ศึก "สแลมดังค์ คอนเทสต์" ที่เปลี่ยนโลกบาสเกตบอลไปตลอดกาล

ศึก "สแลมดังค์ คอนเทสต์" ที่เปลี่ยนโลกบาสเกตบอลไปตลอดกาล

ศึก "สแลมดังค์ คอนเทสต์" ที่เปลี่ยนโลกบาสเกตบอลไปตลอดกาล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ไฮไลต์สำคัญที่แฟนบาสเกตบอลทั่วโลกเฝ้ารอเมื่อถึงสัปดาห์แห่งเกม NBA ออลสตาร์ คือการแข่งขัน สแลมดังค์

ยอดนักบาสเกตบอลในลีกที่ดีที่สุดในโลก งัดลีลาการกระแทกลูกลงห่วง โชว์ความสามารถทางร่างกาย และไอเดียสุดครีเอต เพื่อสร้างความตื่นตาให้กับผู้ชม และกรรมการ ให้ทุกคนเห็นว่า “ข้านี่แหละ ยอดนักดังค์แห่ง NBA อย่างแท้จริง”

ทว่าตลอดเวลาเกือบ 40 ปีของการแข่งขันรายการนี้ แม้จะมีหลายปีที่ถูกยกขึ้นหิ้ง เข้าข่ายตำนานศึกสแลมดังค์ แต่มีอยู่ปีหนึ่ง ที่ทั้งสื่อและคนในวงการแม่นห่วงต่างยอมรับว่า คือปีที่เปลี่ยนโลกบาสเกตบอล โดยเฉพาะการดังค์ไปตลอดกาล

 

เพราะการโชว์ลีลาขั้นเทพของ วินซ์ คาร์เตอร์ ที่ทำให้เขาคว้าแชมป์ในปี 2000 ได้ส่งแรงกระเพื่อมต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเกินคาดคิด

ยุคแรกของศึกดวลดังค์

อันที่จริง ประวัติศาสตร์ของการแข่งขันสแลมดังค์ สามารถย้อนกลับไปได้ถึงช่วงกลางทศวรรษ 1970's เมื่อ NBA รวมถึง ABA ลีกบาสเกตบอลคู่แข่งที่สุดท้ายมาควบรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ต่างจัดการแข่งขันดวลดังค์ขึ้นมา ทว่าจัดได้เพียง 1-2 ปีก็เงียบหายไป กระทั่ง NBA รื้อฟื้นกลับมาจัดใหม่ในปี 1984 พร้อมกับบันทึกว่า นี่คือศึกสแลมดังค์ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ

 1

ในช่วงแรกของการแข่งขันสแลมดังค์ ถือได้ว่าเป็นศึกที่เรียกเรตติ้งจากผู้ชมได้อย่างล้นหลาม ... เพราะจนถึงทุกวันนี้ แฟนกีฬาแม่นห่วงก็ยังคงจดจำการดวลเดือดระหว่าง ไมเคิล จอร์แดน กับ โดมินิก วิลกินส์ ในปี 1985 และ 1988 รวมถึงการทำลายความเชื่อว่า "คนตัวเล็กดังค์ไม่ได้" ไปตลอดกาลของ สปัด เว็บบ์ ในปี 1986 ได้เป็นอย่างดี

ทว่าในช่วงทศวรรษที่ 1990's ความนิยมของศึกสแลมดังค์กลับลดลงอย่างน่าใจหาย เมื่อเหล่าสตาร์ดังไม่กล้าที่จะลงสนาม เพราะกลัวจะเสียชื่อหากไม่ได้แชมป์ แม้หลายคนที่ลงแข่ง จะสามารถสร้างชื่อเป็นตำนานได้ในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะเป็น เรย์ อัลเลน หรือแม้กระทั่ง โคบี้ ไบรอันท์ แชมป์สแลมดังค์ปี 1997 ก็ตาม

เหตุผลดังกล่าว ทำให้ NBA ตัดสินใจงดจัดแข่งสแลมดังค์ ในศึกออลสตาร์ปี 1998 ก่อนที่การล็อกเอาท์ งดกิจกรรมใน NBA ทั้งหมดจากปัญหาเรื่องผลประโยชน์ระหว่างฝ่ายบริหารกับสมาคมผู้เล่น จะส่งผลให้ต้องงดจัดศึกออลสตาร์ปี 1999 ... นั่นหมายความว่า ไม่มีการแข่งสแลมดังค์ 2 ปีติดต่อกัน

แม้ผู้บริหารของ NBA ในขณะนั้น อย่าง รัส กรานิก รองคอมมิชชันเนอร์ และ ร็อด ธอร์น รองประธานบริหารฝ่ายปฏิบัติการบาสเกตบอล จะยอมรับว่า การงดจัดสแลมดังค์ปี 1998 เป็นสิ่งที่บอร์ดทุกคนใน NBA เห็นพ้องต้องกัน แต่ถึงกระนั้น พวกเขาเองก็รู้สึกผิดในใจ และต้องการรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง

ที่สุดแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจ กลับมาจัดศึกสแลมดังค์อีกครั้งในปี 2000

กลับมาทั้งทีต้องดีกว่าเดิม

การรีเทิร์นของศึกสแลมดังค์ คือสิ่งที่เปรียบเสมือนเป็นชนักปักหลัง NBA ว่า การคืนชีพให้กับอีเวนท์นี้ จะทำเป็นเล่นๆ ไม่ได้โดยเด็ดขาด

 2

จริงอยู่ที่การกลับมาครั้งนี้ จะยังคงไม่มีเพาเวอร์พอที่จะดึงสตาร์เกรด A เข้าร่วมการแข่งขันเหมือนภาพจำจากยุค 1980's แต่ทางลีกก็ปรับแผน ด้วยการดึงผู้เล่นดาวรุ่งที่กำลังโชว์ฟอร์มแรงมาประชันลีลากัน

6 คนในปีนั้นประกอบด้วย วินซ์ คาร์เตอร์ และ เทรซี่ แม็คเกรดี้ คู่หูและญาติกันในชีวิตจริง (ทั้งคู่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง) จาก โตรอนโต้ แรปเตอร์ส, สตีฟ ฟรานซิส จาก ฮิวส์ตัน ร็อคเก็ตส์, เจอร์รี่ สแต็คเฮาส์ จาก ดีทรอยต์ พิสตันส์, แลร์รี่ ฮิวจ์ส จาก ฟิลาเดลเฟีย เซเว่นตี้ซิกเซอร์ส และ อันทวน เจมิสัน จาก โกลเด้นสเตท วอร์ริเออร์ส (ซึ่งเจมิสันเจ็บก่อนแข่ง และต้องแทนที่โดย ริคกี้ เดวิส จาก ชาร์ล็อตต์ ฮอร์เน็ตส์)

ถึงกระนั้นก็ตาม จาก 6 คนที่ลงแข่งขัน ดูจะมี 3 คนที่ได้รับการจับตามองเป็นพิเศษ นั่นคือ คาร์เตอร์, แม็คเกรดี้ หรือ ทีแมค กับ ฟรานซิส ซึ่งฝากผลงานการดังค์สวยๆ มาแล้วตั้งแต่สมัยเรียนระดับไฮสคูล

"ผมยังจำตอนที่เป็นกรรมการในการแข่งขันสแลมดังค์ของเด็กไฮสคูลในปี 1995 ได้ ปีนั้นมี เควิน การ์เน็ตต์, สเตฟอน มาบิวรี่ กับ วินซ์ คาร์เตอร์ ลงแข่ง แต่พอคาร์เตอร์กระโดดดังค์เท่านั้นแหละ ทุกคนที่เหลือขอถอนตัว ไม่สู้ต่อทันที" แกรนท์ ฮิลล์ ผู้เล่นของทีม ดีทรอยต์ พิสตันส์ เผยถึงความทรงจำที่เขามีต่อ วินซ์ คาร์เตอร์ ซึ่งถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ในการแข่งดังค์คราวนั้น

 3

ขณะที่ เจอโรม วิลเลี่ยมส์ เพื่อนร่วมทีม พิสตันส์ ของฮิลล์ กล่าวถึง สตีฟ ฟรานซิส และ เทรซี่ แม็คเกรดี้ ว่า "ผมโตมาในย่านเดียวกับฟรานซิส เห็นลีลาการดังค์ของเขามาตลอด ส่วนเทรซี่ ผมก็เคยเห็นเขาโชว์ลีลาน่าทึ่งมาไม่น้อย" 

"พอได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ที่พวกเขาเหล่านั้นมีและแสดงผ่านการดังค์ ผมรู้สึกได้เลยว่า ศึกสแลมดังค์ครั้งนี้มันจะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะจินตนาการไว้แน่นอน"

ดังค์โลกตะลึง

วันเวลาเดินหน้าไปไม่หยุดยั้ง ในที่สุด ปฏิทินก็มาถึงวันแข่งขันสแลมดังค์...12 กุมภาพันธ์ 2000 ที่ โอคแลนด์ อารีน่า รังเหย้าของ โกลเด้นสเตท วอร์ริเออร์ส ในเวลานั้น

 4

แม้ วินซ์ คาร์เตอร์ รวมถึง เทรซี่ แม็คเกรดี้ จะแทบไม่ได้ซ้อมดังค์ระหว่างการซ้อมของต้นสังกัดก่อนหน้านี้เลย เนื่องจากบุช คาร์เตอร์ เฮดโค้ชทีมแรปเตอร์สมีกฎชัดเจนว่า หากใครดังค์ระหว่างการซ้อม จะถูกปรับครั้งละ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หลายคนก็ยังเชื่อว่า คาร์เตอร์เป็นเต็ง 1 อยู่ดี

เพราะแม้คาร์เตอร์เองจะรู้สึกหวิวๆ อยู่บ้าง แต่คำพูดที่เจ้าตัวคุยกับ เชอริล มิลเลอร์ พิธีกรข้างสนามของสถานีโทรทัศน์ TNT ก็ดูจะสะท้อนถึงความมั่นใจได้ เมื่อเขาเผยว่า "จะโชว์ลีลาดังค์ที่ทำให้ทุกคนไม่เชื่อสายตาให้ดู"

ทว่าในการดังค์ครั้งแรกของรอบแรก สตีฟ ฟรานซิส ก็ได้เรียกเสียงฮือฮาทันที ด้วยการโยนบอลขึ้นฟ้า ปล่อยให้เด้งพื้น แล้วดังค์ด้วยมือเดียว แม้จังหวะที่บอลเข้ามือจะไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่ด้วยการที่กระโดดได้สูงถึง 40 นิ้ว ก็ทำให้กรรมการทั้ง 5 คน ยกป้ายรวมกันได้ 45 คะแนนให้กับเขา รวมถึงทั้งสนามต่างตื่นตากับลีลาที่เพิ่งได้เห็นด้วย

 

ผลงานของฟรานซิส ทำให้คาร์เตอร์แทบจะพลิกตำรารับมือไม่ทัน เขาต้องเปลี่ยนแผนแบบสดๆ โยนการดังค์ที่เจ้าตัวคิดว่าจะใช้เปิดตัวทิ้ง แล้วหยิบเอาการดังค์อีกแบบมาใช้แทน ทั้งๆ ที่เคยทำได้ก่อนหน้านี้แค่ 2-3 ครั้งเท่านั้น

"ผมยังจำช่วงเวลาที่เขาเรียกชื่อผมก่อนดังค์ครั้งแรกได้เลย ตอนนั้นผมกังวลนิดหน่อย เพราะการดังค์ที่ผมจะทำนั้นมันเสี่ยงมากที่จะพลาด คิดในใจว่า 'สุดท้ายจะเอาไง? เอาหรือไม่เอา' แต่พอมองไปรอบๆ เห็นบรรยากาศในสนาม ผมก็ 'เออ เอาก็เอาวะ'"

แล้ว วินซ์ คาร์เตอร์ ก็เปิดตัวในการแข่งสแลมดังค์ปี 2000 ด้วยการกระโดดหมุนตัว 360 องศาแบบรีเวิร์ส ก่อนใช้มือขวากระแทกลูกลงห่วงไป ... เพียงเท่านี้สนามก็แทบแตก

"มันเหมือนเกิดคลื่นสึนามิในสนามเลย ผู้เล่นอย่าง แชค (แชคีล โอนีล), KG (เควิน การ์เน็ตต์), เจสัน คิดด์ รวมถึงทุกคนในสนาม ต่างแบบ 'โอ้พระเจ้า! หมอนั่นมันทำได้ยังไง?'" เชอริล มิลเลอร์ เผยถึงวินาทีนั้น

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า กรรมการทั้ง 5 คน ต้องยก 50 คะแนนเต็มให้กับคาร์เตอร์ ... นั่นคือการลั่นระฆังให้การแข่งขันครั้งนั้นเดือดขึ้นในทันใด เพราะในการดังค์ครั้งต่อมา ทีแม็คและฟรานซิสต่างทำได้ 49 และ 50 คะแนนตามลำดับ ขณะที่การดังค์หนสองของคาร์เตอร์ ซึ่งใช้แผนที่เขาตั้งใจจะใช้เป็นการดังค์เปิดตัว กับการวิ่งมาจากหลังแป้น แล้วหมุนตัวดังค์ด้วยมือขวาด้วยท่ากังหัน (Windmill) ทำได้เพียง 49 คะแนนเท่านั้น

อันที่จริง แค่การดังค์ 2 ครั้ง ก็เพียงพอที่จะฟันธงได้ว่า 3 คนที่เข้ารอบชิงชนะเลิศประกอบด้วย วินซ์ คาร์เตอร์, สตีฟ ฟรานซิส กับ เทรซี่ แม็คเกรดี้ แล้ว แต่ในรอบแรกของการแข่งดังค์คราวนั้น ตัดสินคะแนนด้วยการดังค์ที่ดีที่สุด 2 ใน 3 ครั้งของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนต้องออกมาดังค์กันอีกรอบ 

และก็เป็นอีกครั้งที่คาร์เตอร์ทำสนามแทบแตก ด้วยการรับบอลที่ ทีแม็ค เด้งให้ กระโดดเอาบอลลอดขาขวา ก่อนดังค์ด้วยมือขวาเต็มๆ ... แน่นอน เอาไป 50 คะแนนเต็มอีกหน

เหลือ 3 คนสุดท้ายในรอบชิงชนะเลิศ คาร์เตอร์รู้ดีว่า หากต้องการเป็นแชมป์ เขาต้องดังค์ให้คนดูได้ตื่นตาตื่นใจอีกครั้ง เพื่อเก็บ 50 คะแนนเต็ม ชิงความได้เปรียบ หลังฟรานซิสกับทีแม็คทำได้ 43 และ 45 คะแนนตามลำดับในการดังค์ครั้งแรก

สิ่งที่เขาทำ คือการวิ่งเข้ามาดังค์ด้วยมือขวาเพียงมือเดียว แต่สิ่งที่ทำหลังจากนั้น คือความบ้าบิ่นที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นั่นคือการเอาแขนขวาสอดเข้าไปในห่วง ... มันคือท่าดังค์ที่แฝงความอันตราย ซึ่งอาจทำให้คนดังค์ต้องเจ็บเสียเอง

 

เจมส์ โพซี่ย์ ผู้เล่นของ เดนเวอร์ นักเก็ตส์ เผยถึงตอนที่เห็นการดังค์ครั้งนั้นว่า "ทุกคนก็แบบ 'เอ้อ มันก็แค่ดังค์ธรรมดานี่หว่า' แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ เขายัดแขนเข้าห่วงลงไปถึงศอก แล้วก็ค้างตัวไว้ พอเห็นแบบนั้น ทุกคนนี่สติแตกไปเลย"

ผลงานที่เรียก 50 คะแนนเต็มจากกรรมการของคาร์เตอร์ แทบจะเรียกว่าเป็นการปิดฉากการแข่งดังค์แบบกลายๆ ได้เลย เพราะหลังจากนั้นทั้งทีแม็คและฟรานซิส ก็เก็บได้เพียง 48 และ 32 คะแนนจากการดังค์หนสอง ก่อนที่คาร์เตอร์เองจะปิดฉากการแข่งขัน ด้วยการวิ่งแล้วกระโดดจากตำแหน่งเลยเส้นโทษเข้ามาด้านในเล็กน้อย ก่อนดังค์ด้วยสองมือลงไป ... อาจจะได้เพียง 48 คะแนนในการดังค์ครั้งนี้ก็จริง แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ วินซ์ คาร์เตอร์ คว้าแชมป์สแลมดังค์ปี 2000 แบบสมศักดิ์ศรี

มรดกอันเกินคาดคิด

"หลังจากการดังค์ครั้งแรกที่ผมทำ แถมยังทำได้ดีกว่าที่เคยซ้อมมา ผมนี่แบบ 'รู้สึกแย่แทนทุกคนเลยว่ะ แม้แต่ลูกพี่ลูกน้องตัวเองก็ด้วย' เพราะผมอยู่ในจุดที่แม้แต่ตัวเองก็อธิบายไม่ถูกไปเสียแล้ว" นี่คือสิ่งที่ วินซ์ คาร์เตอร์ อธิบายถึงผลงานของตัวเองในการแข่งสแลมดังค์ปี 2000

 7

ขณะที่ อัลเลน ไอเวอร์สัน การ์ดคนดังแห่ง ฟิลาเดลเฟีย เซเว่นตี้ซิกเซอร์ส เผยมุมมองของเขาว่า "คือแบบ ... วันนั้นมันเป็นวันของวินซ์จริงๆ ไม่มีใครเอาชนะเขาได้ ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว"

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า วินซ์ คาร์เตอร์ แชมป์สแลมดังค์ปี 2000 คือพระเอกอย่างเต็มตัว ไม่มีใครมาแย่งซีนในการแข่งดังค์คราวนั้น และแน่นอน ผลงานของเขาทำให้การแข่งขันสแลมดังค์กลับมาเป็นที่สนใจของแฟนบาสเกตบอลอีกครั้ง

ซึ่ง เชอริล มิลเลอร์ ได้ให้มุมมองถึงการแข่งขันสแลมดังค์ในปีดังกล่าวว่า "ทุกคนคงรู้สึกแบบเดียวกันค่ะ 'ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณวินซ์ การแข่งสแลมดังค์มันกลับมาอย่างที่ควรจะเป็นจริงๆ เสียที'"

 

ผลงานของคาร์เตอร์ในคราวนั้น ได้เปิดโลกของการแข่งขันสแลมดังค์สู่มิติใหม่ นั่นคือการมาถึงของไอเดียสุดครีเอต ที่เหล่านักบาสสายดังค์แห่ง NBA สร้างสรรค์ในปีต่อๆ มาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น การใช้คน หรือมาสคอตช่วย รวมถึงการใช้พรอบเสริม แบบที่เราเห็น ดไวท์ ฮาเวิร์ด ใส่ชุดซูเปอร์แมนดังค์ในปี 2008 และ 2020 รวมถึงการเหินข้ามรถ ของ เบลค กริฟฟิน ในปี 2011

อย่างไรก็ตาม แรงกระเพื่อมที่คาร์เตอร์สร้างผ่านการดังค์ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เพราะเหล่านักดังค์อาชีพ ที่ใช้ฝีมือของเขาในการดังค์โชว์ หรือลงแข่งขันดังค์โดยเฉพาะ ก็ได้แจ้งเกิดอย่างจริงๆ จังๆ ผ่านผลงานของ วินซ์ คาร์เตอร์ นั่นเอง

 9

"การแข่งสแลมดังค์เมื่อปี 2000 ทำให้การดังค์กลายเป็นที่สนใจของผู้คนทั่วไปอีกครั้งครับ" โจนาธาน คลาร์ก หนึ่งในนักดังค์อาชีพที่เก่งกาจที่สุดในโลกเผย

ผลงานของคาร์เตอร์ในคราวนั้น กลายเป็นสิ่งที่จุดประกายนักบาสสายดังค์ให้ออกมานอกบ้านและทำตามสิ่งที่พวกเขาเห็นผ่านหน้าจอ และยิ่งเวลาผ่านไป การเติบโตของสื่อสังคมออนไลน์อย่าง ยูทูบ และ อินสตาแกรม ก็ทำให้การเลียนแบบตามทำได้อย่างง่ายดายขึ้น รวมถึงมีพื้นที่ปล่อยของ อัพโหลดผลงานของตัวเอง จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการฉายแสงของเหล่านักดังค์ในวงกว้าง เหมือนอย่างที่ จอร์แดน คิลกาน่อน "God of Dunk" พิสูจน์มาแล้ว

 10

และที่หลายคนอาจคิดไม่ถึงก็คือ ทุกวันนี้ เหล่านักดังค์อาชีพ มีโอกาสได้ร่วมงานกับสตาร์แห่งวงการแม่นห่วง ในการรังสรรค์ท่าดังค์เพื่อไปใช้ในการแข่ง เหมือนอย่างที่ ชัค มิลลาน ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Flight Brothers ทีมนักดังค์อาชีพชื่อดัง เคยสอน เทอร์เรนซ์ รอสส์ และ โดโนแวน มิตเชลล์ จนคว้าแชมป์สแลมดังค์มาแล้ว แถมปัจจุบัน เขายังมีโอกาสได้ร่วมงานกับทาง NBA เพื่อช่วยผู้เข้าแข่งขันสแลมดังค์ออกแบบท่าใหม่ๆ ให้คนดูได้ตื่นเต้นอีกด้วย

"หากไม่มีวันนั้น ผมคงไม่สามารถก่อตั้งทีมดังค์อาชีพขึ้นมาได้" มิลลานเผย "เพราะการดังค์ของ วินซ์ คาร์เตอร์ มันได้เปลี่ยนเส้นทางของการดังค์เป็นอาชีพไปตลอดกาล"

"ซึ่งจริงๆ แล้ว วันนั้นมันไม่ได้แค่เป็นการเปลี่ยนโลกแห่งการดังค์นะ แต่เป็นการให้กำเนิดโลกแห่งการดังค์ขึ้นมาเลยล่ะ"

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ ของ ศึก "สแลมดังค์ คอนเทสต์" ที่เปลี่ยนโลกบาสเกตบอลไปตลอดกาล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook