เรื่องปิดที่คนอยากเปิด : กฎในล็อคเกอร์รูม NBA และความเดือดใน "ห้องแห่งความลับ"

เรื่องปิดที่คนอยากเปิด : กฎในล็อคเกอร์รูม NBA และความเดือดใน "ห้องแห่งความลับ"

เรื่องปิดที่คนอยากเปิด : กฎในล็อคเกอร์รูม NBA และความเดือดใน "ห้องแห่งความลับ"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไม่ว่าจะในฟิตเนส, สนามกีฬาสาธารณะ หรือสนามแข่งขันกีฬาระดับโลก สิ่งหนึ่งที่จะขาดไปเสียมิได้นั้นคือ "ห้องแต่งตัว" หรือ "ล็อคเกอร์รูม" (Locker Room) ที่ใช้สำหรับการเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำชำระร่างกาย รวมถึงพักผ่อนเตรียมความพร้อมหรือให้หายเหนื่อย

แน่นอนว่าในล็อคเกอร์รูมนั้นเป็นเขตลับเฉพาะ สื่อหรือคนนอกไม่สามารถเข้าไปได้ และด้วยเหตุผลนี้เอง จึงทำให้ล็อคเกอร์รูม กลายเป็นจุดสนใจที่ทำให้หลายคนอยากรู้ รวมถึงตั้งคำถามว่า ในห้องนั้น มีเรื่องราวอะไรบ้างก่อนเกม พักครึ่ง หรือแม้แต่หลังจบเกม รวมถึงคำถามที่ว่า ระหว่างผู้เล่น ระหว่างโค้ช หรือกับทีมคู่แข่งนั้น มีอะไรที่เป็นความลับกันหรือไม่

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา จึงแทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในล็อคเกอร์รูม ที่ถูกถ่ายทอดสู่สาธารณะนั้น ล้วนมาจากคำบอกเล่า หรือสิ่งที่ผู้เล่นเหล่านั้นประสบมา แล้วจดจำไปให้สัมภาษณ์กับสื่อ และบางทีก็เป็นเพื่อนร่วมทีม เพื่อนต่างทีม ที่จำคำเล่ามาบอกต่อให้กับสื่อฟัง ซึ่งแน่นอนว่าแม้แต่ระดับซูเปอร์สตาร์ก็มีเรื่องเมาท์ในล็อคเกอร์รูม อย่างสนุกสนานออกรส แม้กระทั่งดาวดังระดับ ไมเคิล จอร์แดน, ชาคีล โอนีล, เลบรอน เจมส์, โคบี้ ไบรอันท์ ก็มีเรื่องทำนองนี้เช่นกัน

เมื่อเป็นสถานที่ซึ่งมีคนจำนวนมากมารวมกัน แน่นอน ย่อมต้องมีกฎ หรือระเบียบปฏิบัติ ซึ่ง โทนี่ มาสเซนเบิร์ก อดีตนักบาสเกตบอลดีกรีแชมป์ NBA ปี 2005 กับ ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส ซึ่งได้ผันตัวมาสู่เส้นทางนักเขียน ก็ได้เขียนบทความถึง "กฎในล็อกเกอร์รูม" โดยเกริ่นนำก่อนว่า


Photo : www.nbcsports.com

"จริงๆ แล้ว ในล็อกเกอร์รูม มันมีกฎอยู่มากมายนะ ประเด็นก็คือส่วนใหญ่แล้วมันจะไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรจริงๆ หรือบางทีก็ไม่บอกด้วยว่าสิ่งไหนควรทำ ไม่ควรทำ แต่พอมาอยู่กับทีมใดทีมหนึ่งสักระยะ ก็จะรู้เอง" ซึ่งกฎสามัญประจำห้องแต่งตัวจากประสบการณ์ของมาสเซนเบิร์กมีดังต่อไปนี้ ...

ทุกคนมีพื้นที่ และไม่ก้าวก่ายกัน

ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นสูง 6 ฟุต (183 เซนติเมตร) หรือ 7 ฟุต (213 เซนติเมตร) ก็ตาม แต่ละคนจะมีพื้นที่ในห้องแต่งตัวซึ่งมีความกว้างเพียง 4 ฟุต (122 เซนติเมตร) เท่านั้น เหมือนๆ กัน 


Photo : www.newslocker.com

"ข้อห้ามสำคัญที่ทุกคนต้องรู้คือ ห้ามค้นของในช่องที่ไม่ใช่ของตนเองเด็ดขาด แม้ว่าคุณจะไม่มีโลชั่น หรือสเปรย์ระงับกลิ่นเต่าของตัวเองก็ตาม ก็ไม่มีสิทธิ์ไปหยิบของคนข้างๆ มาดื้อๆ ส่วนห้องน้ำน่ะเหรอ ใช้เสร็จคุณต้องเก็บทุกอย่างให้เรียบร้อย แชมพู ครีมอาบน้ำ เก็บเข้าที่ เส้นผมที่ร่วง ต้องทิ้งถังขยะ" มาสเซนเบิร์กเล่า 

"ผมเคยครั้งนึงนะ มีรุกกี้ (ผู้เล่นที่เพิ่งเข้าสู่ NBA ปีแรก) เขาทำไม่เรียบร้อย ผมเตือนเลย 'ไอ้น้องชาย เอ็งอย่าทำแบบนี้อีกนะ เข้าไปยังไง ออกมาต้องยังงั้น'" และมาสเซนเบิร์กยังบอกแบบติดตลกแต่เป็นเรื่องจริงอีกด้วยว่า "ห้ามลืมยาดับกลิ่นเต่า" ซึ่งเหตุผลของเขาก็ฟังขึ้นเสียด้วย "เรามีผู้เล่นหลายคนอาบน้ำ และถ้าไม่ได้ใช้ที่ดับกลิ่นเต่าตัวเองนะ คุณก็รู้ว่ามันจะเป็นยังไง"

ระวังรองเท้าให้ดี

แม้ยุคนี้จะไม่ใช่เรื่องแปลกในการใส่รองเท้าซิกเนเจอร์ของสตาร์แห่งวงการบาสเกตบอล แต่มาสเซนเบิร์กก็เผยด้วยว่า จะมีเจ้าหน้าที่ทีมคอยเช็คเสมอก่อนออกจากล็อกเกอร์รูมว่า รองเท้าที่ใส่นั้นมันขัดกับหลักหรือไม่ ซึ่งหลักที่ว่าก็คือ "ห้ามผู้เล่นสวมใส่รองเท้าซิกเนเจอร์ของผู้เล่นฝั่งตรงข้าม" 


Photo : hoopshabit.com

เรื่องนี้ แบรดลีย์ บีล การ์ดของ วอชิงตัน วิซาร์ดส์ ได้ยืนยันเสริมว่า “มันเป็นเรื่องจริงครับ มีครั้งนึงรุกกี้ของเราใส่รองเท้าของ เควิน ดูแรนท์ และเราต้องเจอกับ โกลเด้นสเตท วอริเออร์ส ทีมของเขาในตอนนั้น (ปัจจุบันดูแรนท์อยู่กับ บรูคลิน เน็ตส์) ผมและเจ้าหน้าที่ทีมได้เตือนว่า 'นายไม่ควรทำแบบนั้น เราจะไม่มีการสวมรองเท้าซิกเนเจอร์ของคู่ต่อสู้เวลาเจอกับทีมของหมอนั่นนะ'" 

รุกกี้คนที่ว่าก็คือ ทรอย บราวน์ จูเนียร์ ซึ่งทรอยได้เผยหลังเหตุการณ์ดังกล่าวว่า "ผมไม่ทราบจริงๆ ว่ามันเป็นกฎ ผมแค่ปลื้มดูแรนท์ แต่ตอนนี้ ผมเข้าใจละว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควร"

ห้ามอัด ห้ามถ่าย

นี่ถือเป็นอีกเรื่องซึ่งผู้เล่นรุ่นเก๋าทำจนเป็นที่รู้กัน โดยในล็อคเกอร์รูมจะมีกฎที่ว่า "ห้ามนำอุปกรณ์บันทึกเสียง หรือถ่ายภาพเข้ามาโดยเด็ดขาด" เพื่อป้องกันการอัดเสียง อัดคลิป ถ่ายภาพออกไปสู่โลกภายนอก เพราะแรงสะท้อนกลับจากโลกโซเชี่ยลนั้นรุนแรงมาก 



Photo : bleacherreport.com

โดย โทมัส ซาโตรานสกี้ อดีตผู้เล่นของทีมวิซาร์ดส์ชาวเช็กที่ปัจจุบันสังกัด ชิคาโก บูลส์ เคยกล่าวว่า "มันเป็นกฎที่มี เรารู้กันว่าจะไม่มีการบันทึกวีดีโอหรือเสียง เพราะมันจะมีการพูดถึงเรื่องส่วนตัว และมันจะก่อให้เกิดปัญหาอย่างมาก" 

แต่ถึงกฎข้อดังกล่าวจะเป็นที่รู้กันดีเพียงใด แต่ก็ยังเกิดปัญหาจนได้ หนึ่งในนั้นคือเหตุการณ์ฉาวโฉ่ที่ ดีแอนเจโล่ รัสเซลล์ การ์ดของทีมวอร์ริเออร์สในปัจจุบัน สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นรุกกี้ของ ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส


Photo : www.nytimes.com

ในตอนนั้น รัสเซลล์ผู้เป็นสายโซเชียลตัวพ่อ ได้เอาโทรศัพท์มือถือเข้าไปในล็อคเกอร์รูม และแอบบันทึกคลิปเสียงของ นิค ยัง รุ่นพี่ในทีมที่กำลังคุยกับสาวอื่นซึ่งไม่ใช่ อิกกี้ อาซาเลีย นักร้องคนดังที่เป็นแฟนกันในขณะนั้น ก่อนเอาออกมาเผยแพร่แบบไม่สนใจอะไร จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต และกลายเป็นหนึ่งในชนวนที่ทำให้คู่รักนั้นต้องเลิกราในเวลาต่อมา ... นั่นทำให้กฎที่ว่า "ห้ามนำสิ่งบันทึกเสียงและภาพเข้าล็อคเกอร์รูม เด็ดขาด" ศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของทุกคนที่เกี่ยวข้องยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น ยังมีเรื่องปลีกย่อยของรุกกี้อีกมากมาย ซึ่งเป็นกฎที่ต้องทำในล็อคเกอร์ รูม แน่นอนว่ารวมถึงการถูกจำกัดสิทธิ์มากกว่ารุ่นพี่อีกด้วย ซึ่ง เจสัน สมิธ อดีตผู้เล่นของทีมวิซาร์ดส์ได้กล่าวว่า "สำหรับกฎเล็กๆ น้อยๆ ในล็อคเกอร์รูมของพวกน้องใหม่นะ คือต้องไม่เข้าห้องน้ำ ไปอาบน้ำก่อนพวกรุ่นพี่ มันเป็นกฎที่พวกรุกกี้ต้องรู้เองโดยที่พวกเราจะไม่บอกพวกนั้นหรอก และก็จะต้องไม่ออกจากยิมเป็นคนแรกอีกด้วย"

เคารพทุกคนในล็อคเกอร์รูม

ในล็อคเกอร์รูมของทีมกีฬาอาชีพ ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้เล่น และทีมสตาฟฟ์โค้ชเท่านั้น แต่ยังมีนักนวดบำบัด ผู้จัดการอุปกรณ์ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เจ้าหน้าที่ติดต่อ ซึ่งแน่นอนว่า แม้จะไม่ใช่กฏของ NBA ที่ระบุออกมา แต่เป็นธรรมเนียมประเพณีที่จะต้องปฏิบัติสำหรับการให้ความเคารพ 


Photo : bleacherreport.com

โดย เจสัน สมิธ เผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า "เรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่ต้องห้ามเลย ห้ามทำสิ่งที่ไม่ควรต่อทีมเจ้าหน้าที่ในภาคส่วนต่างๆ เพราะพวกเขานั้นคือกลุ่มคนสำคัญที่ช่วยพวกเราสำหรับการเดินทางไปแข่งขันตลอดทั้งปี คุณต้องให้เกียรติ และเคารพพวกเขาให้ด้วย"

ซึ่งหลายครั้งหลายหน กลุ่มผู้ปิดทองหลังพระ ไม่ว่าจะนักกายภาพบำบัด เจ้าหน้าที่นวด เจ้าหน้าที่อุปกรณ์ หรือฝ่ายอื่นๆ ก็จะได้รับของขวัญจากบรรดาสตาร์หลากหลายคนในโอกาสพิเศษ หนึ่งในนั้นคือ รัสเซลล์ เวสบรูค การ์ดจ่ายดีกรี MVP ของ ฮิวส์ตัน ร็อคเก็ตส์ ที่เคยให้รองเท้ากับเด็กที่ดูแลอุปกรณ์ โดยเจ้าตัวบอกเหตุผลเพียงสั้นๆ ว่า "เราต้องปฏิบัติต่อทุกคนให้เหมือนเป็นคนในครอบครัว"

แม้จะปฏิบัติกันมาช้านานานจากรุ่นสู่รุ่น แต่กฎในล็อคเกอร์ รูม โดยทั่วไปนั้นมักจะมีจุดอ่อนสำคัญอยู่ประการ นั่นคือ "ไม่ได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษร" เนื่องจากกฎดังกล่าวเป็นสิ่งที่รุ่นพี่ทำแล้วค่อยมาบอกรุ่นน้องตาม

และเหตุดังกล่าวนี้เอง ที่ทำให้กฎในล็อคเกอร์รูม จึงมักจะมีการแหกอยู่เสมอ แถมบางทียังเกิดจากเหล่าผู้เล่นอาวุโสเองเสียด้วย เพราะแม้ล็อคเกอร์รูมจะเป็น "ห้องแห่งความลับ" แต่ความลับนั้นไม่มีในโลก เพราะมันไม่มีทางรอดสายตาใครไปได้ทุกคน ซึ่งคนที่กลายเป็นแหล่งข่าวสายเมาท์นั้น อาจจะเป็นได้ทั้งเจ้าหน้าที่ รวมถึงตัวนักกีฬาเอง ซึ่งก็มีหลายเหตุการณ์ที่แม้จะเป็นความลับในล็อคเกอร์รูม ณ ตอนแรก แต่ภายหลังก็ถูกเผยแพร่ออกมา ...

มวยต่างรุ่น

เริ่มที่คู่ระหว่าง "แชค" ชาคีล โอนีล กับ สก็อตต์ สไกล์ส ... ในอดีตนั้นทั้งสองคนเป็นเพื่อนร่วมทีม ออร์แลนโด แมจิค โดยที่แชคเพิ่งจะเข้าสู่ลีกได้ไม่นาน (ดราฟต์ปี 1992) ส่วนสไกล์สนั้นเป็นรุ่นพี่ที่เข้าลีกก่อนหน้าถึง 6 ปี


Photo : forums.realgm.com

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในปี 1994 สมัยที่แมจิคกำลังเป็นฟอร์มแรงจนมีลุ้นแชมป์ เรื่องเริ่มต้นเมื่อแชคได้พูดบางอย่างออกไปตลอดระหว่างทางจากอุโมงค์ถึงล็อคเกอร์รูม และแน่นอนว่าด้วยอุปนิสัยที่พูดมาก แถมยังขวานผ่าซากของแชคนั้น ทำให้รุ่นพี่อย่างสไกล์สเริ่มที่จะไม่พอใจ จากจุดเล็กๆ ที่มีการตำหนิในเกมส์การเล่น ลามจนกระทั่งเสียดสีอีกฝ่าย นำมาซึ่งการเปิดศึกวิวาทะในห้องแต่งตัว ก่อนลุกลามสู่การวางหมัด กลายเป็นศึกวันทรงชัยแบบคนละไซส์  ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันเกือบๆ 1 ฟุต (30 เซนติเมตร) และน้ำหนักที่ต่างกันกว่า 150 ปอนด์ (68 กิโลกรัม) 

แน่นอนว่าเพื่อนร่วมทีมต้องเข้ามาห้ามปราม แต่เหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้มีบทลงโทษใดๆ ตามมา เพราะว่าหลังต่อยกันเสร็จ ทั้งแชคและสไกล์สต่างบอกว่า มันไม่มีอะไร และจบก็คือจบ ตามที่แชคเปิดใจหลังจากนั้นว่า "เราไม่มีอะไร ยังเคารพกันและเป็นพี่น้องร่วมทีมกันเหมือนเดิมแหละ"

มวยถูกคู่

ช่วงต้นยุค 2000's ริชาร์ด เจฟเฟอร์สัน และ เคนยอน มาร์ติน หรือ เคมาร์ท ถือเป็นกลุ่มผู้เล่นสายเลือดใหม่ของ นิวเจอร์ซี่ย์ เน็ตส์ (บรูคลิน เน็ตส์ ในปัจจุบัน) ด้วยความที่เป็นหน้าใหม่ไฟแรง แน่นอนว่าต่างฝ่ายต่างก็มีอีโก้ในระดับที่ไม่ธรรมดา


Photo : www.netsdaily.com

และอีโก้ของทั้งคู่ก็นำมาซึ่งการงัดกันเองจนได้ในปี 2001 เรื่องเกิดขึ้นในเกมระหว่าง เน็ตส์ กับ พอร์ทแลนด์ เทรลเบลเซอร์ส ... วันนั้น เคมาร์ท มีหน้าที่ต้องประกบกับ บอนซี่ เวลส์ ตัวดาวรุ่งของเทรลเบลเซอร์สในขณะนั้นจนแทบจะหมดแรง และเอาไม่อยู่ในหลายเพลย์ เมื่อเห็นเช่นนั้น เจฟเฟอร์สันจึงได้พูดคุยแนะนำให้อีกฝ่ายรีแลกซ์ขึ้น แต่ดูเหมือนศักดิ์ศรีจะค้ำคอ เพราะมันทำให้ เคมาร์ท ที่เข้าดราฟต์มาก่อน 1 ปีถึงกับฉุนจัด

ก่อนที่ทุกอย่างจะมาระเบิดในล็อคเกอร์รูม เพราะพอประตูปิดปุ๊บ เคมาร์ทก็ผลักอกเจฟเฟอร์สัน ด่าทอด้วยคำหยาบคาย จนสุดท้ายกลายเป็นการวางมวยระหว่างกันจนได้ แต่ดูเหมือนว่าสำหรับกรณีนี้ มิตรภาพที่ดีต้องเริ่มด้วยการเป็นอริเสียก่อน เพราะหลังจากนั้น ทั้งคู่ก็เริ่มเข้าขา และพาให้ทีมเน็ตส์บินสูงอยู่หลายปีถัดจากนั้นเลยทีเดียว

วาจาพาหัวร้อน

ทุกวันนี้ เราอาจจะคุ้นชื่อ ราชอน รอนโด ในฐานะการ์ดจ่ายสำรองของ แอลเอ เลเกอร์ส (ที่ เลบรอน เจมส์ เล่นเป็นการ์ดจ่ายตัวจริง) แต่ในช่วงกลางยุค 2000's เขาถือเป็นดาวรุ่งที่เป็นส่วนผสมสำคัญ ทำให้ บอสตัน เซลติกส์ คว้าแชมป์ NBA ในปี 2008 


Photo : arhiva.dalje.com

ในปีที่คว้าแชมป์นั้น รอนโดยังเป็นเพียงผู้เล่นที่มีประสบการณ์ไม่สูงมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปสู่ปี 2011 เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นส่วนสำคัญกับทีมแล้ว ซึ่งแน่นอน อีโก้ก็ย่อมสูงขึ้นตาม กระทั่งมาทะลักปรอทแตกในรอบเพลย์ออฟสายตะวันออกกับ ไมอามี่ ฮีต เมื่อ ด็อค ริเวอร์ส เฮดโค้ชของทีมได้เปิดฉากวิจารณ์ลูกทีมออกสื่อ ซึ่งแม้แต่ตัวรอนโดเองก็ไม่รอด และในที่สุด อาการหัวร้อนก็เกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

เรื่องนี้มีแหล่งข่าวออกมาเปิดเผยกับสื่อในเวลาต่อมาว่า ในช่วงที่รอนโดฟังคำสัมภาษณ์ของโค้ชด็อค ซึ่งมีการถ่ายทอดในช่วงนั้นด้วย ตัวรอนโดถึงกับตบะแตก ขว้างขวดแก้วที่ใช้ดื่มไปยังทีวีจนจอแตก แค่นั้นยังไม่พอ หลังจากนั้นรอนโดได้ไปดักเจอกับโค้ชด็อคเพื่อพูดคุยด้วย และแน่นอนว่าการพูดคุยกันในครั้งนั้นค่อนข้างรุนแรง และมีแต่คำหยาบ 

เรื่องดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ของโค้ชด็อคและรอนโดหลังจากนั้นไม่ราบรื่น และในเวลาไม่นาน โค้ชด็อคก็ได้ย้ายไปคุมทีม ลอสแอนเจลิส คลิปเปอร์ส แทน ซึ่งว่ากันว่าสาเหตุนั้นมาจากเหตุการณ์ในล็อคเกอร์รูมกับรอนโดนั่นเอง

Gun และ Gun

แต่ที่ห้าวที่สุด และถือเป็นวีรกรรมสุดแสบจริงๆ เกิดขึ้นในฤดูกาล 2009-10 กับเรื่องราวของ กิลเบิร์ต อารีนาส และ จาวาริส คริทเทนตัน 2 ผู้เล่นของวิซาร์ดส์ ซึ่งต่างเป็นเพื่อนร่วมทีมที่สนิทกันทั้งในและนอกสนาม มีปาร์ตี้ด้วยกันตลอด กระทั่งเรื่องราวเปลี่ยนไปเมื่ออารีนาสกลายเป็นหนี้คริทเทนตันจากการพนันเล่นไพ่บนเครื่องบิน


Photo : www.actionnetwork.com

เมื่อเงินทองเข้ามา มิตรภาพก็กลายเป็นศัตรู เงินเดิมพันจากการเล่นไพ่กลายเป็นชนวนให้ทั้งคู่มีปากเสียงกัน จนเรื่องราวหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เพราะในการฝึกซ้อมไม่กี่วันต่อมาก็เกิดเรื่องในล็อกเกอร์รูม เมื่อ อารีนาส ออลสตาร์สายติสต์ได้ควักปืนขึ้นมายั่วยุคริทเทนตัน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายก็พอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงควักปืนที่เตรียมมาจ่อใส่คู่อริบ้าง

จากเกมไพ่กลายเป็นเกมล้างเลือด ทั้งสองฝ่ายเอาปืนจ่อหัวกัน จน แครอน บัตเลอร์ เพื่อนร่วมทีมต้องเข้ามาห้ามทัพ และเมื่อมีปืนเข้ามาเกี่ยวข้อง ความลับก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไป คนที่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวได้นำเรื่องราวไปบอกต่อ จนเข้าหู NBA และตำรวจในที่สุด ทั้งคู่ถูกตั้งข้อหาพกอาวุธปืนในที่สาธารณะ รวมถึงพยายามฆ่า แม้ทางกฎหมายจะตัดสินให้รอลงอาญา แต่ลีกสั่งแบนทั้งคู่กระทั่งจบฤดูกาลทันที

แม้ว่าเรื่องราวต่างๆ ในล็อคเกอร์รูมนั้นจะมีหลายรสชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรุนแรง มิตรภาพ หรือมีกฎมากมาย แต่ที่เหมือนกันคือ ทุกๆ คนต้องอยู่ภายใต้คำว่าทีม และมีการเคารพสิทธิส่วนบุคคลซึ่งกันและกัน ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรม ประเพณีของแต่ละ ทีมที่ทำให้เหล่าผู้เล่นนั้นอยู่ร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นนักบาสเกตบอลระดับซูเปอร์สตาร์หรือหน้าใหม่ก็ตาม 

แต่ถึงกระนั้น เรื่องในล็อคเกอร์รูมก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสีสัน ที่แม้สื่อจะเข้าไปทำข่าวเองไม่ได้ ก็พร้อมนำเสนอ หรือแม้แต่ซื้อเรื่องราวจากปากผู้เล่น  พนักงาน และคนที่อยู่ข้างใน ซึ่งนำออกมาพูดอยู่เสมอ ...

เพราะเรื่องราวลับๆ นั้นขายได้ และมีคนอยากรู้เป็นธรรมดา นั่นเองแหละครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook