เปาแป๊ก
ไม่แปลกใจที่ เจ๊บุษบุษบา ยอดบางเตย นายกสมาคมยกน้ำหนักแห่งประเทศไทย ออกมาโวยถึงเรื่องของ โค้ชหันจางเหมย โค้ชจอมพลังทีมชาติไทยที่วีซ่าหมดอายุ ต้องกลับไปต่อที่เมืองจีน
แต่ที่แปลกใจ เพราะเรื่องการต่อวีซ่าให้บรรดาโค้ชต่างชาติที่เข้ามาดูแลนักกีฬาไทย เป็นปัญหาแบบนี้มานาน แต่กลับไม่ได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น
เวลานานขนาดนี้ มีเวลาคิดมีเวลาแก้ไข แต่กลับไม่ขยับ
จึงจำเป็นต้องแปลกใจ
วกเข้ามาเรื่องวีซ่าของบรรดาโค้ชต่างชาติ รวมไปถึงนักกีฬาต่างชาติที่เข้ามาสร้างสีสันให้กับวงการกีฬา กับปัญหาเรื่องวีซ่า
ถ้าเป็นโค้ชต่างชาติ กีฬาไทยหลายชนิดผูกอยู่กับโค้ชต่างชาติมานาน
แต่ถ้าเป็นเรื่องนักกีฬา กีฬาชนิดอื่นคงแทบไม่มี มีแต่เฉพาะนักฟุตบอล ต้องบอกว่าเกลื่อนกลาดและมีมานาน
นักเตะหลากเชื้อชาติ วนเข้าเวียนออกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เพื่อขอใบรับรองการเป็นนักฟุตบอลของสโมสรต่างๆ เพื่อนำไปยื่นเรื่องขอวีซ่าทำมาค้าแข้งต่อไป
เมื่ออดีตยังดีที่สามารถดำเนินการในประเทศไทยได้
แต่ปัจจุบัน ต้องออกไปนอกประเทศและขอวีซ่ากลับเข้ามา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแถบตะเข็บชายแดนของไทย
ที่สำคัญวีซ่าที่ได้รับมานั้น เป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ แค่ 3 เดือน เมื่อใกล้หมดก็ต้องออกนอกประเทศและกลับเข้ามาใหม่
ทำกันไปอยู่อย่างนี้ ค่าใช้จ่ายขยับขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ต่อนักเตะแต่ละคน
ในกรณีของ โค้ชหันจางเหมย ยิ่งน่าแปลกใจ ไม่ได้มาดูแลนักกีฬาให้กับสโมสร ซึ่งเป็นผลประโยชน์ส่วนตน แต่มาดูแลการฝึกซ้อมให้กับนักยกน้ำหนักทีมชาติไทย ที่เตรียมตัวไปสู้ศึกซีเกมส์ ที่กรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ปลายปีนี้
ถือว่ามาทำงานเพื่อประเทศไทย
ระเบียบเดิมนั้นสมาคมสามารถพาโค้ชไปทำเวิร์กเพอร์มิตกับกรมแรงงานได้เอง แต่ระเบียบใหม่นั้นกำหนดให้ทางการกีฬาแห่งประเทศไทยเป็นผู้พาไป ซึ่งทางกกท.แจ้งว่าไม่มีเจ้าหน้าที่พาโค้ชต่างชาติไปทำเวิร์กเพอร์มิต
เอา..ว่ากันไป หน่วยงาน กกท.เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้แบบเต็มตัว แต่กลับไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ ตลกชอบกล
นี่เป็นเรื่องประโยชน์ของชาติ ที่อยู่ในช่วงพัฒนากีฬาไปสู่ความเป็นเลิศ ไปสู่ระบบอาชีพเต็มตัว
แต่เฟืองบางตัวหมุนช้ายังไม่ว่า แต่กลับไม่มีมาให้หมุนด้วยซ้ำไป
ทำเป็นเด็กเล่นแคะขนมครกไปได้
ถ้าแก้ไขหรือทำงานไปอย่างเช้าชามเย็นชาม ยุบหน่วยงานเก่า เอางานไปให้หน่วยงานใหม่รับผิดชอบจะดีกว่า
ฝากท่าน บิ๊กหนุ่มกนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าการ กกท.หยอดน้ำมันให้กลไกภายในไหลลื่นด้วยนะครับท่าน