ตำนานที่ถูกลืม : "แฟรงค์ ซู" ชายเชื้อสายจีนคนเดียวที่เคยลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ

ตำนานที่ถูกลืม : "แฟรงค์ ซู" ชายเชื้อสายจีนคนเดียวที่เคยลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ

ตำนานที่ถูกลืม : "แฟรงค์ ซู" ชายเชื้อสายจีนคนเดียวที่เคยลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ประเด็นการต้านพฤติกรรมเหยียดผิว ยังคงเป็นเรื่องราวที่สังคมในปัจจุบัน ให้ความสนใจ เพราะไม่ใช่แค่คนผิวดำ ที่ต้องเผชิญหน้ากับการเหยียดผิว แต่ชาวเอเชียที่ใช้ชีวิตในโลกฝั่งตะวันตก ต้องพบเจอกับปัญหาเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจน คือเรื่องราวของ แฟรงค์ ซู ชายลูกครึ่งจีน-อังกฤษ ที่บันทึกหลายสถิติไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ของฟุตบอลอังกฤษ ในฐานะนักฟุตบอลที่ไม่ใช่คนผิวขาวคนแรก ที่เคยสวมเสื้อทีมชาติอังกฤษ แต่กลับเป็นบุคคลที่ถูกลืมจากโลกลูกหนัง ในปัจจุบัน

เรื่องราวของเขา คือบทบันทึกชั้นดี กับสิ่งที่คนเอเชีย ต้องเผชิญหน้ากับความไม่เท่าเทียม ในสังคมโลกตะวันตก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของหนุ่มลูกครึ่ง

แฟรงค์ ซู เป็นลูกครึ่งจีน-อังกฤษ พ่อของเขาเป็นชาวจีนอพยพ ขณะที่แม่เป็นชาวอังกฤษแท้ โดยซูเกิดเมื่อปี 1914 ที่เมืองบักซ์ตัน แต่เติบโตขึ้น ในเมืองลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นเมืองที่พ่อของเขา อพยพมาอยู่ในช่วงแรกของชีวิตที่อังกฤษ


Photo : www.thefranksoofoundation.org.uk

ครอบครัวของซู ทำงานอาชีพรับจ้างซักผ้า เพื่อเลี้ยงดูลูกทั้ง 7 คน ... แม้จะมีลูกเยอะตามแบบฉบับชาวจีน แต่ครอบครัวซู ไม่ได้มีฐานะยากจน เพราะพ่อของเขาทำงานหนัก ขยันอดออมแบบชาวจีน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ปลูกฝั่ง อยู่ในตัวของซูตั้งแต่เล็ก

แม้ว่าซูจะเป็นลูกครึ่งต่างชาติ และมีรูปลักษณ์แตกต่าง จากคนอังกฤษทั่วไป นั่นคือ หน้าตาคล้ายคนจีน, รูปร่างเล็ก และมีผิวสีเหลือง แต่เขาก็ไม่ถูกปิดโอกาส ในการเล่นกีฬา ซึ่งกีฬาที่เข้าไปอยู่ในหัวใจของซู ในช่วงวัยเยาว์ คือฟุตบอล กีฬายอดนิยมของชาวอังกฤษ

ซูใช้เวลาส่วนใหญ่ ไปกับการเล่นฟุตบอล กับเพื่อนแถวบ้าน ... ว่ากันว่า เขาฉายแววอัจฉริยะในเกมลูกหนัง ออกมาตั้งแต่ยังเล็ก จนได้รับโอกาสให้เข้าสู่สโมสรฟุตบอล ระดับเยาวชนที่ชื่อว่า เวสต์ ดาร์บี บอย คลับ

นักเตะเชื้อสายจีน พัฒนาฝีเท้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว เขานำแนวคิดของชาวจีน ที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก มาใช้กับการเล่นฟุตบอล นั่นคือ ซ้อมให้หนัก ถ้าไม่หมดแรง เขาจะไม่หยุดซ้อม เพราะเป้าหมายของซู คือการลงเล่นในสนาม และต้องมีแรงวิ่งไม่มีหมด ตลอด 90 นาที

ด้วยวัย 18 ปี ซูได้รับสัญญานักเตะอาชีพเป็นครั้งแรก กับทีม เปรสค็อต เคเบิลส์ ทีมระดับภูมิภาคของแคว้นแลงคาเชียร์ ... แม้จะเป็นทีมขนาดเล็ก แต่ซูทำงานของตัวเองอย่างเต็มที่ เขาฉายแววเด่นของตัวเองออกมา จนถึงขั้นที่ว่า สองทีมใหญ่ประจำเมืองลิเวอร์พูล อย่าง ลิเวอร์พูล และ เอฟเวอร์ตัน ส่งแมวมอง มาดูฟอร์มของเขาอยู่บ่อยครั้ง

ทั้งลิเวอร์พูล และ เอฟเวอร์ตัน ต่างต้องการซูมาร่วมทีม และเสนอสัญญาให้กับเขา แต่ซูกลับปฏิเสธข้อเสนอของทั้งสองทีม แล้วไปเซ็นสัญญากับ สโตค ซิตี้ แทน ในปี 1933 เนื่องจากว่า ในช่วงเวลานั้นสโตค กำลังสร้างทีมขึ้นมาใหม่ ด้วยพลังนักเตะดาวรุ่ง และซูเห็นว่า ถ้าเขาย้ายไปเล่นให้กับสโตค เขาน่าจะได้รับโอกาสลงสนามไม่ยาก


Photo : footballpink.net

แม้ว่าจะต้องใช้เวลาช่วงแรกกับทีม ในการแย่งชิงโอกาสลงสนาม แต่ซูไม่ได้คาดคะเนอนาคต ของตนเองผิด เขาได้รับโอกาสลงสนามครั้งแรก ในวันที่ 4 พฤษจิกายน 1933 ทำให้เขากลายเป็นนักเตะเชื้อสายจีนคนแรก ที่ได้ลงเล่นในฟุตบอลลีกอังกฤษระดับประเทศ แถมเป็นลีกสูงสุดอีกด้วย

ซูไม่ปล่อยโอกาสของตัวเองให้หลุดลอย เกมนั้นเขาเป็นกำลังสำคัญ พาสโตคถล่มมิดเดิลสโบรช์ 6-1 ... หลังจากนั้น เขาเริ่มได้รับโอกาสลงสนามมากขึ้นเรื่อยๆ และยึดตำแหน่งตัวจริงชองสโตคได้ในที่สุด

 

เอาชนะเสียงวิจารณ์ ด้วยความสามารถ

การยึดตำแหน่งของซู ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การรักษาตำแหน่งในสนามแข่งขัน กลับยากยิ่งกว่า ความแตกต่างทางรูปลักษณ์ ร่างกาย กลายเป็นจุดอ่อนของเขา ไม่ใช่กับการเล่นฟุตบอล แต่เป็นข้ออ้างที่จะโจมตีเขาให้เสียหาย


Photo : theloppy.com

"เขามักจะโดนคนอื่นเรียกว่า 'คนจีน' หรือ 'นักเตะจีน' อยู่ตลอด" ซูซาน การ์ดิเนอร์ นักเขียนที่เคยเขียนหนังสือชีวประวัติของ แฟรงค์ ซู กล่าว

"ฉันคิดว่ามุมมองของผู้คนต่อการเหยียดผิวในตอนนั้น คือเรื่องปกติ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่จะพูดแบบนั้น ทำให้ฉันคิดว่า ในความเป็นจริง เขาน่าจะโดนเหยียดมากกว่าที่เราจะจินตนาการออก" 

"อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่าด้วยความสามารถของเขา บวกกับนิสัยที่มีเสน่ห์ สามารถทำให้พวกที่ดูถูกเขา สงบปากสงบคำลงได้ เพราะทุกครั้งที่เขาลงสนาม เขาตั้งใจที่จะทำให้อคติเหล่านั้น ถูกลบออกไป" การ์ดิเนอร์ แสดงความคิดเห็น

การทำงานหนักเพื่อสยบเสียงวิจารณ์ของซู ทำให้เขากลายเป็นนักเตะ ที่ครบเครื่องมากที่สุดคนหนึ่ง กับตำแหน่งกองหน้าริมเส้น ... ซูมีความเร็วที่จะฉีกกองหลัง และวิ่งไปรับลูกบอลในพื้นที่ว่าง นอกจากนี้ยังมีจุดเด่น กับการจ่ายบอลที่แม่นยำ รวมถึงการยิงฟรีคิกที่เฉียบคม ทำให้บ่อยครั้งซูจึงได้รับบทบาท เล่นในตำแหน่งกองกลางตัวกลาง

ความสามารถสารพัดประโยชน์ของซู ทำให้เขาได้ยืนตำแหน่งตัวจริงให้กับสโตค อย่างยาวนาน เป็นนักบอลคู่ใจของ สแตนลีย์ แมทธิวส์ ตำนานฟุตบอลของประเทศอังกฤษ ในยุคนั้น 


Photo : www.stokesentinel.co.uk

"หากคุณไปย้อนดู บันทึกเกมการแข่งขัน ที่นักหนังสือพิมพ์เขียน หรือคำกล่าวของของแฟนบอลในยุคนั้น คุณจะรู้เลยว่า นักเตะคนนี้ได้รับการยกย่องมากแค่ไหน ในเรื่องของทักษะ ความสามารถ และมารยาทในสนามแข่งขัน"

"เขาได้รับการยกย่องอย่างมาก เป็นเรื่องปกติที่แฟนบอลของสโตค ซิตี จะกล่าวว่าซู คือนักเตะที่เก่งกว่า สแตนลีย์ แมทธิวส์" การ์ดิเนอร์ กล่าว

ไม่ใช่แค่คนใกล้ชิด ที่ชื่นชมในความสามารถของซู ... สแตนลีย์ มอร์เทนเซน หนึ่งในสุดยอดนักเตะชาวอังกฤษ ร่วมยุคของซู ยกย่องให้เขาเป็น 1 ใน 4 สุดยอดผู้เล่นที่เขาเคยเผชิญหน้า 

ด้าน อเล็กซ์ เจมส์ ตำนานของสโมสรอาร์เซนอล ในยุคนั้น กล่าวถึงซูว่า เป็นนักเตะที่มีการเล่นล้ำสมัยที่สุด ที่เขาเคยพบเจอในชีวิต

 

ตำนานที่ถูกลืม

ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะบอกว่า แฟรงค์ ซู คือหนึ่งในสุดยอดนักฟุตบอลของประเทศอังกฤษ ตลอดช่วงยุค 30's อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่เคยได้รับโอกาสติดทีมชาติอังกฤษ เหมือนกับผู้เล่นชั้นนำคนอื่น

ไม่มีใครรู้ว่าทำไม ซูถึงไม่เคยติดทีมชาติ หลายคนอาจมองว่าเป็นเพราะเรื่องเชื้อชาติ ทำให้เขาถูกมองข้าม แต่บางคนมองว่า สงครามโลกต่างหาก ที่ทำให้ซูไม่มีโอกาสติดทีมชาติกับเขาเสียที 

เพราะหลังจากปี 1939 ตอนนั้นซูอายุ 25 ปี และกำลังอยู่ในช่วงที่ฟอร์มร้อนแรงสุดขีด เขากลับถูกเกณฑ์ทหาร ต้องไปร่วมรบ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้กับกองทัพอากาศของอังกฤษ


Photo : www.stokesentinel.co.uk

เขาใช้เวลาหลายปี ไปกับการทำหน้าที่ในฐานะทหาร กระทั่งในปี 1942 เขาได้กลับมามีโอกาสเล่นฟุตบอลอีกครั้ง กับทีมที่เขารอคอยมาแสนนาน "ทีมชาติอังกฤษ"

ตลอดช่วงปี 1942-1945 ซูได้โอกาสลงรับใช้ทีมชาติอังกฤษ ไปทั้งสิ้น 9 นัด ทำให้เขาเป็นนักฟุตบอลเชื้อสายเอเชียตะวันออกคนแรก (และคนเดียว) ที่ติดทีมชาติอังกฤษ รวมถึงเป็นนักฟุตบอลคนแรก ที่ไม่ใช่คนผิวขาว ที่ติดทีมชาติอังกฤษด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เกมการแข่งขันของทีมชาติอังกฤษ ในช่วงสงครามโลกทั้งหมด ไม่ได้รับการรับรองจากฟีฟ่า เท่ากับว่าทุกเกม ที่ซูเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ เป็นเกมการแข่งขันที่ไม่เป็นทางการ 

หมายความว่า ซูไม่เคยได้ติดทีมชาติชุดใหญ่อย่างเป็นทางการ ของทัพสิงโตคำราม เพราะหลังจากสงครามโลกจบลง ซูไม่เคยถูกเรียก กลับไปเล่นให้ทีมชาติอังกฤษอีกเลย


Photo : www.stokesentinel.co.uk

ถึงตรงนี้ หลายคนคงจะมองว่า ปัญหาเรื่องเชื้อชาติ กลับมาปิดโอกาสติดทีมชาติของเขา ยามที่สังคมเป็นปกติ ... จะคิดแบบนั้น ถือว่าไม่ใช่เรื่องผิด เพราะแม้ว่าซูจะเป็นสุดยอดนักเตะ ในยุคสมัยของเขา แต่หลังจากเขาแขวนสตั๊ด ในปี 1950 ชื่อของเขาค่อยๆ เลือนหายจากสารบบลูกหนัง

ทั้งที่เขาเคยเป็นตำนาน กับยุคบุกเบิกของฟุตบอลสมัยใหม่ ในประเทศอังกฤษ แต่สื่อแดนผู้ดีแทบไม่นำเรื่องราวของเขามานำเสนอ ให้คนรุ่นหลังจดจำ หรือ สโตค ซิตี้ สโมสรที่เขาเป็นตำนานของทีม ไม่ได้ยกย่องเขาอย่างที่ควรจะเป็น หากเทียบกับการยกย่อง ของนักเตะเพื่อนร่วมรุนเดียวกัน 


Photo : www.scmp.com

"มันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สำหรับฉัน มันไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่า เรื่องของการเหยียดผิว" ซูซาน การ์ดิเนอร์ ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติของ แฟรงค์ ซู แสดงความเห็น

"ฉันจำเป็นต้องพูดแบบนี้ เพราะมีหลายคนมีความคิดที่ผิดเพี้ยนกับเขา เพียงเพราะเขามีความแตกต่าง และเป็นอื่น มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขามาตลอด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน"

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สโมสร สโตค ซิตี้ เริ่มที่จะพูดถึงเรื่องราวของ แฟรงค์ ซู ผ่านช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์คอยู่บ่อยครั้ง, แฟนบอลของสโตค เริ่มขุดเรื่องราวของนักเตะตำนาน มาบอกกล่าวเล่าขาน ขณะที่ปี 2018 ถนนเส้นหนึ่งในเมืองสโตค ถูกเปลี่ยนชื่อถนน เป็นชื่อของ แฟรงค์ ซู เพื่อเป็นเกียรติให้กับสุดยอดนักเตะรายนี้ 


Photo : www.stokesentinel.co.uk

และในปี 2020 Google ยังได้ทำ Doodle หรือหน้าแรกของเว็บไซต์ เป็นภาพวาดของ แฟรงค์ ซู เพื่อรำลึกการติดทีมชาติอังกฤษครั้งแรกของเขาอีกด้วย

เรื่องราวของ แฟรงค์ ซู อาจถูกลืมมาโดยตลอด จากวงการฟุตบอลอังกฤษ ไม่ว่าจะมาจากเรื่องของการเหยียดผิว หรืออะไรก็ตาม ... แต่ท้ายที่สุด เรื่องราวของนักเตะเชื้อสายจีนรายนี้ ที่ฝากไว้เป็นหน้าประวัติศาสตร์ ของวงการฟุตบอลอังกฤษ ถือว่าควรค่าที่จะถูกจารึกและจดจำ ไว้ในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล ตราบนานเท่านาน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook