Foxcatcher : มวยปล้ำ.. มหาเศรษฐี.. คดีฆาตกรรม

Foxcatcher : มวยปล้ำ.. มหาเศรษฐี.. คดีฆาตกรรม

Foxcatcher : มวยปล้ำ.. มหาเศรษฐี.. คดีฆาตกรรม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เหล่านักกีฬามวยปล้ำสมัครเล่นฝีมือดีแต่ขาดโอกาสในการแสดงศักยภาพ ได้มาพบเจอกับมหาเศรษฐีผู้ใจบุญที่พร้อมสนับสนุนทุกอย่างให้พวกเขาได้เฉิดฉายในแสงสปอตไลต์ ไขว่คว้าความสำเร็จตามที่ฝัน ถึงขนาดลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างศูนย์ฝึกกีฬาครบวงจรภายในคฤหาสน์หรูของตัวเอง

 

ฟังดูเป็นเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ สร้างแรงบันดาลใจ และควรจะลงเอยด้วยความสุข ... แต่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เพราะสุดท้ายเหตุการณ์นี้กลับจบลงด้วยโศกนาฏกรรมนองเลือดที่ไม่มีใครคาดคิด รอยยิ้มบนใบหน้าพลันถูกแทนที่ด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเศร้า

เรื่องราวนี้เป็นมาอย่างไร? เกิดอะไรขึ้นที่ “Foxcatcher Farm” กันแน่? และอะไรคือสาเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้? ติดตามได้ที่ Main Stand

มหาเศรษฐีผู้คลั่งไคล้กีฬา

เรื่องราวทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจากชายคนหนึ่งที่ชื่อ จอห์น ดู ปองท์ เขาคือมหาเศรษฐีตระกูลเก่าแก่แห่งสหรัฐอเมริกา โดยตระกูลของเขาคือผู้จำหน่ายดินปืนรายสำคัญให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ มาตั้งแต่ปี 1802 ส่งผลให้ ดู ปองท์ นั้นร่ำรวยมหาศาล ด้วยจำนวนทรัพย์สินรวมกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 75,000 ล้านบาท) 

 1

ความพิเศษที่ทำให้ ดู ปองท์ แตกต่างจากบรรดามหาเศรษฐีทั่วไป คือการที่เขา “คลั่งไคล้กีฬาเข้าเส้น” โดยเฉพาะ โอลิมปิก เขาทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้มีส่วนร่วมในมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ โดยก่อนที่โอลิมปิกปี 1968 ที่ประเทศเม็กซิโก จะเริ่มต้นขึ้น ดู ปองท์ พยายามอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติสหรัฐอเมริกา ด้วยการลงแข่งขันในกีฬาหลายรายการ อาทิ ว่ายน้ำ, ปัญจกีฬา อย่างไรก็ตามความพยายามของเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ ดู ปองท์ ทำได้ดีที่สุดแค่เข้าไปถึงรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายเพื่อเป็นตัวแทนทีมชาติเท่านั้น

ถึงแม้จะไม่สามารถมีส่วนร่วมการแข่งขันโอลิมปิกในฐานะนักกีฬาได้ แต่ ดู ปองท์ ก็ไม่ยอมแพ้ ตรงกันข้ามเขากลับยิ่งหมกมุ่นถึงการเข้าร่วมกีฬาโอลิมปิกหนักขึ้นยิ่งกว่าเดิม คราวนี้ไม่ใช่นักกีฬา แต่เป็นในฐานะโค้ชและผู้สนับสนุนหลักในหลายชนิดกีฬา ไม่ว่าจะเป็น กรีฑา, ว่ายน้ำ หรือ ปัญจกรีฑา

กลางยุค 1980’s จอห์น ดู ปองท์ หันมาให้ความสนใจกับกีฬามวยปล้ำสมัครเล่นอย่างจริงจัง ถึงขั้นที่เนรมิตร ไลส์เตอร์ ฮอลล์ (Liseter Hall) ฟาร์มเก่าแก่ของตระกูลซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณบ้านของเขาและมีพื้นที่กว่า 800 เอเคอร์ ให้กลายเป็นศูนย์ฝึกกีฬาครบวงจร โดยเน้นไปที่กีฬามวยปล้ำสมัครเล่นเป็นหลัก มุ่งหวังให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ฝึกซ้อมของนักกีฬามวยปล้ำสมัครเล่นเพื่อเตรียมตัวสู้ศึกโอลิมปิก และทำการเปลี่ยนชื่อจาก ไลส์เตอร์ ฮอลล์ เป็น ฟ็อกซ์แคชเชอร์ ฟาร์ม (Foxcatcher Farm) โดยชื่อนี้นำมาจากชื่อทีมม้าแข่งของ วิลเลียม ดู ปองท์ จูเนียร์ พ่อของเขา ที่นำทีมนี้ลงสู้ศึกการแข่งขันในช่วงยุค 1920’s

 2

เมื่อสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างพร้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสรรหานักกีฬาและโค้ชเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในแผนของเขา ดู ปองท์ ตระหนักได้ว่า วิธีที่จะทำให้ ฟ็อกซ์แคชเชอร์ ฟาร์ม เป็นสถานที่เก็บตัวฝึกซ้อมที่ได้รับความเชื่อถือ เขาต้องมีโค้ชมือทองที่ทุกคนให้ความเคารพ และในตอนนั้นเองคือตอนที่ ดู ปองท์ ตัดสินใจติดต่อหาผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า “มาร์ค ชูลท์ซ”

ลางร้ายเริ่มปรากฏ

มาร์ค ชูลท์ซ อาจจะไม่ใช่ชื่อที่คนทั่วไปรู้จัก แต่สำหรับวงการมวยปล้ำสมัครเล่นของประเทศสหรัฐอเมริกาในยุคนั้น ชื่อนี้ถือว่าเข้าขั้นซูเปอร์สตาร์ เพราะ มาร์ค คือนักกีฬามวยปล้ำสมัครเล่นเหรียญทองโอลิมปิกในปี 1984 จนได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักกีฬามวยปล้ำสมัครเล่นที่มีฝีมือดีที่สุด อย่างไรก็ตามต่อให้จะเก่งกาจขนาดไหน แต่กีฬามวยปล้ำสมัครเล่นไม่ใช่กีฬาที่สามารถสร้างรายได้กับนักกีฬาได้มากมายนัก ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าว มาร์ค ชูลท์ซ เป็นเพียงโค้ชของชมรมมวยปล้ำมหาวิทยาลัย

 3

“พูดตรงๆ ช่วงนั้นผมกำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก”

“ผมเป็นโค้ชให้กับชมรมมวยปล้ำของมหาวิทยาลัยวิลลาโนว่า แต่ว่าผมกำลังจะโดนไล่ออก เพราะดันพานักกีฬามวยปล้ำที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะไปดื่มแอลกอฮอล์”

“และในตอนนั้นเองคือตอนที่เขาติดต่อผมมาพอดีว่า อยากให้ไปเป็นนักกีฬาและโค้ชให้กับ ฟ็อกซ์แคชเชอร์ และเขาพร้อมที่จะจ่ายให้อย่างงาม” มาร์ค เผยจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดผ่านหนังสือ Foxcatcher: The True Story of My Brother's Murder, John du Pont's Madness, and the Quest for Olympic Gold

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาไปถึงที่ ฟ็อกซ์แคชเชอร์ ทุกอย่างกลับดูแย่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก จริงอยู่ว่าถ้ามองเพียงผิวเผิน มันก็เหมือนจะไปได้สวย ได้รับค่าจ้างอย่างงาม ได้อยู่ในบ้านพักสวยหรู มีศูนย์ฝึกครบวงจรสุดทันสมัย เพรียบพร้อมด้วยนักกีฬาฝีมือดีที่อุทิศตนเข้ามาเพื่อเป็นลูกศิษย์ ปัญหามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือชายผู้เป็นเจ้าของทุกสิ่งอย่าง จอห์น ดู ปองท์

“ผมไม่เคยรู้สึกดีกับผู้ชายคนนี้เลย ครั้งแรกที่ผมเจอเขา ผมรับรู้ได้ทันทีว่าเขาคือคนบ้าอีโก้ เต็มไปด้วยอัตตา นอกจากนั้นเขายังดูมึนเมา และเสพยาเสพติดตลอดเวลา”

“บรรยากาศเมื่อมีเขาอยู่ด้วยนั้นมันแย่มากๆ”

มีรายงานว่า ดู ปองท์ เริ่มติดแอลกอฮอล์และยาเสพติดอย่างหนักนับตั้งแต่แม่ของเขาเสียชีวิตลงในปี 1988 ซึ่งนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้พฤติกรรมของเขายิ่งแย่ลงเรื่อยๆ จากเดิมที่ก็ไม่ค่อยมีใครชอบอยู่แล้วจากอัตตาและความหลงตัวเองที่สูงลิบ

 4

นอกจากนั้น ดู ปองท์ ยังชอบที่จะเข้ามามีส่วนร่วมกับโปรแกรมการฝึกซ้อม ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองไม่ได้มีความรู้อะไรเลย จนครั้งหนึ่ง มาร์ค ถึงกับทนไม่ไหวและบอกกับเขาไปว่า

“ผมจะทำเสื้อที่มีคำว่า Shut Up! and Leave Me Alone (หุบปาก และปล่อยผมไว้คนเดียว) มาใส่” 

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ดู ปองท์ ก็ทำเสื้อแบบนั้นมาให้มาร์ค โดยไม่มีใครรู้เหตุผลว่าเขาทำแบบนั้นไปทำไม

มาร์ค ไม่ใช่ผู้ชายที่มีความอดทนสูง ถึงแม้ว่า ดู ปองท์ จะจ่ายให้เขาอย่างงาม แต่เขาไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อยที่ต้องทนอยู่ร่วมกับผู้ชายคนนี้ ทำให้หลังจากเวลาผ่านไปเพียง 1 ปีนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ ฟ็อกซ์แคชเชอร์ มาร์คก็ตัดสินใจลาออกจาก ฟ็อกซ์แคชเชอร์ หลังจากที่เขาไม่สามารถคว้าเหรียญรางวัลในโอลิมปิกปี 1988 ได้ และหันหลังให้วงการมวยปล้ำสมัครเล่น

สิ่งนี้ส่งผลกระทบกับตัว ดู ปองท์ และ ฟ็อกซ์แคชเชอร์ เป็นอย่างมาก การขาดฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิกที่เป็นตัวชูโรงทำให้ทีมมวยปล้ำของเขาเริ่มขาดความน่าเชื่อถือ ดู ปองท์ รู้ดีถึงสิ่งนี้ เขาจึงไม่รอช้าที่จะติดต่อหาผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่า “เดวิด ชูลท์ซ”

ลางร้ายเริ่มปรากฏ (ยิ่งกว่าเดิม)

ไม่ต้องอธิบายก็คงพอจะรู้ว่า เดวิด ชูลท์ซ มีความเกี่ยวข้องกับ มาร์ค ชูลท์ซ เพราะเขาคือพี่ชายแท้ๆ ของ มาร์ค นอกจากนั้นทั้งคู่ยังเป็นฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิกมวยปล้ำสมัครเล่นในปี 1984 เหมือนกันอีกด้วย (เพียงแต่เดวิดลงแข่งในพิกัดน้ำหนักต่ำกว่ามาร์ค)

 5

ดู ปองท์ ใช้กลยุทธ์เดิมที่เขาเคยใช้ในการจูงใจ มาร์ค นั่นคือการ “ใช้เงินฟาดหัว” มีรายงานว่า มหาเศรษฐีรายนี้ยื่นข้อเสนอด้วยจำนวนเงินกว่า 70,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี (ประมาณ 2.1 ล้านบาท) ให้กับเดวิด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ เดวิด จะตอบรับข้อเสนอ

เดวิด ย้ายเข้ามาอยู่ที่ ฟ็อกซ์แคชเชอร์ ในช่วงปลายปี 1990 โดยเขามาสืบทอดหน้าที่ต่อจาก มาร์ค น้องชายของตัวเอง คือการเป็นหัวหน้าโค้ชทีมมวยปล้ำสมัครเล่น

ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงโค้ช แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยน และนับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ คือพฤติกรรมของ ดู ปองท์ ที่จากเป็นแค่ขี้เมาชอบโวยวาย เอาแต่ใจ ตอนนี้เริ่มมีการใช้ความรุนแรงแล้ว

“ดู ปองท์ มักจะถือปืนเดินไปเดินมาในศูนย์ฝึกเสมอๆ นอกจากนั้นเขายังมีพฤติกรรมประหลาดอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเอารถถังมาขับในที่ดินของตัวเอง ใช้ไดนาไมท์ระเบิดรังลูกหมาป่า ขับรถพุ่งลงในสระว่ายน้ำ ทำลายข้าวของ บังคับให้นักมวยปล้ำมาช่วยเขาหาผีในห้องใต้หลังคา” เคิร์ต แองเกิล นักมวยปล้ำชื่อดังแห่ง WWE และเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกปี 1996 ที่ในตอนนั้นเป็นศิษย์และเพื่อนของเดวิดในทีม ฟ็อกซ์แคชเชอร์ เผยเรื่องราวผ่าน The Telegraph

“การที่ ดู ปองท์ เอาปืนมาจ่อใส่คนอื่นแล้วพูดจาข่มขู่นั้นกลายเป็นเรื่องปกติของ ฟ็อกซ์แคชเชอร์ ไปแล้ว ครั้งหนึ่งผมกำลังยกเวทอยู่ในห้องออกกำลังกาย อยู่ ๆ ดู ปองท์ ก็เดินเข้ามา เอาปืนจ่อหัวผม และถามว่า ‘แกมีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่าวะ’” แดน แชด โค้ชอีกคนหนึ่งของ ฟ็อกซ์แคชเชอร์ ก็เจอเรื่องราวเลวร้ายไม่ต่างกัน

เช่นเดียวกับ เดวิด ซึ่งถือได้ว่าเขาคือคนที่สนิทกับ ดู ปองท์ มากที่สุด บางเวลาทั้งคู่ก็ดูเหมือนเป็นเพื่อนรักกัน แต่เมื่อถึงเวลาร้าย ดู ปองท์ ก็ร้ายกับ เดวิด ที่สุด บ่อยครั้งที่เขาบุกเข้าไปถึงห้องพักส่วนตัวของเดวิดพร้อมถืออาวุธปืนไปด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาถึงขั้นเอาปืนจ่อหัว แนนซี่ ภรรยาของเดวิดเลยทีเดียว

ดูเหมือนว่าสถานการณ์ภายใน ฟ็อกซ์แคชเชอร์ ฟาร์ม จะย่ำแย่แบบกู่ไม่กลับแล้ว อย่างไรก็ตามนี่ยังไม่ใช่ส่วนที่เลวร้ายที่สุดของเรื่องราวทั้งหมด

โศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด

วันที่ 26 มกราคม ปี 1996.. 6 ปีหลังจากที่ เดวิด เข้ามาอยู่ที่ ฟ็อกซ์แคชเชอร์ ก็เหมือนวันธรรมดาทั่วไปวันหนึ่งในช่วงฤดูหนาว หิมะตกลงมาปกคลุมพื้นที่ทุกตารางนิ้วใน ฟ็อกซ์แคชเชอร์ ฟาร์ม จนขาวโพลน

 6

ณ บริเวณหน้าบ้านพักของ เดวิด ชูลท์ซ อยู่ๆ ก็มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด พร้อมตะโกนเรียก เดวิด ให้ออกมาหา 

เมื่อ เดวิด เปิดประตูบ้านออกมา เขาเห็นรถยนต์คันดังกล่าวจึงทราบได้ทันทีว่าแขกผู้มาเยือนคือ จอห์น ดู ปองท์ ชายผู้เป็นทั้งเพื่อนและหัวหน้าของเขา เดวิด จึงเดินออกจากบ้านพักมา ในขณะเดียวกันรถยนต์คันดังกล่าวก็ค่อยๆ ลดกระจกลง ชายที่อยู่ในรถคือ ดู ปองท์ ตามคาด

“สวัสดีครับหัวหน้า” เดวิด กล่าวทักทายตามปกติ

แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือ กระสุนปืนหลายนัดจาก ปืนพกขนาด .38 พุ่งทะลุลำตัวเขา เสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณ ร่างของ เดวิด ล้มฟุบกับพื้นในทันที่ เลือดอาบย้อมพื้นหิมะจนกลายเป็นสีแดงฉาน หลังจากจัดการปลิดชีพ เดวิด เสร็จเรียบร้อยแล้ว ดู ปองท์  ก็ขับรถจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ห่างไปไม่กี่เมตร บริเวณชานระเบียงหน้าบ้าน แนนซี่ ภรรยาของ เดวิด คือผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เธอคือประจักษ์พยานคนสำคัญว่า มหาเศรษฐี จอห์น ดู ปองท์ คือผู้สังหารสามีของเธอ แต่สิ่งที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นคือ ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต เดวิด พยายามคลานเข้ามาหาเธอ 

“ฉันรักคุณ” นี่คือคำพูดสุดท้ายที่ แนนซี่ ร่ำลากับคนที่เธอรัก พลางยกร่างเขาขึ้นมากอดในอ้อมแขน 

เดวิดไม่ตอบอะไร เขาเพียงแต่พลิกฝ่ามือของภรรยาขึ้นมา และใช้เลือดของตัวเองเขียนคำว่า

“P.U. Kids” ซึ่งย่อมาจาก Pick Up Kids ที่หมายความว่า “อย่าลืมไปรับลูก ๆ ที่โรงเรียน” ลงไป ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายของเขาจะหมดลง

อะไรที่ทำให้มหาเศรษฐีกลายเป็นฆาตกร?

“การสูญเสีย เดฟ (เดวิด ชูลท์ซ) เหมือนผมสูญเสียเสาหลักในการใช้ชีวิต”

“เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ผมเคารพและถือเป็นแบบอย่าง เมื่อเขาตาย ผมเหมือนถูกปล่อยให้ลอยเคว้งคว้างกลางอากาศ” มาร์ค เผยถึงความรู้สึกเมื่อเขาทราบข่าวการตายของพี่ชายตัวเองกับสื่อ The People 

 7

ส่วน จอห์น ดู ปองท์ หลังจากก่อเหตุ เขาก็กลับมาที่คฤหาสน์ของตัวเอง เก็บตัวอยู่ในนั้น 3 วันก่อนจะถูกจับกุม พร้อมถูกตั้งข้อหา “ฆ่าคนตายโดยประมาท” (Third Degree Murder) ถูกตัดสินจำคุก 13-30 ปี เนื่องจากมีข้อเท็จจริงที่สมควรแก่การรับฟังว่า จอห์น ดู ปองท์ ป่วยด้วยอาการทางจิต จึงเป็นเหตุแห่งการลดโทษ เพราะนอกจากพฤติกรรมสุดวายป่วงที่เขาทำใน ฟ็อกซ์แคชเชอร์ ฟาร์ม แล้ว ดู ปองท์  ยังแสดงออกถึงอาการทางจิตประเภทอื่นๆ ให้เห็นบ่อยๆ เช่น เขาเชื่อว่าตัวเองเป็นองค์ ดาไล ลามะ, เป็นคนที่ถูกส่งมาจากสวรรค์, ม้าที่เขาเลี้ยงถูกส่งมาจากดาวอังคาร และนอกจากนั้นเขายังเคยทำร้ายร่างกายอดีตภรรยาของตัวเองด้วย

แต่เหตุใด ดู ปองท์ ถึงออกอาการมากขนาดนี้? ความลับที่ มาร์ค ชูลท์ซ เผยเมื่อปี 2015 ก็ยิ่งทำให้คนที่ได้ยินงงงวยหนักกว่าเดิม

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปสมัยที่ ดู ปองท์ อายุหลักสาม เมื่อม้าที่เจ้าตัวขี่เกิดพยศ ดีดตัวคนขี่ไปติดรั้ว จนได้รับบาดเจ็บที่ลูกอัณฑะ เวลาผ่านไป อาการยิ่งทรุดตัวกว่าเดิม จนที่สุดแล้ว ก็ต้องให้แพทย์ตัดลูกอัณฑะออก กลายเป็นสิ่งเร้าให้ ดู ปองท์ มีพฤติกรรมหลุดโลกแบบไม่เกรงใจใคร

ส่วนสาเหตุที่ ดู ปองท์ ก่อเหตุฆาตกรรม เดวิด ชูลท์ซ นั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคำตอบชัดเจน แต่สันนิษฐานว่า ดู ปองท์ รู้สึกเสียใจที่เขากำลังจะถูกทอดทิ้งอีกครั้ง เพราะ เดวิด ได้บอกกับเขาว่าหลังจากจบศึกโอลิมปิกปี 1996 แล้วจะขอลาออก ดู ปองท์ ถึงขั้นอ้อนวอนอย่างหนักแต่ เดวิด ก็ไม่เปลี่ยนใจ จนสุดท้ายเรื่องราวก็จบลงด้วยความสะเทือนขวัญและคราบน้ำตา

 8

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในคุกเกือบ 20 ปี จอห์น ดู ปองท์ ก็เสียชีวิตลงในปี 2010 ด้วยโรคปอดอุดตันเรื้อรัง ส่วนคฤหาสน์ของเขา และ ฟ็อกซ์แคชเชอร์ ฟาร์ม ก็ถูกบริษัทอสังหาริมทรัพย์เข้ามารื้อถอนออกไปในปี 2013 เป็นการปิดฉากเรื่องราว เหมือนกับเหตุการณ์ทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น 

กว่าที่เรื่องนี้จะเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ก็ต้องรอถึงปี 2014 เมื่อมีการสร้างภาพยนตร์ Foxcatcher ที่เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของ จอห์น ดู ปองท์, มาร์ค ชูลท์ซ และ เดวิด ชูลท์ซ อันนำไปสู่เรื่องสลด การันตีคุณภาพด้วยการเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 5 สาขา (แต่พลาดทุกรางวัล) ทว่าที่สุดแล้ว ก็มีสิ่งหนึ่งที่ยืนยันว่าเรื่องเหนือจริงเรื่องนี้คือเรื่องจริง...

นั่นคือชีวิตของ เดวิด ชูลท์ซ ที่ปลิดปลิวไปแบบที่ไม่อาจเรียกกลับมาได้นั่นเอง

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ Foxcatcher : มวยปล้ำ.. มหาเศรษฐี.. คดีฆาตกรรม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook