ความสัมพันธ์แบบสุดแค้นแต่แสนรักของ "มาริโอ บาโลเตลลี" และ "โรแบร์โต มันชินี"

ความสัมพันธ์แบบสุดแค้นแต่แสนรักของ "มาริโอ บาโลเตลลี" และ "โรแบร์โต มันชินี"

ความสัมพันธ์แบบสุดแค้นแต่แสนรักของ "มาริโอ บาโลเตลลี" และ "โรแบร์โต มันชินี"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ความสัมพันธ์ของผมและมันชินีเหรอ.. สมบูรณ์แบบเลย"

"มีคนรักก็ย่อมมีคนเกลียด" คือหนึ่งในสัจธรรมสุดคลาสสิคของโลกใบนี้ แต่สำหรับ โรแบร์โต มันชินี กุนซือทีมชาติอิตาลีคนปัจจุบัน ... มาริโอ บาโลเตลลี น่าจะเป็นแค่ไม่กี่คนที่ "มันโช" ทั้งรักและเกลียดไปพร้อมกัน 

เพราะเขาเองคือคนที่ให้โอกาส บาโลเตลลี มาตั้งแต่ยังเป็นนักเตะเยาวชน แต่ตัวเขาเองก็คือคนที่ทะเลาะกับนักเตะรายนี้จนถีบส่งเขาออกจากทีม

 

พบกับความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบายของพวกเขาทั้งสองคนไปพร้อมกับ Main Stand

รักแรกพบ 

จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ คงต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 ที่ โรแบร์โต มันชินี และ มาริโอ บาโลเตลลี ได้มีโอกาสร่วมงานกันเป็นครั้งแรก หลัง อินเตอร์ มิลาน ดึงตัวเด็กหนุ่มวัย 17 ปี มาจาก ลูเมซซาเน สโมสรในเซเรีย ซี 1 

 1

มันคือฤดูกาลที่ 4 ของมันชินี ในฐานะกุนซือใหญ่ของอินเตอร์ ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการพาพลพรรคงูใหญ่ คว้าแชมป์เซเรียอา 2 สมัยติดต่อกันในฤดูกาล 2005-06 (ได้แชมป์หลัง ยูเวนตุส ถูกริบแชมป์และปรับตกชั้นจากคดี กัลโชโปลี) และ 2006-07 

และดูเหมือนว่า มันชินี จะถูกใจเด็กหนุ่มคนนี้ตั้งแต่แรกพบ เมื่อเขามองว่า บาโลเตลลี มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมที่จะก้าวขึ้นไปเป็นยอดดาวยิงในอนาคต ทั้งรูปร่างที่สูงใหญ่ ความเร็วที่ใช้ได้ บวกกับการจบสกอร์ที่เด็ดขาด 

อันที่จริง มาริโอ ก็มีดีกรีไม่ธรรมดา เพราะเขาประเดิมสนามให้ ลูเมซซาเน ในเซเรีย ซี 1 ตั้งแต่อายุ 15 ปี รวมทั้งเคยผ่านการทดสอบฝีเท้ากับ บาร์เซโลนา ทีมดังแห่งสเปน แม้จะไม่ผ่านการคัดตัวก็ตาม 

นั่นทำให้ มันชินี ตัดสินใจลองใช้งาน บาโลเตลลี ตั้งแต่ช่วงปรีซีซั่น และมาริโอ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อจัดการเหมาคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้ทีมไล่ถล่ม เชฟฟิลด์ เอฟซี 5-2 ในเกมกระชับมิตรฉลองครบรอบ 150 ปีของสโมสรจากเกาะอังกฤษที่ได้รับการรับรองว่า เป็นสโมสรฟุตบอลทีมแรกของโลก 

 2

แม้ในช่วงแรก บาโลเตลลี จะถูกส่งไปเล่นในทีมชุดอายุไม่เกิน 19 ปี แต่ผลงาน 6 ประตูจาก 9 นัด ก็ทำให้ มันชินี ต้องดันเขาขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่เต็มตัว ก่อนจะได้ประเดิมสนามในเซเรียอาเป็นนัดแรกในเกมบุกชนะกายารี 2-0 ในเดือนธันวาคม 2007 

ก่อนที่ 3 วันต่อมา มันชินี จะให้โอกาสเขาได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเป็นครั้งแรกในเกมโคปปา อิตาเลีย ที่พบกับ เรจจินา และเขาก็ตอบแทนความไว้ใจด้วยการเหมายิงสองประตูช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ 4-1 

แต่ มาริโอ ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เมื่อเขาโชว์ทีเด็ด ยิงสองประตูช่วยให้ทีมบุกไปเอาชนะทีมใหญ่อย่าง ยูเวนตุส 3-2 ในโคปปา อิตาเลีย รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่ 2 ที่ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ

หลังจากนั้น บาโลเตลลี ก็ได้รับโอกาสจากมันชินี อย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเบิกประตูแรกในลีกได้สำเร็จ ในเกมชนะอตาลันตา 2-0 และปิดฤดูกาล ด้วยผลงาน 7 ประตูจาก 15 นัดในทุกรายการ พร้อมก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์เซเรียอาได้อีกครั้ง 

 3

มันจึงกลายเป็นฤดูกาลที่ชื่นมื่นของพวกเขาทั้งสองคน เมื่อ บาโลเตลลี ได้มีโอกาสสร้างชื่อในดินแดนรองเท้าบู้ต ในขณะที่ มันชินี ก็พาอินเตอร์ คว้าถ้วย สคูเด็ตโต เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน 

แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

นักเตะเจ้าปัญหา 

แม้ว่าปีแรกของการร่วมงานกันระหว่าง มันชินี และ บาโลเตลลี จะจบลงด้วยความสำเร็จ แต่น่าเสียดายที่เวลาของทั้งคู่ช่างแสนสั้น เมื่อมันชินี ถูกอินเตอร์สั่งปลดในเดือนพฤษภาคมปี 2008 ก่อนแต่งตั้ง โชเซ มูรินโญ เข้ามาแทน 

และมันก็ส่งผลต่ออนาคตของ บาโลเตลลี ไม่น้อย เพราะแม้ว่าเขาจะทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องในฤดูกาลที่ 2 กับอินเตอร์ แถมยังทำสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดของสโมสร ที่ยิงประตูได้ในเกมแชมเปียนส์ลีก 

เขามีปัญหากับ มูรินโญ บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเรื่องวินัยในการฝึกซ้อม กุนซือชาวโปรตุกีส มองว่า บาโลเตลลี ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทมากพอในการซ้อม และถึงขั้นถูกตัดออกจากทีมชุดใหญ่ชั่วคราวในปี 2009 

"สิ่งที่ผมกังวลคือ เด็กหนุ่มอย่างเขา ไม่สามารถซ้อมได้เท่านักเตะอย่าง ฟิโก้, คอร์โดบา หรือ ซาเน็ตติ ด้วยซ้ำ" มูรินโญ อธิบาย 

 4

นอกจากนี้ เขายังมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ บาโลเตลลี โดนใบเหลืองไปถึง 25 ใบใน 3 ปีแรกกับอินเตอร์ และถูกไล่ออกหนึ่งครั้งในเกม แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2009-10 ที่พบกับ รูบิน คาซาน ซึ่งเป็นใบแดงที่ทำให้ มูรินโญ ถึงกับควันออกหู 

"ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนที่เราไปเล่นกับ คาซาน ในแชมเปียนส์ลีก เกมนั้นกองหน้าทุกคนของเราเจ็บกันหมด" มูรินโญ ย้อนความหลังกับ CNN

"ผมมีปัญหาจริงๆ และเหลือมาริโออยู่คนเดียว มาริโอ ได้ใบเหลืองไปแล้วในนาทีที่ 42 (ความจริง โดนใบเหลืองตั้งแต่นาที 20) และตอนที่เข้ามาในห้องแต่งตัวตอนพักครึ่ง ผมใช้เวลา 14 นาทีจาก 15 นาทีไปกับการคุยกับมาริโอ เพียงคนเดียว" 

"ผมบอกเขาว่า 'ผมไม่สามารถเปลี่ยนคุณได้ ผมไม่มีกองหน้าอีกแล้วที่ข้างสนาม ดังนั้น อย่าแตะตัวใคร เล่นแค่บอลเท่านั้น ถ้าเสียบอลไม่ต้องทำอะไร ถ้ามีใครมายั่ว ไม่ต้องทำอะไร ถ้าผู้ตัดสินเป่าพลาด อย่าตอบโต้อะไร'" 

"เกิดอะไรขึ้นจากนั้น?.. นาทีที่ 46 (ความจริงคือนาที 60) เขาโดนใบแดง"  

 5

ปัญหาคาราคาซัง ที่มาจากนิสัยส่วนตัวทำให้ บาโลเตลลี ถูกขายออกจากทีมทันทีหลังจบฤดูกาล 2009-10 ซึ่งทีมงูใหญ่คว้า 3 แชมป์ และสโมสรที่เข้ามารับเขาก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่มี มันชินี อดีตเจ้านายเก่าคุมบังเหียนอยู่ 

มันชินี ยืนยันว่าแม้ว่า บาโลเตลลี จะมีนิสัยที่แปลกประหลาดกว่าคนอื่น แต่เขาเชื่อมั่นในศักยภาพของอดีตลูกทีมคนนี้ และพร้อมที่จะให้โอกาสเขาเสมอ ไม่ว่าจะผิดพลาดสักกี่ครั้งก็ตาม  

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะคิดผิด

ความอดทนถึงขีดจำกัด 

12 สิงหาคม 2010 บาโลเตลลี ย้ายมาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี อย่างเป็นทางการ ด้วยค่าตัวสูงถึง 21.8 ล้านปอนด์ แน่นอนว่ามันคือโอกาสที่ทำให้เขาได้ร่วมงานกับ มันชินี อีกครั้ง 

"สไตล์การเล่นของเขา เหมาะกับพรีเมียร์ลีก และเพราะว่าเขาอายุยังน้อย มันจึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ทำให้เขาได้พัฒนาตัวเอง" มันชินีกล่าวในวันเซ็นสัญญา  

 6

"เขาเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งและน่าสนใจ แฟนซิตี้ น่าจะสนุกหากได้ดูเขาเล่น" 

บาโลเตลลี ทำผลงานได้ไม่เลวในสีเสื้อของ ซิตี้ เขายิงไป 30 ประตู จาก 80 นัดในทุกรายการ รวมไปถึงมีส่วนร่วมกับช่วงเวลาสำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการยิงสองประตู ช่วยให้ทีมบุกถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คา โอลด์ แทรฟฟอร์ด 6-1 ในฤดูกาล 2011-12 

นอกจากนี้เขายังเป็นคนจ่ายบอลให้ เซร์คิโอ อเกวโร ยิงประตูชัย ช่วยให้ทีมพลิกแซงเอาชนะ ควีนสพาร์ค เรนเจอร์ส 3-2 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ พร้อมเข้าป้ายผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรได้อย่างยิ่งใหญ่ในปีดังกล่าว

อย่างไรก็ดี แม้จะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่เขากลับสร้างความปวดหัวให้กับ มันชินี และเพื่อนร่วมทีมไม่น้อย ทั้งจากปัญหาเรื่องวินัย ความเอาแต่ใจตัวเอง และการควบคุมอารมณ์ จนส่งผลกระทบต่อสโมสรทั้งในและนอกสนาม 

ในฤดูกาลแรกที่ เอติฮัด สเตเดียม เขาเคยโชว์ฟอร์มเด็ด ด้วยการเหมายิง 2 ประตูตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกในเกมพบ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน แต่กลับมาโดนใบเหลืองสองใบในช่วงเวลาห่างกันไม่ถึง 3 นาที จนถูกไล่ออกในนาทีที่ 63 

ในขณะที่ปี 2011 เขาเคยก่อวีรกรรมเล่นพลุในบ้านตัวเองจนไฟไหม้ลุกลาม ที่ต้องเดือดร้อนให้หน่วยดับเพลิงเข้ามาจัดการ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนศึกดาร์บีแมตช์เมืองแมนเชสเตอร์ กับ แมน ยูไนเต็ด เพียงแค่วันเดียว และเหตุการณ์นี้เอง ที่นำมาซึ่งข้อความ "Why Always Me?" บนเสื้อตัวในที่เขาถกโชว์หลังยิงประตูใส่ทีมปีศาจแดงได้ในวันถัดมา

 7

หรือก่อนหน้านั้นในช่วงปรีซีซันก่อนฤดูกาล 2011-12 เขาเคยโชว์ลูกตอกส้นยิงประตู ในเกมกระชับมิตรกับ แอลเอ กาแล็คซี (แถมยังหลุดกรอบอีกต่างหาก) ที่ทำให้มันชินี โกรธมาก จนถึงขั้นส่งตัวเขากลับบ้านทันทีหลังเกมนั้น 

"ผมหวังว่า นี่จะเป็นบทเรียนให้เขา ในฟุตบอล คุณต้องเป็นมืออาชีพเสมอ ต้องจริงจังทุกครั้ง และครั้งนี้เขาไม่ได้แสดงความเป็นมืออาชีพ เขาจำเป็นต้องเข้าใจพฤติกรรมของเขาว่ามันต้องดีในทุกเกม ไม่ใช่แค่ในรอบชิงหรือรอบรอง แต่ต้องทุกเกม" มันชินี กล่าวหลังเกม

"เขารู้ว่าเขาทำผิด ฟุตบอลควรต้องจริงจังอยู่เสมอ และถ้าคุณมีโอกาสทำประตู คุณควรทำ ถ้าคุณจริงจัง คุณจะได้เล่น 90 นาที ถ้าไม่ คุณก็ได้แค่มาและนั่งอยู่ที่ม้านั่งสำรอง มาริโอ ยังเด็ก ผมอยากช่วยเขา และนั่นก็คือตอนจบของมัน การเปลี่ยนตัวเขาออกหลังผ่านไป 30 นาที มันพอแล้วสำหรับการลงโทษ มันไม่ได้ง่ายสำหรับเขา แต่มันจะเป็นบทเรียน" 

อันที่จริง มันชินี คือกุนซือที่ให้โอกาส บาโลเตลลี มาตลอด เพราะเขาเชื่อว่าลูกทีมของเขาคนนี้ มีศักภาพดีพอที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นยอดนักเตะในอนาคต แต่สุดท้ายความอดทนของเขาก็มาถึงขีดจำกัด

มันเกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2013 หลังผ่านพ้นปีใหม่มาเพียงไม่กี่วัน เมื่อ บาโลเตลลี เข้าปะทะกับ สก็อตต์ ซินแคลร์ แข้งดาวรุ่งแบบรุนแรงเกินเหตุ ในสนามซ้อม จนทำให้มันชินีไม่พอใจ ก่อนที่มันจะลุกลามจนเกือบเป็นการชกต่อยกัน 

 8

"มันไม่ใช่อะไรที่เลวร้าย เรากำลังแข่งกัน มาริโอ เตะเพื่อนร่วมทีม และผมก็บอกไปว่า 'กลับเข้าไป ออกไปจากสนาม' เขาบอกว่า 'ไม่' ผมก็ไปเอาเสื้อเขามาและผลักเขาออกจากสนาม นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่มีอะไรพิเศษ" มันชินีอธิบายกับ The Guardian 

แม้ในตอนแรก มันชินี จะออกปกป้อง บาโลเตลลี และยืนยันว่ามันเป็นแค่การปะทะคารมธรรมดา แถมไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่สุดท้ายหลังจากนั้นไม่ถึงเดือน ดาวยิงอิตาลี ก็ถูกขายให้ เอซี มิลาน ด้วยค่าตัวราว 20 ล้านปอนด์ 

ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์อันยาวนานของทั้งคู่จะจบลงตรงนี้แล้วใช่ไหม? ไม่เลย มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย 

สุดแค้นแสนรัก 

"ความสัมพันธ์ของผมและมันชินีเหรอ.. สมบูรณ์แบบเลย" บาโลเตลลี อธิบาย

แม้ว่า มันชินี จะเป็นคนส่ง บาโลเตลลี กลับไปอิตาลีหลังเหตุการณ์อื้อฉาว ที่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เผาผีกับอดีตลูกทีมรายนี้ แต่ในความเป็นจริง เขาไม่ได้ผูกใจเจ็บหรือคิดแค้นอะไรขนาดนั้น  

ไม่เพียงแต่ไม่โกรธเท่านั้น เขายังรักและเชื่อมั่นในความสามารถของ บาโลเตลลี และมองว่าการที่ ดาวยิงสุดเกรียน กลับไปอิตาลี น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการพัฒนาฝีเท้า สำหรับนักเตะที่มีคาแร็คเตอร์ที่ควบคุมได้ยากอย่างเขา 

"ผมว่ามันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับมาริโอ ที่จะกลับไปอิตาลี ผมเสียใจมากเพราะว่าเรารักเขาในฐานะคนคนหนึ่งและผู้เล่นคนหนึ่ง" มันชินีกล่าวหลังบาโลเตลลีย้ายไปร่วมทีมมิลาน  

 9

"เราเสียใจมากจากเรื่องนี้ ผมคิดว่าเขาคงคิดถึงผม ไม่ใช่แค่ผม แต่นักข่าวทั้งหมดที่นี่ สำหรับคุณ เขาสำคัญมาก" 

และมันก็ชัดเจนว่า ความรักของ มันชินี ต่อ บาโลเตลลี นั้นไม่เคยเสื่อมคลาย ไม่ว่าอดีตลูกทีมของเขาคนนี้จะเคยก่อเรื่องไว้แค่ไหน เพราะหลังจากนั้นในปี 2018 มันชินี ก็ยืนยันว่าเขาพร้อมจะให้โอกาสอดีตลูกทีมคนนี้ในทีมชาติอิตาลี ที่เขาเป็นหัวเรือใหญ่ 

"ผมคิดว่าผมสามารถเป็นคนที่นำอิตาลี กลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้" มันชินีกล่าวในวันรับตำแหน่ง 

"แน่นนอนว่าผมจะคุยกับ บาโลเตลลี เช่นกัน" 

มันคือความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียด (love-hate relationship) บางครั้งพวกเขาก็เหมือนศัตรูกัน แต่บางครั้งพวกเขาก็สนิทกันราวกับเป็นพ่อลูกบุญธรรม และมันก็เป็นแบบนี้สลับกันไปมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 

เซร์คิโอ อเกวโร หนึ่งในนักเตะที่เคยร่วมงานกับพวกเขาทั้งสองคนที่ แมน ซิตี้ คือคนที่ยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เขาเล่าว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยด่าทอกันอย่างหยาบคายในสนามซ้อม แต่หลังจากนั้นไม่นานก็จับมือคืนดีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

"ความสัมพันธ์ของเขาและมันชินี มักจะทำให้ผมยิ้ม" ดาวยิงแมนซิตี้ กล่าวใน Born to Rise หนังสืออัตชีวประวัติส่วนตัวของเขา 

 10

"พวกเขาทะเลาะกันเหมือนหมากับแมวในระหว่างการซ้อม และหลังจากนั้นก็เดินออกไปด้วยการโอบไหล่กันและกัน พวกเขาอาจจะด่าว่าหรือตะโกนใส่กัน แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็เหมือนพ่อลูกกัน" 

"บ่อยครั้งที่เราแข่ง 5 ต่อ 5 ในการซ้อม และมันชินีมาเล่นด้วย แน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามต้องเป็นมาริโอ พวกเขาต่างยั่วกันและกัน เขาบอกมาริโอ และคนอื่นว่าเขาไม่ใช่ผู้จัดการในเกมนี้ เป็นแค่ผู้เล่นคนหนึ่ง" 

"เขาบอกว่า เราควรพูดในสิ่งที่เราต้องการกับเขา และมันโอเค ดังนั้นเมื่อเกมเริ่มขึ้น มันชินี และมาริโอ ต่างเป็นคู่แข่ง พวกเขาใส่กันไม่ยั้ง และตะโกนด่าว่ากัน พอหมดเวลา มันชีนีก็พูดว่า ตอนนี้ฉันเป็นผู้จัดการทีมพวกนายอีกครั้งแล้ว ตอนนี้"

"มาริโอยังพูดว่า 'แกมันโคตรอ่อนเลยตอนเป็นนักเตะ และมันก็ง่ายกว่าตอนนี้มาก' มันชินีบอกว่า 'ตอนนี้แกยังเล่นไม่ได้เลย' มันฟังดูการ์ตูนมากๆ"  

"มาริโอ จะหายไปและคร่ำครวญอยู่สองสามวัน เขาเหมือนกับเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง ผมคิดถึงเขาเพราะว่า แม้ว่าเขาจะบ้าหน่อยๆ แต่เขาก็มีคาแรคเตอร์อันยอดเยี่ยมที่ควรมีในห้องแต่งตัว" 

 11

หรือแต่ตอนที่ มันชินี ให้สัมภาษณ์กับ L'Equipe สื่อชื่อดังของฝรั่งเศส เมื่อปี 2016 เขายังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมอดีตลูกทีมของเขารายนี้ แถมยังแสดงความห่วงใย พร้อมอวยพรให้บาโลเตลลี โชคดี ทั้งที่พวกเขาต่างจากกันแบบไม่สวยงามนัก 

"เขาเป็นเด็กดี ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง และสุภาพ เขาเป็นคนที่น่านับถือมากในความคิดของผม" มันชินี กล่าวกับ L'Equipe

"บางครั้ง เขาก็ทำให้คุณตื่นเต้น แต่มันยากที่ไม่อยากให้เขาประสบความสำเร็จ ผมมีความสุขกับเขา เพราะทุกอย่างกำลังไปได้ดีกับนีซ" 

"เขาเพิ่งอายุ 26 แต่อาชีพมันผ่านไปอย่างรวดเร็ว คุณไม่สามารถทิ้งพรสวรรค์ที่พระเจ้าให้มาอย่างเสียเปล่า ผมนึกถึงอาเดรียโน ผมเคยเป็นโค้ขให้เขาที่อินเตอร์ เขาสุดยอดมาก แต่เขาก็สูญเสียทางเดินของตัวเอง"

วนไปวนมา

แม้กระทั่งทุกวันนี้ ทั้งคู่ยังคงมีความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียด เพราะแม้ว่า มันชินี จะยืนยันว่าเขาให้โอกาส บาโลเตลลี ในทีมชาติอิตาลีเสมอ จนทำให้ดาวยิงผู้นี้ถูกเรียกมาติดธงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีในปี 2018 สมัยค้าแข้งกับ นีซ แต่หลังจากนั้น เขาก็เริ่มหมดความอดทนอีกครั้ง   

เดือนสิงหาคม 2019 มันชินี ยอมรับว่าเขาเริ่มหมดแรงกระตุ้นต่อบาโลเตลลี เมื่อเขารู้สึกว่าเจ้าตัวพยายามไม่มากพอ และเอื่อยเฉื่อยจนเกินไป จนทำให้ไม่ถูกเรียกติดทีมชาติอีกเลยนับตั้งแต่ปี 2018 

 12

"ผมรักเขา แต่สำหรับเขา ผมไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว เขาต้องคิดได้แล้วว่าเขาอยู่ช่วงกลางของอาชีพ และเขายังมีอะไรต้องให้อีกมากมาย ถ้าเขาต้องการ" มันชินี กล่าวกับ Gazzetta dello Sport 

แน่นอนว่าฟังดูเหมือนว่า มันชินี จะตัดหางปล่อยวัด บาโลเตลลี อีกแล้ว แต่ไม่ใช่ เพราะล่าสุดเมื่อต้นเดือนเมษายน 2020 ที่ผ่านมา แม้จะรู้สึกหงุดหงิดกับฟอร์มการเล่นของ "ซูเปอร์ มาริโอ" ซึ่งปัจจุบันค้าแข้งกับ เบรสชา แต่ก็ยอมรับว่าประตูในทีมชาติยังคงเปิดกว้างสำหรับทุกคน รวมไปถึงเขา  

"ในเรื่องคุณภาพเขาเคยมีและยังมีอยู่ มาริโอเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุด" มันโช เผยกับ Sky Sport Italia  

"แต่มันไม่พอ เขาไม่ได้มีผลงานที่ดีมากนักกับเบรสชาในปีนี้ และเขาก็รู้ ผมหวังว่าเขาจะกลับมาเป็น มาริโอ ตอนเล่นให้ซิตี้ หรือยูโร 2012 ประตูทีมชาติเปิดกว้างสำหรับทุกคน" 

 13

จริงอยู่ แม้ว่าในมุมหนึ่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ดูเหมือนว่า มันชินี "เจ็บไม่จำ" กับการกระทำของ บาโลเตลลี แต่ในมุมหนึ่ง มันคือความเชื่อและศรัทธา ต่อนักเตะคนหนึ่ง ที่มีมาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

และในขณะเดียวกัน มันก็แสดงให้เห็นถึงความรักและความหวังดีของ มันชินี ที่มีให้ บาโลเตลลี อย่างไม่เสื่อมคลาย 

"ผมรู้จักมาริโอ และผมก็รักเขา ผมให้มาริโอลงเล่นตั้งแต่เขายังเป็นเด็กหนุ่ม ดังนั้นผมจึงรู้จักเขาเป็นอย่างดี" มันชินีพูดถึงศิษย์รักของเขา 

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ ความสัมพันธ์แบบสุดแค้นแต่แสนรักของ "มาริโอ บาโลเตลลี" และ "โรแบร์โต มันชินี"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook