโรปพากันประกาศมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ด้วยภาวะเศรษฐกิจขาลง ทำให้สถานภาพเศรษฐกิจของชาติที่ใช้เงินสกุลยูโรหลายประเทศ อาทิ กรีซ, ไอร์แลนด์, โปรตุเกส, อิตาลี, สเปน และ ไซปรัส ซึ่งง่อนแง่นจากสภาพหนี้ที่มีอยู่แล้ว ยิ่งย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก อัตราว่างงานพุ่งขึ้นไปอยู่ที่เกือบ 10% และส่งผลกระทบทุกด้านแม้แต่เรื่องของฟุตบอล 

     3

    ไฆเม มาตา ไม่ได้เก่งพอที่จะเข้าระบบเยาวชนของทีมใหญ่ และทางเลือกเดียวที่มีคือการหาทีมใกล้บ้านในระดับท้องถิ่นลงเล่นเพื่อหาโอกาสให้ตัวเองได้พัฒนาขึ้น เผื่ออนาคตที่ไม่มีใครคาดเดาได้ เขาจึงได้เข้าไปเล่นให้กับทีม Tres Cantos ทีมระดับท้องถิ่นทางตอนเหนือของกรุงมาดริด ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ การหวังลมๆแล้งๆในการเป็นนักบอลอาชีพไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะคิด ไฆเมเชื่อว่าการเรียนและการศึกษาจะทำให้เขามีชีวิตที่ดีกว่าเดิมได้ง่ายกว่า 

    "ช่วงเวลานั้นมันยากลำบากมากเลยนะสำหรับชาวสเปน (ในปี 2009) ในลีกระดับท้องถิ่น เจ้าของทีมมักเป็นเจ้าของธุรกิจในละแวกที่ตั้งสโมสร พวกเขาจึงประสบปัญหาการเงินเพื่อทำทีมต่อไป" ไฆเมเล่าถึงช่วงเวลาดังกล่าวที่เขาบอกตัวเองว่า ฟุตบอลควรเป็นแค่งานอดิเรกหรือกิจกรรมยามว่างก็พอแล้ว

    ช่วงเวลาดังกล่าวเขาจึงไม่ได้คิดปวดหัวอะไรกับสภาวะของทีมที่แย่ลงเรื่อยๆ หลังจากนั้นเขาก็ย้ายทีมไปอยู่กับทีมระดับท้องถิ่นที่ใหญ่กว่าเดิมอีกนิดที่ชื่อว่า Galáctico Pegaso ห้องล็อคเกอร์รูมที่ไม่มีคนคอยมาทำความสะอาด สนามที่ไร้การดูแลเป็นหลุมเป็นบ่อและเต็มไปด้วยโคลน แต่เมื่อฟุตบอลเป็นแค่เวลาว่าง เขาจึงรู้สึกว่าควรจะใช้คำว่า "ช่างมัน".. แทนที่จะเครียด ก็สนุกกับการเตะฟุตบอลไปวันๆแทนดีกว่า

     4

    แต่ความจริงคือทุกคนในทีมไม่ได้คิดแบบนั้น มีนักเตะของ Galáctico Pegaso ที่รอค่าเหนื่อยซึ่งไม่ยอมออกเสียที และหลายคนมีชีวิตของคนในครอบครัวให้ต้องดูแล แต่รอเท่าไหร่ตัวเลขในบัญชีก็ไม่ขยับ พวกเขาจึงต้องรวมตัวกันประท้วงด้วยการถอดกางเกงออกช่วงก่อนลงสนาม ซึ่งตัวของไฆเมก็ร่วมการประท้วงเพื่อความยุติธรรมครั้งนี้ เขาถอดกางเกงของตัวเองออกจนเหลือแต่เสื้อและกางเกงใน เพื่อบอกสังคมให้รู้ว่าฟุตบอลสเปนระดับรากหญ้านั้นแย่ขนาดไหน

    "ผมยังมองว่าผมโชคดีสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากผมยังเด็กและชีวิตผมเองก็ไม่ได้มีภาระค่าใช้จ่ายอะไรเลย" ไฆเมในช่วงวัยที่เป็นนักศึกษาเล่าถึงมุมมองของตัวเอง ที่มองว่าฟุตบอลไม่เวิร์กกับเส้นทางของเขา 

    ยิ่งหนีกลับยิ่งเจอ

    อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ตลกเกี่ยวกับโชคชะตาของเขา เพราะยิ่งอยากจะหนีและไม่จริงจังกับฟุตบอลมากเท่าไหร่ ฝีเท้าของเขากลับพัฒนาขึ้นไม่หยุด และมีผลผลิตเป็นสกอร์แบบกระจุยกระจาย 17 ประตู จาก 42 เกมที่ลงเล่นให้กับ Galáctico Pegaso ถือว่าไม่เลวเลยสำหรับเด็กหนุ่มวัย 20 ปี   

    ด้วยฟอร์มดังกล่าว ทำให้ไฆเมที่ต้องการจะเรียนให้จบระดับปริญญาตรี ได้ย้ายไปอยู่กับทีมขนาดเล็กในเมืองหลวงอย่าง ราโย บาเยกาโน่ โดยเริ่มต้นที่การลงเล่นในระดับทีมสำรอง ที่เล่นในดิวิชั่น 3 ของประเทศ 

    และที่นี่เป็นอีกครั้งที่ผลงานของเขาดีไม่มีตก ไม่ว่าจะเป็นการเล่นในระดับทีม ราโยฯ เบ และการส่งไปยืมตัวกับสโมสรอื่นๆ เขายิงได้ 43 ลูกใน 2 ปี ถึงตอนนี้ กลายเป็นว่าฟุตบอลที่ไม่อยากเอาจริง กำลังกวักมือเรียกเขาให้ทุ่มแบบสุดตัวดูสักตั้ง.. ไฆเมคิดวิเคราะห์อยู่พักหนึ่ง และสุดท้ายเขาตัดสินใจว่า "จะลองดู"

     5

    "ผมตัดสินใจจะลาออกจากมหาวิทยาลัย เพราะมันจะมีอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น แต่การเรียนให้อะไรกับผมไม่น้อย มันทำให้มีวินัยมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การตื่นเช้าขึ้นมาเรียน และนั่นเป็นส่วนที่ทำให้ผมกลายเป็นนักฟุตบอลที่มีความเป็นมืออาชีพตั้งใจฝึกซ้อม" ไฆเมเล่าถึงการตัดสินใจครั้งนั้น

    สโมสรที่ต่อคิวรอรับตัวเขาคือทีมที่ชื่อว่า เยด้า สปอร์ติอู (Lleida Esportiu) ทีมจากแคว้นกาตาลัน ซึ่งการย้ายทีมครั้งนี้ทำให้เขาลาออกจากมหาวิทยาลัยอย่างเด็ดขาด และย้ายออกไปอยู่ไกลบ้านเป็นครั้งแรก 

    "บอกตรงๆ ผมเองไม่ใช่คนที่รักสบาย ผมอยากออกไปหาประสบการณ์การใช้ชีวิตอยู่คนเดียว เพราะผมเชื่อว่ามันเป็นอีกทางที่จะทำให้ผมโตขึ้นในแง่ของความคิด แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความกดดันที่มากขึ้น เพราะที่เยด้าต้องการระดับการเล่นสูงกว่าที่ผมเคยทำได้มาตลอดการเป็นนักฟุตบอล" 

    การเป็นนักเตะที่มีระเบียบวินัยสูงส่ง มีความรับผิดชอบในส่วนต่างๆของชีวิตราวกับการเป็นนักเตะระดับสูง จึงทำให้ในเรื่องของผลงานสำหรับไฆเมไม่ได้ตกลงไปเลย ดาวยิงจากเมืองหลวงสร้างชื่อด้วยการใส่สกอร์แบบไม่หยุดหย่อน 2 ปีกับเยด้า ทำให้ชื่อเสียงของเขาดังไปเข้าหูทีมระดับเซกุนด้า (ดิวิชั่น 2) อย่าง กิโรน่า 

    มาถึงจุดนี้ ไฆเมเข้าใจอะไรบางอย่างกับชีวิตมากขึ้น เพราะถึงแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจอาจจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก แต่ที่แน่ๆ คนเก่งจริงไม่มีวันอดตาย เพราะไม่ว่าเขาจะย้ายไปที่ไหน เขาก็ทำตัวให้เป็นคนที่ทีมขาดไม่ได้เสมอ ช่วงเวลาผ่านแต่ละปีไปอย่างรวดเร็ว และระดับความท้าทายของฟุตบอลของไฆเมไม่เคยหยุด หลังจากกิโรน่า เขาก็ขยับไปอยู่กับทีมที่ใหญ่ขึ้น และเคยเล่นในลีกสูงสุดอย่าง เรอัล บายาโดลิด ซึ่งเป็นที่ที่เขาเข้าใจว่า "ฟุตบอล" กีฬาที่เขาพยายามหนี คือตัวตนและสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขในการได้ลิ้มรสชาติของชีวิตที่แท้จริง

     6

    "ที่บายาโดลิดเป็นสถานที่ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผม และสร้างช่วงเวลาที่พิเศษที่สุด ผมมีประสบการณ์ที่สุดยอดในแบบที่หาที่ไหนไม่ได้ ผมมีเพื่อนมากมาย ลูกชายคนแรกของผมเกิดที่นี่ ผมรู้สึกว่าผมมีความรักและผูกพันกับบายาโดลิดมากจริงๆ" ไฆเมพูดถึงทีมที่เขาอยู่ด้วย 2 ปี ในปี (2016-2018) ซึ่งในปี 2018 นั้น เขาคือกำลังสำคัญที่ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์เพลย์ออฟ และเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุด ซึ่งจะเป็นครั้งแรกของเขาด้วย  

    ออกไปหาสิ่งที่ใหญ่กว่า

    ที่บายาโดลิด ไฆเมเป็นทุกอย่างของทีม และได้รับความรักในแบบที่นักเตะอาชีพทุกคนอยากจะได้ ทว่าด้วยความที่ไฆเมเป็นคนไม่ชอบอยู่ในเซฟโซน และไม่กลัวที่จะเดินใส่ความเสี่ยงเพื่อการเป็นคนที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ซึ่งหลังจากที่บายาโดลิดเลื่อนชั้น ก็มีข้อเสนอก้อนใหญ่จาก เกตาเฟ่ ทีมในลีกสูงสุดเข้ามา 

    แม้จะเป็นลีกเดียวกัน แต่ความท้าทายนั้นต่างกัน เกตาเฟ่เป็นทีมที่ใหญ่กว่าบายาโดลิด และมีกำลังในการขับเคลื่อนทีมไปได้ไกลกว่า เขาจึงตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับบายาโดลิด และย้ายกลับไปเมืองหลวงที่ซึ่งเขาจากมาเมื่อ 10 ปีก่อน 

     7

    การกลับมารอบนี้แตกต่างไปจากเดิม เขาไม่ต้องลงเล่นในสนามโคลนเหมือนในระดับเยาวชน เขาเป็นนักเตะที่มีค่าเหนื่อยสูงระดับ 2-3 หมื่นปอนด์ต่อสัปดาห์ และจะต้องเผชิญความกดดันมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ 

    การปรับตัวของไฆเมนั้นง่ายนิดเดียว โลกหมุนไปทางไหน เขาก็พร้อมจะหมุนไปทางนั้น เขาเข้าใจดีว่าในวัย 29 ปี เขาจะต้องใช้ประสบการณ์มากกว่าความสดเหมือนสมัยวัยรุ่น แต่ข้อแตกต่างของนักเตะระดับลีกสูงสุดมีเพียงนิดเดียวเท่านั้น นั่นคือใครที่มีวินัยกับตนเองและทุ่มเทในสนามซ้อมมากกว่า เขาคนนั้นจะต้องเจอกับสิ่งที่ง่ายกว่าเมื่อลงสนามแข่งขันจริง

    "คนรุ่นใหม่ก็มีวิธีการใหม่ๆในแบบที่ผมเองไม่เคยเห็นเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต้องทำคือ คุณต้องเข้าใจก่อนว่าชีวิตประจำวันของคุณควรจะต้องทำอะไรบ้าง? ผมเองปรับตัวจนรู้สึกคุ้นเคยในการทำสิ่งต่างๆเหมือนกับเป็นเด็กวัยรุ่น ผมมาซ้อมก่อนใคร อาบน้ำกลับบ้านเป็นคนสุดท้าย และเมื่อกลับบ้านก็ล้มตัวลงนอนพักผ่อนให้เต็มที่ เรื่องแบบนี้ไม่มีหนังสือที่ไหนเขียนบอกหรอก" ไฆเมกล่าว

    ไฆเมขยายความเพิ่มเติมว่า เขาเป็นคนที่แทบจะไม่ใช้โทรศัพท์มือถือเลยเมื่ออยู่ในห้องแต่งตัว เขาเชื่อว่าประสบการณ์ที่ดีที่สุด คือการเงยหน้าขึ้นและคุยกับผู้คนรอบข้างต่างหาก สำหรับไฆเมแล้ว นี่ต่างหากคือการเปิดโลกทัศน์ที่แท้จริง

    "ผมชอบนะเวลาได้ทำงานกับโค้ชที่ห้ามใช้เครื่องมือสื่อสารในล็อคเกอร์รูม อาจจะดูว่าผมหลงยุค แต่การที่ต่างคนต่างใช้โทรศัพท์ในห้องแต่งตัวก่อนที่โค้ชจะเดินเข้ามา มันไม่ได้ประโยชน์เหมือนกับการที่พวกเราหาเรื่องพูดคุยกับคนที่นั่งข้างๆ เล่าว่าไปเจออะไรมาบ้าง รายละเอียดเหล่านี้มีผลมากในแต่ละวันที่ลงฝึกซ้อม" 

     8

    ที่เกตาเฟ่ ไฆเมในวัย 30 ปี จับคู่กับ โฆเซ โมลินา ดาวยิงวัย 37 ปี และทั้งคู่ช่วยกันยิงประตูกันถล่มทลายจนเกตาเฟ่ทำอันดับไปเล่นฟุตบอลยูโรปา ลีก ในฤดูกาล 2018-19 ซึ่งผลงานดังกล่าวเป็นบทพิสูจน์ว่า ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อยเท่าไหร่ แต่สำหรับฟุตบอลไม่มีคำว่าช้าไปแน่นอน เพราะตัวของไฆเมถูกเรียกติดทีมชาติครั้งแรกในเดือนมีนาคมปี 2019 และได้ลงสนามในเกมที่สเปนสามารถเอาชนะมอลตาไป 2-1 

    "ผมคิดเสมอแหละว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ผมคว้ามาได้ตลอดชีวิตค้าแข้งของผมเกิดจากการที่ผมอุทิศตัวเองในทุกๆปี เอาจริงๆ แค่การได้เล่นในลีกสูงสุดสำหรับผม ณ ตอนแรกก็คือเรื่องที่ผมแทบไม่เคยหวังไว้ก่อนอยู่แล้วด้วยซ้ำไป" ไฆเมกล่าว 

    การให้สัมภาษณ์ในวันที่ก้าวไปติดทีมชาติ ทำเอาหลายคนสนใจชีวิตและเส้นทางทั้งหมดที่เขาผ่านมา ในขณะที่การสัมภาษณ์ใกล้จะสิ้นสุดลง มีคนถามทิ้งท้ายว่าเขามีอะไรที่จะฝากถึงนักเตะรุ่นหลังๆที่ไม่ได้เริ่มต้นจากการได้อยู่อะคาเดมีทีมสโมสรชื่อดังแบบเขาหรือเปล่า?

     9

    แรกเริ่ม ไฆเมบอกว่า "ไม่มีอะไรจะแนะนำ" แต่สุดท้าย เขาก็พูดไม่กี่ประโยคที่ดูเหมือนจะเป็นการแนะแนวในทางอ้อม 

    "คุณต้องสนุกกับทุกขั้นตอนของการเป็นนักฟุตบอล จงคิดเสมอว่า ฟุตบอลคือสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำมันได้ จงสนุกกับมันกับทุกๆวัน เรียนรู้มากขึ้น ทำงานให้หนักขึ้น กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา และสุดท้าย จงจำไว้ว่าเรื่องนอกสนามก็มีส่วนสำคัญกับอาชีพของคุณด้วย" 

    "เรื่องของอายุในโลกฟุตบอลเดี๋ยวนี้มันล้าสมัยไปแล้วหากคุณจะเอามาอ้าง ผู้เล่นทุกคนดูแลตัวเองมากขึ้น ตั้งแต่การกินอาหารและการพักผ่อน ดังนั้น ชีวิตของการเป็นนักกีฬามันยาวนานขึ้นแน่นอน คนอายุ 30 ไม่ถือว่าเป็นคนแก่ที่เล่นไม่ไหวเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว ผมคิดแบบนั้นจริงๆ" ไฆเม มาตา กล่าวทิ้งท้าย 

    อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

    อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ "ไฆเม มาตา" : ผู้ไม่เคยเชื่อว่าฟุตบอลจะทำให้ชีวิตดีขึ้น.. จนกระทั่งติดทีมชาติสเปน