ดีแลนด์ แม็คคัลลัฟ : โค้ช NFL ที่ออกตามหาพ่อในวัย 44 ปี ก่อนพบความจริงที่ยิ่งกว่าละคร

ดีแลนด์ แม็คคัลลัฟ : โค้ช NFL ที่ออกตามหาพ่อในวัย 44 ปี ก่อนพบความจริงที่ยิ่งกว่าละคร

ดีแลนด์ แม็คคัลลัฟ : โค้ช NFL ที่ออกตามหาพ่อในวัย 44 ปี ก่อนพบความจริงที่ยิ่งกว่าละคร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้หรอก และไม่รู้ว่าผู้คนจะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในทางไหน ผมไม่ได้มีแผนอะไร ผมแค่อยากค้นหาความจริง” ดีแลนด์ แม็คคัลลัฟ กล่าวกับ ESPN

แม็คคัลลัฟ คือ อดีตผู้เล่นอเมริกันฟุตบอล ที่ปัจจุบันเป็นโค้ชให้กับ แคนซัส ซิตี้ ชีฟ ใน NFL ชีวิตนอกสนามเขาก็เหมือนคนทั่วไป ที่มีครอบครัวที่อบอุ่นกับภรรยาและลูกอีก 4 คน

อย่างไรก็ดี การเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกรับเลี้ยงโดยพ่อแม่บุญธรรมตั้งแต่แบเบาะ ดูเหมือนจะเป็นปมที่อยู่ในใจเขามาตลอด ทำให้วันหนึ่งเขาตัดสินใจตามหาพ่อแม่ที่แท้จริง ก่อนจะพบว่า...

วัยเด็กที่แสนเจ็บปวด 

ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บในเดือนธันวาคมของปี 1972 เด็กชายคนหนึ่งได้ลืมตาดูโลกที่เมืองยังทาวน์ เมืองเล็กๆในรัฐเพนซิลวาเนีย แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า หลังแม่ของเขาตัดสินใจยกให้ศูนย์รับเลี้ยงบุตรบุญธรรม


Photo : i.honesttopaws.com

แต่โชคยังดีที่อีก 6 สัปดาห์ต่อมา มีครอบครัวใจดีที่ชื่อว่า เอซี แม็คคัลลัฟ นักจัดรายการวิทยุท้องถิ่น และ อาเดลล์ โคเมอร์ ภรรยาของเขา รับหนูน้อยคนนี้ไปอุปการะเป็นบุตรบุญธรรม พร้อมตั้งชื่อให้เขา ดีแลนด์ แม็คคัลลัฟ 

อันที่จริงทั้งสองคู่มีลูกชายที่ชื่อว่า ดามอน แต่การสูญเสีย อเล็กซ์ ลูกชายคนที่สอง จากภาวะลำไส้อุดตัน ด้วยวัยเพียง 28 วัน ทำให้พวกเขาเกินจะทำใจได้ จึงตัดสินใจหาเด็กมาอุปการะ ก่อนที่โชคชะตาของทั้งสองจะโคจรมาพบกัน 

“ในตอนนั้นเราหวานชื่น เป็นคู่รักที่ดี เราไปโบสถ์ งานเลี้ยง ไปทำอาหารกันนอกบ้าน เราทำงานและใช้ชีวิตด้วยกัน เพื่อทำให้มันเป็นบ้านสำหรับลูกของเรา เรารู้ว่าพระเจ้าส่งเขามา ดีแลนด์มาอยู่กับเราอย่างทันควัน เรารู้ว่านี่คือโชคชะตาที่กำหนดไว้ สำหรับเราทั้งคู่” โคเมอร์กล่าวกับ ESPN 

อย่างไรก็ดี ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อพ่อของอาเดลล์ป่วยเส้นเลือดในสมองแตก เอซี คิดว่าควรให้พ่อของเธอไปอยู่ที่บ้านพักคนชรา แต่เธอไม่คิดอย่างนั้น เธอพาพ่อมาดูแลที่บ้าน เมื่อความเห็นไม่ลงรอย คนหนึ่งก็ต้องเดินจากไป 

แม็คคัลลัฟ ต้องกำพร้าพ่ออีกครั้ง ตอนเขาอายุเพียง 2 ขวบ 

แม่เลี้ยงเดี่ยว 

การขาดพ่อไม่ใช่สิ่งเดียวที่แม็คคัลลัฟต้องเผชิญ สมัยประถมเขาต้องเจอกับคำล้อเลียน หรือการหาเรื่องจากเพื่อนร่วมชั้นด้วยเหตุผลว่าเป็นลูกบุญธรรม เขามักจะถูกล้อว่า โคเมอร์ รักดามอนที่เป็นลูกในไส้มากกว่าเขา 

แต่อาเดลล์ โคเมอร์ ก็ตัดสินใจพูดกับเขาตรงๆ เธออธิบายว่า ใช่เธอรักทั้งสองคนต่างกัน เพราะว่าคนหนึ่งคือคนที่เธออุ้มท้องมา แต่เขาก็คือคนที่เขาเลือกแล้วว่าจะดูแล มันทำให้เขาเข้าใจมากขึ้น หลังจากนั้น แม็คคัลลัฟ ก็แทบจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย 


Photo : www.miamialum.org

“ความว่างเปล่ามันอยู่นั้น ผมหวังว่ามันจะไม่ใช่ แต่ผมก็คิดว่าผมเก็บซ่อนมันเอาไว้ได้ดี” แม็คคัลลัฟเผยความรู้สึกกับ ESPN  

อย่างไรก็ดี ปัญหาไม่ได้มีแค่นั้น เพราะหลังจากโคเมอร์แยกทางกับเอซี เธอได้พาผู้ชายมากหน้าหลายตาเข้ามาในบ้าน มันได้สร้างความอึดอัดให้แก่เด็กๆ แถมบางคนยังเป็นพวกใช้ความรุนแรง และทำร้ายร่างกายโคเมอร์อยู่เสมอ 

ดามอน พี่ชายพยายามปกป้องแม่ในบางครั้ง แต่แม็คคัลลัฟ ยังเด็กเกินไปที่จะทำแบบนั้น เขาทำได้เพียงแต่ทำตัวให้ชิน และไม่รู้สึกอะไรกับมัน และคิดเสมอที่จะออกจากบ้านหลังนี้ หรือออกไปจากยังทาวน์ไปเลยก็ยิ่งดี 

โคเมอร์ รู้ว่าสิ่งนี้มันยิ่งบั่นทอนครอบครัวของเธอ การที่เด็กต้องขาดพ่อ เป็นเรื่องน่าเศร้าอยู่แล้ว แต่การต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ซ้ำ ๆ ซากๆ มันยิ่งเลวร้ายไปอีก ทำให้หลังจากนั้น เธอไม่พาผู้ชายคนไหนมาบ้านอีก 

เธอยอมรับการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว และพยายามทำงานทุกรูปแบบเพื่อหาเลี้ยงลูกชายทั้งสอง ตั้งแต่โอเปอร์เรเตอร์ พนักงานเสิร์ฟ เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ กุ๊กที่ทำอาหารง่ายๆ หรือพนักงานที่ลานโบว์ลิ่งในท้องถิ่น 

“ผู้ชายบางคนไม่เข้าใจว่าอะไรที่ควรเคารพ ฉันมีลูกชายสองคนและไม่อยากปล่อยให้ลูกของฉันโตขึ้นมาในชีวิตแบบนี้ ในความดรามาแบบนี้” โคเมอร์กล่าวกับ ESPN 

แม้พยายามอย่างหนัก แต่การที่ต้องดูแลเด็กถึงสองคนมันหนักเกินไป พวกเขาต้องอยู่ด้วยความยากลำบาก เงินเดือนที่ได้มาแทบไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ทำให้บางเดือนเธอจะต้องเลือกว่าจะจ่ายค่าโทรศัพท์หรือค่าไฟก่อน

แม้ว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ขัดสน แต่สิ่งหนึ่งที่โคเมอร์ เน้นย้ำกับลูกชายทั้งสอง คือ ความสำคัญของการศึกษา เธอใช้เวลาตรวจการบ้านลูกของเธออย่างจริงจัง 

เธอยังสอนให้ลูกรู้จักกับคุณค่าของเงิน และศรัทธาต่อพระเจ้า เธอมักจะแบ่งเงินบางส่วน เพื่อนำไปบริจาคให้โรงเรียนสอนศาสนาวันอาทิตย์หรือโบสถ์ 

ในขณะเดียวกัน โคเมอร์ ยังพยายามหากิจกรรมให้ลูกของเธอทำอยู่เสมอ ตั้งแต่ละครเวที ไปจนถึงกีฬาอย่างการวิ่ง บาสเก็ตบอล หรือฟุตบอล ก่อนที่มันจะทำให้ แม็คคัลลัฟ ได้เจอสิ่งที่เขารัก

อเมริกันฟุตบอลสร้างอนาคต 

“มันเหมือนเป็นหลีกหนี เมื่อผมออกไปซ้อมข้างนอก ผมก็ไม่ต้องคิดเรื่องว่าจะโดนตัดไฟหรือไม่ มันไม่ต้องคิดอะไรแบบนั้น คุณแค่ออกไปเล่นบอล ทำอะไรบางอย่าง ลงแข่งและสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนของคุณ” แม็คคัลลัฟอธิบายกับ ESPN  


Photo : footballscoop.com

ในตอนแรก แม็คคัลลัฟ เล่นฟุตบอลเพราะต้องการหนีจากปัญหาที่บ้าน แต่สุดท้ายเขาก็ตกหลุมรักในกีฬาชนิดนี้ เพราะมันสร้างเสียงหัวเราะ ทำให้เขาสนุก เขามักจะพาบอลไปด้วยทุกที่ แม้กระทั่งบนที่นอน 

โคเมอร์ แม่บุญธรรมก็ให้การสนับสนุนเขา เธอมักจะตามมาเชียร์เขาเกือบทุกครั้งที่เขาลงเล่น เสียงตะโกน “ดีแม็ค ดีแม็ค ดีแม็ค” จากผู้หญิงคนหนึ่งกลายเป็นภาพที่คุ้นตาของคนทั่วไป 

แต่เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้จะเป็นสะพานเชื่อมต่อไปถึงอนาคต เพราะตอนแรกเขาไม่ได้มีผลงานที่โดดเด่นในตำแหน่งตัวรับ ทว่าทันทีที่ได้รับโอกาสเล่นในตำแหน่งรันนิ่งแบ็คตอนมัธยมปลาย พรสวรรค์ของเขาก็เปล่งประกายออกมา 

หลังจากนั้น แม็คคัลลัฟ ก็กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นเนื้อหอมคนหนึ่งของท้องถิ่น หลายมหาวิทยาลัยอยากได้ตัวเขาไปร่วมทีม แต่สุดท้ายกลายเป็นมหาวิทยาลัยไมอามี แห่งรัฐโอไฮโอที่ได้ลายเซ็นเขาไปครอบครอง 

แม็คคัลลัฟ ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจให้กับไมอามี ด้วยการทำไปถึง 36 ทัชดาวน์ และวิ่งไปถึง 4,368 หลา ที่กลายเป็นสถิติสูงสุดของมหาวิทยาลัยในตอนนั้น จนทำให้เขาได้รับการบรรจุเข้าไปในอยู่หอเกียรติยศของสถาบันในเวลาต่อมา  

ก่อนที่มันจะต่อยอดช่วยให้เขาได้กลายเป็นผู้เล่นอาชีพใน Nationnal Football League หรือ NFL ลีกอเมริกันฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกากับทีมอย่าง ซินซินนาติ เบงกอล และฟิลาเดเฟีย อีเกิลส์ 

อย่างไรก็ดี น่าเสียดายที่ชีวิตในฐานะผู้เล่นอาชีพของแม็คคัลลัฟช่างแสนสั้น เมื่อปัญหาอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า ตั้งแต่สมัยที่อยู่กับเบงกอล กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ที่ตามหลอกหลอน แม้จะเข้ารับการผ่าตัดหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ไหว สุดท้ายเขาต้องยอมรับมัน และตัดสินใจเลิกเล่นในปี 2001 ด้วยวัยเพียง 29 ปี 

แต่เส้นทางในอเมริกันฟุตบอลของเขายังไม่ปิดลง เพราะมันคือกีฬาที่แม็คคัลลัฟรัก เขาตัดสินใจเดินต่อในเส้นทางโค้ช โดยเริ่มจากการเป็นโค้ชให้กับทีมโรงเรียน ก่อนจะขยับไปเป็นโค้ชฝึกสอนที่มหาวิทยาลัยไมอามี 


Photo : admin.ninjajournalist.com

หลังจากนั้นเขาก็ได้เป็นโค้ชรันนิ่งแบ็คเต็มตัวที่มหาวิทยาลัยอินเดียนาอยู่ถึง 5 ปีเต็มตั้งแต่ปี 2011 และย้ายไปมหาวิทยาลัย เซาเธิร์น แคลิฟอเนีย ก่อนที่ลีกอาชีพจะกวักมือเรียกเขาอีกครั้ง จนได้ย้ายมาเป็นโค้ชรันนิงแบ็ค ที่ แคนซัส ซิตี้ ชีฟ ใน NFL และอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่ปี 2018 จนถึงปัจจุบัน 

จริงอยู่แม้เขาจะไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมายในเส้นทางนักกีฬาอาชีพ แต่ตอนนี้เขามีการงานที่มั่นคง และเป็นถึงโค้ชของทีมในระดับ NFL ซึ่งถือว่าเขามาไกลกว่าที่ตั้งใจไว้  

แต่ถึงอย่างนั้น ยังมีสิ่งหนึ่งที่ติดค้างอยู่ในใจเขามาตลอด

อดีตที่หายไป 

ในวัยกลางคน แม็คคัลลัฟมีชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัวพร้อมกับภรรยาและลูกอีก 4 คน โดยคนสุดท้องเพิ่งจะลืมตาดูโลกเมื่อปี 2016 แต่ยังมีคำถามหนึ่งที่อยู่ในใจเขาตลอดคือ “เขามาจากไหน” 


Photo : admin.ninjajournalist.com

ทุกครั้งที่ภรรยาเขาคลอดลูก โรงพยาบาลมักจะถามข้อมูลส่วนตัวของพ่อและแม่ของเด็กเพื่อนำไปบันทึกเป็นข้อมูลส่วนตัว และมันทำให้เขาย้อนกลับมาถามตัวเองเสมอว่าพ่อกับแม่ที่แท้จริงของเขาคือใคร? 

เขาเคยเอาเรื่องนี้ไปถามโคเมอร์ แม่บุญธรรม แต่เธอก็ไม่มีข้อมูลเช่นกัน เขาจึงเริ่มสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง โชคดีที่กฎหมายฉบับใหม่ของรัฐโอไฮโอ และ เพนซิลวาเนีย อนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลการรับเป็นบุตรบุญธรรมได้ ทำให้ แม็คคัลลัฟ มีความหวัง 

“ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้หรอก และไม่รู้ว่าผู้คนจะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในทางไหน ผมไม่ได้มีแผนอะไร ผมแค่อยากค้นหาความจริง” ดีแลนด์ แม็คคัลลัฟ กล่าวกับ ESPN

แต่ด้วยความที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้ต้องใช้เวลาในการกรอกเอกสารมากมายและตรวจสอบ และเกือบหนึ่งปีที่เขายื่นเรื่องไป ในที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2017 เขาก็ได้รับเอกสารที่เขาร้องขอส่งมาทางไปรษณีย์  

นั่นทำให้เขารู้ว่า เขามีชื่อตอนเกิดว่า จอน เคนเนธ บริกกส์ และแม่ที่แท้จริงชื่อว่า คาโรล เดนนิส บริกกส์ ทว่ามันกลับไม่มีข้อมูลเรื่องพ่อของเขาเลย นั่นทำให้ แม็คคัลลัฟต้องมืดแปดด้านอีกครั้ง 

อย่างไรก็ดี การได้รู้ชื่อแม่ที่แท้จริง ทำให้เขามีเบาะแสที่จะสืบต่อ เขาพยายามหาวิธีติดต่อเธอ และต้องขอบคุณเทคโนโลยีในปัจจุบัน ที่มีช่องทางการสื่อสารอย่าง “เฟซบุ๊ก” 

อันที่จริง แม็คคัลลัฟ รู้สึกกังวลไม่น้อยว่าหากติดต่อเธอไปแล้วเธอจะมีปฏิกริยาอย่างไร แต่เธอก็คือความหวังสุดท้าย ที่จะทำให้เขาได้รู้ว่าพ่อที่แท้จริงของเขาคือใคร 

เขาจึงเอาชื่อที่ได้มา ไปค้นในเฟซบุ๊ค และ Carol D Briggs ก็ปรากฎขึ้นมาเป็นชื่อแรก เขารวบรวมความกล้าทักไปในกล่องข้อความว่า 

“คุณเคยมีลูกที่เกิดในปี 1972 ที่ส่งให้สถานรับเลี้ยงเด็กในเขตอันเลเกนนีหรือเปล่า?”

มันอาจจะดูแปลกๆ ที่คนไม่รู้จักกันเลยส่งข้อความมาในลักษณะนี้ และคาโรล ก็คิดแบบนี้เช่นกัน ทำให้ตอนแรกเธอเงียบไปไม่ตอบ เธอคิดว่าอาจจะเป็นพวกหลอกลวง แถมเมื่อไปปรึกษาพี่ชาย เขาก็มองแบบเดียวกัน 

แต่คาโรล ก็รู้สึกติดใจกับข้อความที่ส่งมา ใช่ เธอเคยคลอดเด็กคนหนึ่งตอนอายุ 16 แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเธอยังไม่พร้อม เธอยังเด็กเกินไป จึงมอบลูกของเธอให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และได้รับข่าวแจ้งว่ามาลูกของเธอถูกครอบครัวนายแพทย์ที่โคลัมบัสรับเลี้ยงเอาไว้ 

“แม่ของฉันยังต้องมาทำความสะอาดห้องของฉันทุกสัปดาห์อยู่เลย ฉันไม่ได้อยู่ในจุดที่จะเป็นแม่ของใคร ฉันคิดว่ามันดีที่สุดสำหรับเขา ที่ปล่อยให้เขาไปอยู่กับครอบครัวที่สามารถมอบสิ่งดีๆให้ แบบที่พ่อแม่ของฉันให้ฉัน ฉันไม่อยากให้เขาถูกล่อลวงกับเรื่องอะไรทั้งนั้น” คาโรลย้อนความหลังกับ ESPN 

อันที่จริง เธอไม่เคยลืมลูกของเธอเลย แม่เธอยังเคยสั่งเสียไว้ก่อนเสียชีวิต ว่าให้ตามหาเด็กคนนี้ แต่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไร จนกระทั่งมีข้อความทักมาหา ในที่สุด คาโรล ก็ลองตอบกลับไปในเวลาต่อมา 

หลังจากได้คุยกันกล่องข้อความเฟซบุ๊ก พวกเขาก็นัดกันว่าคุยรายละเอียดกันทางโทรศัพท์ โดย แม็คคัลลัฟ จะโทรหาเธอหลังซ้อมเสร็จ และก่อนที่จะโทรคุย คาโรล จึงนำชื่อของเขาไปลองค้นหาในกูเกิล 

เธอเพิ่งรู้ว่าเขาคือนักกีฬาที่มีชื่อเสียงพอสมควร เธออ่านทุกบทความที่พูดถึงเขา มองรูปในอินเตอร์เน็ต มันใช่เลย แม็คคัลลัฟ คือหนูน้อยที่เธอทิ้งไปตอนอายุ 16 อย่างแน่นอน ปากของเขา จมูกของเขา ตาของเขา เหมือนกับเธออย่างไม่มีผิด 


Photo : www.miamialum.org

หลังจากนั้นไม่นาน แม็คคัลลัฟ ก็โทรมาหา พวกเขาคุยกันราวกับรู้จักกันมานานหลายปี เล่าเรื่องชีวิตที่หายไปตลอด 44 ปีที่ผ่านมา และทำให้ คาโรล รู้ว่า ลูกของเธอไม่ได้ไปอยู่กับครอบครัวของนายแพทย์ที่ โคลัมบัส เขาอยู่ที่ยังทาวน์มาตลอด อยู่ใกล้ๆเธอ ที่บางทีอาจเคยเดินสวนกันด้วยซ้ำ 

และคุยกันไปได้สักพัก แม็คคัลลัฟ ก็ถามสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอด คำถามที่ติดอยู่ในใจ “พ่อผมคือใคร?” และเช่นกันมันคือความลับที่ คาโรล เก็บงำมาตลอด 40 กว่าปี โดยมีเพียงตัวเอง แม่และพี่ชาย เพียง 3 คนเท่านั้นที่รู้ แต่วันนี้มันถึงเวลาแล้วที่เธอต้องพูดออกไป 

“พ่อของเธอชื่อว่า เชอร์แมน สมิธ” คาโรลบอกกับแม็คคัลลัฟ

และทันทีที่ได้รับคำตอบ ก็ทำให้หัวใจเขาแทบหยุดเต้น เพราะเขาคือคนที่แม็คคัลลัฟ รู้จักมาตั้งแต่อายุ 16 ปี และเป็นหนึ่งในโค้ชที่เขารักมากที่สุด

โค้ชที่นับถือ 

ย้อนกลับไปสมัยมัธยมปลาย ตอนที่แม็คคัลลัฟ เป็นผู้เล่นเนื้อหอม และได้รับความสนใจจากหลายมหาวิทยาลัย เชอร์แมน สมิธ คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้เขาเลือกมหาวิทยาลัยไมอามี 

เขาคือโค้ชรันนิ่งแบ็ค ที่หัวหน้าโค้ช ม.ไมอามี ส่งมาโน้มน้าวให้ แม็คคัลลัฟไปเล่นที่นั่น เขาเป็นอดีตผู้เล่น NFL ที่เคยเล่นให้กับ ซีแอทเทิล ซีฮอร์คส์ และ ซานดิโก ชาร์จเจอร์ส ที่ทำให้แม็คคัลลัฟประทับใจตั้งแต่แรกเห็น 


Photo : www.miamialum.org

“มันคงเป็นบุคลิกของเขา วิธีการที่เขาแนะนำตัวเอง เขามีบางอย่างที่ไม่เคยเห็นจากใครคือครูคนไหน เขาอยู่เหนือกว่ารายละเอียดของเขา เขาประสบความสำเร็จ เขาเคยเล่นใน NFL มีดีกรี ผมไม่เคยเจอคนประเภทนี้มาก่อน” แม็คคัลลัฟอธิบาย 

เขาเป็นโค้ชที่เป็นที่รักของผู้เล่น เช่นเดียวกับ แม็คคัลลัฟ ทำให้ แม้หลังจากที่เขาไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยไมอามีเพียงปีเดียว สมิธ จะย้ายไปเป็นโค้ชให้มหาวิทยาลัยอื่น แต่ทั้งคู่ก็ยังติดต่อกันอยู่เสมอ หรือแม้แต่ตอนที่เขาเริ่มงานโค้ช เขาก็ไปฝึกงานที่ ซีแอทเทิล ซีฮอว์คส์ ที่สมิธเป็นโค้ชอยู่ที่นั่น  

“เขาเป็นทุกอย่าง ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะไปคุยกับโค้ชสมิธตลอด ทุกคนในห้องถูกดึงดูดจากโค้ชสมิธ เพราะว่าสิ่งที่เขาเป็น หลายอย่างมันส่งผลดีต่อผม ผมจึงอยากเป็นอย่างนั้น” แม็คคัลลัฟพูดถึงอดีตโค้ชของเขา

ย้อนกลับไปสมัยวัยรุ่น เขามักจะถูกแซวว่าจากเพื่อนร่วมทีมว่า เป็นร่างก็อปปี้ของโค้ชสมิธ เพราะเขาทั้งคู่มีหน้าตาและการเดินที่คล้ายกันมาก แต่เขาไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่าเป็นการล้อเล่นของวัยรุ่น จนกระทั่งได้รู้ความจริง 

“‘ฉันว่าแกกับโค้ชสมิธหน้าคล้ายกันนะ’ ‘แกทั้งคู่เดินเหมือนกันเลย’ เหมือนเด๊ะเลย’ แต่มันไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อมโยงจากจุดเส้นประเหล่านี้ เพราะว่าผมไม่เคยคิดถึงมันเลย”

คาโรลบอกเขาว่า โค้ชสมิธไม่ได้รู้เรื่องนี้เลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอตั้งท้อง แถมตอนนั้นพวกเขายังเด็ก และสมิธกำลังมีอนาคตที่สดใส เธอไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางเส้นทางของเขา จึงเลือกที่จะเก็บงำความลับนี้เอาไว้ 

“เขาก็ยังเด็กเหมือนกัน เขาเพิ่งออกจากโรงเรียนเพื่อรับทุนการศึกษา ฉันคิดว่าฉันน่าจะต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ฉันทำในวิธีของฉันที่คิดว่าน่าจะเวิร์คที่สุด” 

แน่นอนว่า ความจริง ไม่ได้ทำให้แม็คคัลลัฟรู้สึกโกรธเลย เพราะโค้ชสมิธคือโค้ชที่เขารัก และเขาอยากเอาแบบอย่างมากที่สุด และเป็นคนเดียวกันกับพ่อที่เขาตามหามาโดยตลอด 

“โอ้! พอรู้เท่านั้นแหละ ผมก็อ๋อเลย และผมก็เริ่มคิดถึงความคล้ายคลึงกันของเส้นทางของเรา มันทำให้ผมโล่งใจไปเลยล่ะ” 

“ถ้าบอกให้ผมเลือกว่าพ่อผมคือใคร ไม่มีทางที่ผมจะเลือกเขาเพราะว่า ผมอาจจะคิดว่าผมควรค่าที่จะให้เขาเป็นพ่อของผม”

“ผมรู้สึกเหมือนกับสิ่งที่ภาวนามาทั้งชีวิตสมหวังเสียที เพราะว่าเขาคือคนที่ผมอยากเป็นแบบนั้นมาตลอด”

ผมเองครับพ่อ 

ทันทีที่รู้เรื่องจาก คาโรล แม็คคัลลัฟ ตัดสินใจติดต่อหาสมิธทันที ในตอนแรกโค้ชสมิธนึกว่าอดีตลูกศิษย์ของเขาแค่ต้องการแจ้งข่าวดีเรื่องพ่อ แต่ประโยคต่อมาทำให้เขาอึ้งไปพักใหญ่ 


Photo : www.seahawkslegends.com

“ตอนนั้นผมถึงกับพูดว่า ‘ต้องขอบคุณพระเจ้า อะไรจะโชคดีปานนี้’ และหลังจากนั้นเขาก็พูดว่า ‘ผมถามเธอว่าใครคือพ่อที่แท้จริงของเขา และเธอก็ตอบว่าเป็นคุณ” สมิธย้อนความหลัง

ตอนแรกสมิธงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาแต่งงานมา 42 ปี มีลูกสาวและลูกชายในครอบครัวที่อบอุ่น แต่คาโรล คือ ชื่อที่เขาไม่ได้ยินมานานมาก และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอท้องและมีลูกกับเขาและพอนึกย้อนกลับไป มันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ 

ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกผิดบาป เพราะหากเป็นเรื่องจริง เขาทิ้งให้ผู้หญิงคนหนึ่งและลูกต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ยากลำบากมาตลอด 40 ปี เขามักจะพูดกับผู้เล่น และลูกของเขาเสมอว่าเป็นคนต้องมีความรับผิดชอบ และตัวเขาเองก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน 

“การไม่รับผิดชอบมันไม่ได้ เมื่อคุณไม่รับผิดชอบ บางคนต้องมารับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำเอาไว้” สมิธ กล่าว 

หลังจากนั้นสมิธขอคุยกับ คาโรล ที่ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าแม็คคัลลัฟ คือ ลูกชายของเขาอย่างแน่นอน พร้อมกันนั้น เขายังได้ขอโทษคาโรล กับเรื่องที่เคยทำไว้ในอดีต และได้รู้ถึงเหตุผลที่คาโรลเลือกทำแบบนั้น 

สมิธ เอาเรื่องนี้ไปบอกภรรยาและลูกๆ รวมไปถึงป้าที่บ้านเกิด เขายังนึกถึงตอน แพต รูเอล ผู้ช่วยโค้ช ออฟเฟนซีฟไลน์ ซีแอทเทิล ซีฮอว์คส์แซวว่า ทั้งสองคนทำตัวเหมือนพ่อลูกกัน ตอนที่ แม็คคัลลัฟ เคยมาฝึกงานที่ ซีฮอว์คส์ และยิ่งแน่ใจเมื่อ แม็คคัลลัฟส่งรูปสมัยที่เขาเป็นผู้เล่นมาให้ 

“ผมมองไปที่เรื่องนี้และคิด ‘ผมจำไม่ได้เลยว่าเคยถ่ายรูปนี้ ผมจำไม่ได้เลยว่าเคยมีบทความนี้ ผมยอมรับดีแลนด์และคิดว่านั่นคือผม นั่นทำให้ผมจนมุม” สมิธกล่าว 

“ผมโทรหาป้าที่ยังทาวน์ และบอกเธอเรื่องนี้ เธอเข้ายูทิวบ์และเจอรูปดีแลนด์ และโทรกลับมา เธอบอกว่าหลานรัก ฉันคงช่วยประหยัดเงินในการตรวจดีเอ็นเอได้แล้วล่ะ” 


Photo : www.miamialum.org

ในตอนนั้น สมิธ ยอมรับอย่างเต็มตัวว่า แม็คคัลลัฟคือลูกของเขาจริง แต่เพื่อความแน่ใจ ทั้งคู่จึงเข้ารับการตรวจดีเอ็นเอ และผลก็ออกมาอย่างที่ทุกคนคิด ดีเอ็นเอของทั้งคู่ตรงกันถึง 99.99 เปอร์เซ็นต์ 
Like Father, Like Son 

หลังจากผลตรวจยืนยันความเป็นพ่อลูกออกมา ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น แม็คคัลลัฟ ก็ต้องเดินทางไปรับตำแหน่งใหม่ในฐานะโค้ชรันนิ่งแบ็คของ แคนซัส ซิตี้ ซึ่งอยู่แถวแนชวิลล์ เมืองที่สมิธและภรรยาใช้ชีวิตหลังเกษียณที่นั่น ทำให้ทั้งสองครอบครัวได้นัดเจอกัน 

“ผมค่อนข้างกังวล ผมหัวเราะเพราะว่าผมมองออกไปที่หน้าต่างตลอดตอนที่เขาบอกว่าจะมาหา ผมยืนอยู่ตรงนั้น มองเขาจอดรถ เขาใช้เวลาจอดรถอยู่ 3-5 นาที ผมพูดว่า ‘เขากำลังทำอะไร?’ ในที่สุดเขาก็ออกจากรถเสียที” สมิธเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นกับ ESPN

สมิธเดินออกมารับแมคคัลลัฟนอกบ้าน และทันทีที่ทั้งสองเจอกัน สมิธ อ้าแขนกว้าง และเข้าไปสวมกอดพร้อมกับพูดว่า “ลูกชายของฉัน” มันคือครั้งแรกในชีวิตที่แม็คคัลลัฟได้ยินคำนี้ 


Photo : www.espn.com

“หลายปีที่ผมอยู่ใกล้ๆเขา แต่การโอบกอดตอนนั้นมันคือ ‘โค้ช เป็นไงบ้าง?’ แต่ตอนนี้มันกลายเป็น ‘ลูกชายของฉัน’ บางทีผมอาจะกำลังทำอะไรบางอย่างเพื่อตัวเอง เพื่อช่วยให้ผมเข้าใจมันจริงๆ” สมิธบอกถึงความรู้สึก

แน่นอนว่ามันคือคำที่แม็คคัลลัฟ อยากได้ยินเช่นกัน เขาเติบโตมาโดยไม่มีพ่อ และต้องการมันมาโดยตลอด แต่วันนี้เขาได้เจอพ่อของเขาแล้ว และเป็นคนที่เขารักมากที่สุดมาตั้งแต่แรก 

“ผมรู้ว่าเขาพูดจากความรู้สึกที่ว่า ‘ผมภูมิใจ นี่คือลูกของผม’ ผมไม่เคยได้ยินคำนี้ ไม่เคยมีใครพูดถึงผมแบบนี้มาก่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันทำให้ผมสะเทือนใจจริงๆ” แม็คคัลลัฟกล่าวกับ ESPN 

“ตอนที่ผมนั่งลงที่จุดนี้ ผมมองไปที่สิ่งที่ผมทำมาทั้งหมด ผมมีความสุขที่ผมสามารถเป็นคนที่เขาภาคภูมิใจ” 


Photo : www.seahawkslegends.com

เดือนกรกฎาคมปี 2018 ทั้งสองครอบครัวได้มาเจอกันอีกครั้งที่ยังทาวน์ ที่ทำให้ แม็คคัลลัฟ, บริกกส์, สมิธ และ โคเมอร์ ต่างได้เจอกันพร้อมกันเป็นครั้งแรก มันเป็นบรรยากาศที่ชื่นมื่นและเต็มไปด้วยความสุข ท่ามกลางเสียงหัวเราะเฮฮา 

และที่สำคัญมันก็ทำให้ แม็คคัลลัฟ รู้ว่าครอบครัวที่อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา มันเป็นอย่างไร 

“ตอนนี้ผมรู้ว่าผมคือใครและผมมาจากไหน ผมได้ชิ้นส่วนของเรื่องราวทั้งหมด ผมได้มันมาหมดแล้วในตอนนี้” แม็คคัลลัฟทิ้งท้าย 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook