Third Time Lucky : การก้าวข้ามฝันร้ายของ อเล็กซ์ อัลบอน สู่โพเดียมแรกนักแข่ง F1 ไทย

Third Time Lucky : การก้าวข้ามฝันร้ายของ อเล็กซ์ อัลบอน สู่โพเดียมแรกนักแข่ง F1 ไทย

Third Time Lucky : การก้าวข้ามฝันร้ายของ อเล็กซ์ อัลบอน สู่โพเดียมแรกนักแข่ง F1 ไทย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วินาทีที่การแข่งขัน ทัสกัน กรังด์ปรีซ์ 2020 สิ้นสุดลง คือวินาทีเดียวกันกับที่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้น ...

ประวัติศาสตร์ที่ว่าคือการที่ อเล็กซ์ อัลบอน นักแข่ง F1 สังกัดทีม เร้ดบูล เรซซิ่ง เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 3 ส่งผลให้เขากลายเป็นนักแข่งสัญชาติไทยคนแรกที่สามารถก้าวขึ้นไปยืนรับรางวัลบนแท่นโพเดี้ยม ในการแข่งขันประชันความเร็วที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

อย่างไรก็ตามกว่าที่ อัลบอน จะพาตัวเองมาถึงจุดนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องพบกับโชคร้ายที่นำพามาซึ่งความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็มาสำเร็จในครั้งนี้ราวกับพระเจ้าได้เขียนบทไว้ให้เป็น Third Time Lucky หรือ ความโชคดีในครั้งที่ 3 ตามธรรมเนียมความเชื่อของชาวตะวันตก

ติดตามเรื่องราวการต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้ของจอมซิ่งสายเลือดไทยได้ที่ Main Stand

แค่เริ่มก็ยากแล้ว

บนเวทีอันดับ 1 ของโลกความเร็วอย่าง F1 นั้น การที่ใครสักคนจะได้ที่นั่งนักขับที่มีเพียงราว 20 ที่นั่งในแต่ละปีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย และสำหรับ อเล็กซ์ อัลบอน เส้นทางของเขาดูเหมือนจะปิดตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มด้วยซ้ำ

แม้นักแข่งผู้มีคุณพ่อเป็นอดีตนักแข่งรถชาวอังกฤษ และคุณแม่เป็นคนไทย จะสร้างผลงานในสมัยเด็กอย่างสุดยอด ด้วยการเป็นนักแข่งโกคาร์ทดีกรีแชมป์โลก รวมถึงได้รับการสนับสนุนจาก เร้ดบูล (Red Bull) บริษัทเครื่องดื่มชูกำลังลูกครึ่ง ไทย-ออสเตรีย

แต่ทันทีที่ เร้ดบูล เรซซิ่ง (Red Bull Racing) เซ็นสัญญากับอัลบอนในปี 2012 เพื่อนำนักซิ่งวัย 16 ปี ณ ขณะนั้น เข้าสู่โปรแกรมนักแข่งเยาวชนของทีม ช่วงเวลาแห่งความยากลำบากก็ตามติดแบบทันควัน เมื่อเขาไม่สามารถสร้างผลงานที่ดีในการแข่งขัน ฟอร์มูล่า เรโนลต์ 2.0 อันเป็นการขึ้นมาขับรถล้อเปิดครั้งแรกในชีวิตได้ ทำให้ทางเร้ดบูลตัดสินใจยกเลิกสัญญาทันทีหลังจบฤดูกาลดังกล่าว

"การขยับจากรถโกคาร์ทไปแข่งด้วยรถล้อเปิดนั้นถือเป็นก้าวที่ใหญ่มากครับ ปัญหาสำคัญก็คือ ผมมีเวลาทำความคุ้นเคยกับรถน้อยเกินไป นอกจากนั้น ผมยังเป็นนักแข่งเพียงคนเดียวของทีม ทำให้ผมต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเองทั้งหมด" 

"จะว่าไป ก็รู้สึกแย่เอามาก ๆ นะ แต่เมื่อไม่อาจสร้างผลงานที่ดีได้ การถูกถอดออกจากทีมก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา" นี่คือสิ่งที่เจ้าตัวเปิดใจถึงอดีตอันขมขื่นในคราวนั้น

อย่างไรก็ตาม อัลบอน ไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ตรงกันข้ามเขามีเลือดนักสู้อย่างเต็มเปี่ยม โดยหลังออกจากโปรแกรมนักแข่งเยาวชนของเร้ดบูล เจ้าตัวก็ดิ้นรนต่อสู้ในทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นการหาทีมแข่ง รวมถึงหาสปอนเซอร์ด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้เขาต้องบินมาที่ประเทศไทย บ้านเกิดของคุณแม่อยู่บ่อยครั้ง

และที่สำคัญที่สุด คือการต่อสู้ในสนาม ซึ่งอัลบอนทำผลงานได้อย่างสุดยอด กับการคว้ารองแชมป์โลก GP3 (F3 ในปัจจุบัน) เมื่อปี 2016 รวมถึงคว้าอันดับ 3 รายการ F2 บันไดขั้นสุดท้ายสู่ F1 เมื่อปี 2018

ผลงานเหล่านี้ถือเป็นการการันตีแล้วว่า เด็กหนุ่มสายเลือดไทย พร้อมแล้วสำหรับการแข่งขันความเร็วที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

 

โชคร้ายครั้งแรก

ระหว่างที่เจ้าตัวกำลังล่าแชมป์โลก F2 ในปี 2018 อยู่นั้น อัลบอน ก็ได้รับการทาบทามจาก สคูเดเรีย โตโรรอสโซ่ (Scuderia Toro Rosso) ทีม F1 ทีมน้องของ เร้ดบูล เรซซิ่ง ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยอยู่ร่วมชายคามาก่อน 

แต่ปัญหาคือ โตโรรอสโซ่ รวมถึง เร้ดบูล ต้องใช้เวลาในการพิจารณานานเป็นพิเศษ เพราะพวกเขารู้จักเด็กหนุ่มคนนี้มาก่อนแล้ว และในตอนนั้นเขาก็ทำผลงานในฐานะเยาวชนไม่ดีเอาเสียเลย ประกอบกับนโยบายของเร้ดบูลในการเลือกนักแข่ง F1 คือการเลือกนักแข่งที่อยู่ในโปรแกรมของพวกเขา ณ ขณะนั้น ก่อนที่จะเลือกคนนอก

ด้วยความไม่ชัดเจนตรงหน้า อัลบอน จึงตัดสินใจที่จะไม่รอ ... เจ้าตัวเซ็นสัญญาเพื่อเตรียมตัวไปแข่งขัน Formula E หรือรถสูตรหนึ่งพลังงานไฟฟ้า กับทีม นิสสัน (Nissan) ในฤดูกาล 2018-19 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนดวงชะตากำหนดให้คู่กันแล้วไม่แคล้วกัน เพราะเร้ดบูลเองก็ประสบปัญหาในการหานักแข่งมาประจำการในทีมโตโรรอสโซ่ หรือ เร้ดบูล ทีมเล็ก แทนที่ ปิแอร์ แกสลี่ย์ ซึ่งถูกผลักดันขึ้นสู่ เร้ดบูล ทีมใหญ่ในปี 2019 มิหนำซ้ำ นักแข่งเยาวชนในสังกัด ณ ตอนนั้น ไม่มีใครเก็บคะแนนได้มากพอที่จะยื่นขอซูเปอร์ไลเซนส์ ใบอนุญาตแข่งรถ F1 เลยแม้แต่คนเดียว

ที่สุดแล้ว เร้ดบูล ก็ตัดสินใจดึงอดีตคนคุ้นเคยอย่าง อเล็กซ์ อัลบอน ขึ้นมาเป็นนักแข่ง F1 ให้ทีมโตโรรอสโซ่จนได้ ส่วนเรื่องการยกเลิกสัญญากับทีม นิสสัน ไม่ใช่ปัญหา เพราะผู้ดูแลทีม นิสสัน คือ DAMS ทีมที่อัลบอนขับให้ใน F2 และทุกคนรู้ดีว่า F1 คือความฝันสูงสุดของนักแข่งอยู่แล้ว

"มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมาก ๆ ครับกับการได้แข่งรถสูตรหนึ่ง แต่เส้นทางกว่าจะมาถึงตรงนี้มันไม่ง่ายเลย การถูกทีมเร้ดบูลปล่อยตัวออกมาเมื่อปี 2012 ทำให้ผมรู้ดีว่า เส้นทางสู่ F1 จะยากยิ่งกว่าเดิมมาก ๆ มันทำให้ผมต้องทำงานหนักกว่าเดิมและพิสูจน์ตัวเองให้ได้" 

"ที่สุดแล้ว ผมต้องขอบคุณทุกคนที่เร้ดบูลซึ่งมอบโอกาสครั้งที่สองนี้ให้กับผม" เจ้าตัวเปิดใจผ่านเว็บไซต์ของต้นสังกัดใหม่หลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

เมื่อความฝันก้าวแรกเป็นจริง อัลบอน ก็พยายามอย่างสุดชีวิตที่จะคว้าโอกาสไว้ให้อยู่หมัด และเขาก็เริ่มต้นได้ดีเสียด้วย 12 สนามแรก เจ้าตัวจบการแข่งขันไปถึง 11 สนาม รวมถึงการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในสนาม 3 ของฤดูกาลที่ เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน

สนามดังกล่าว เจ้าตัวเริ่มต้นด้วยการประสบอุบัติเหตุ รถชนกับกำแพงในรอบฝึกซ้อม ทีมช่างต้องใช้เวลาในการซ่อมรถอย่างยาวนาน จนทำให้ต้องสตาร์ตจากพิต แต่เขาก็สามารถไล่แซงคันแล้วคันเล่า จบการแข่งขันอันดับที่ 10 พร้อมคว้ารางวัล Driver of the Day หรือนักแข่งยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันสนามดังกล่าว

โดยผลงานดีสุดของเขากับ โตโรรอสโซ่ คือการคว้าอันดับ 6 ที่สนาม ฮอคเค่นไฮม์ ประเทศเยอรมนี ทั้ง ๆ ที่กว่าที่เขาจะได้ขับรถ F1 ของจริงเป็นครั้งแรก ก็ปาเข้าไปเดือนกุมภาพันธ์ 2019 หรือ 1 เดือนก่อนเปิดฤดูกาลเท่านั้น

ผลงานของ อัลบอน ที่ดีเกินคาด ประกอบกับผลงานของ แกสลี่ย์ ที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง ทำให้ เร้ดบูล ตัดสินใจสลับนักขับ ส่ง แกสลี่ย์ กลับ โตโรรอสโซ่ ทีมรองที่เคยอยู่ แล้วดัน อัลบอน จากทีมรองขึ้นทีมหลักอย่าง เร้ดบูล เรซซิ่ง แทน

หลังจากที่ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในทีมที่ใหญ่ขึ้น คุณภาพรถและทีมงานดีขึ้น ผลงานของ อัลบอน ก็ยิ่งเจิดจรัสขึ้นไปอีก สนามแรกกับ เร้ดบูล เรซซิ่ง ในรายการ เบลเจียน กรังด์ปรีซ์ ที่ สปา-ฟรองโกชองส์ เขาโชว์ผลงานไล่แซงจากการออกสตาร์ทอันดับ 17 มาจบอันดับที่ 5 ก่อนที่อีก 6 สนามหลังจากนั้น อัลบอน ไม่เคยได้อันดับต่ำกว่าที่ 6 โดยเฉพาะในสนามที่ 17 ของฤดูกาลที่ ซูซูกะ ประเทศญี่ปุ่น เขาเกือบขึ้นโพเดียมได้สำเร็จ โดยคว้าอันดับ 4 มาครอง

จนกระทั่งรายการ บราซิลเลียน กรังด์ปรีซ์ สนามรองสุดท้ายของฤดูกาล 2019 ที่ อินเตอร์ลากอส ฟอร์มของ อัลบอน ก็ยังคงไม่ต่ำลง ตรงกันข้ามในสนามนี้เขากลับทำได้ดีกว่าที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ อัลบอน เกาะกลุ่มผู้นำไว้ได้อย่างเหนียวแน่นแทบจะตลอดการแข่งขัน เคียงข้างกับนักแข่งชื่อดังอย่าง แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ่น เพื่อนร่วมทีม รวมถึง ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์โลก 5 สมัยในเวลานั้น

ยิ่งใกล้ถึงตอนจบ ภาพของ อัลบอน ในการยืนบนโพเดี้ยมก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ กับการรั้งอันดับ 2 หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับรถของทีมคู่แข่งหลายคัน ทว่าในรอบที่ 70 จาก 71 รอบ ฝันร้ายก็มาถึง เมื่อรถของ แฮมิลตัน ที่พยายามจะแซงจากไลน์ใน กระแทกเข้ากับรถของเขาเต็ม ๆ กลางคัน

แม้ตัวรถจะไม่ได้รับความเสียหายมากนัก แต่เวลาที่เสียไปจากการโดนชนครั้งดังกล่าว ทำให้เขาร่วงจากอันดับ 2 ลงมาถึงอันดับที่ 14 พลาดการขึ้นโพเดียม รวมถึงพลาดคะแนนสะสมในสนามดังกล่าวไปด้วย และที่ตลกร้ายคือ คนที่ขึ้นมาจบอันดับ 2 ต่อจาก เวอร์สแตปเพ่น คือ ปิแอร์ แกสลี่ย์ ผู้ซึ่งเสียที่นั่งใน เรดบูล ทีมใหญ่ให้กับเขา

"สิ่งที่เกิดขึ้นมันเจ็บปวดมาก แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ยังมีโอกาสในอนาคตอีกมากมาย ผมพยายามคิดในแง่บวก เราสมควรที่จะอยู่ที่ตรงนั้น (หมายถึงการขึ้นโพเดียม) แต่เราไม่ได้อยู่ตรงนั้น อาจจะเป็นครั้งต่อไปก็ได้" 

"ลูอิส ส่งข้อความมาขอโทษผมโดยตรง เขาคงรู้สึกผิดมากเช่นกัน" อัลบอน เผยความรู้สึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

ในขณะที่ แฮมิลตัน ซึ่งโดนบวกเวลาเพิ่ม 5 วินาที จนจบอันดับ 4 ในการแข่งก็ได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนี้เช่นกัน

"ผมขอกล่าวคำขอโทษอย่างใหญ่หลวงแก่ อัลบอน มันเป็นความผิดของผมแต่เพียงผู้เดียว ผมต้องแบกรับความเสี่ยงมากมายอย่างที่คุณเห็น"

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ที่โชคชะตาเล่นตลกกับ อเล็กซ์ อัลบอน ...

  โชคร้ายซ้ำสอง

อเล็กซ์ อัลบอน จบฤดูกาล 2019 ด้วยการคว้ารางวัล "รุกกี้ออฟเดอะเยียร์" หรือนักแข่งหน้าใหม่ยอดเยี่ยมของสหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ หรือ FIA อย่างสมศักดิ์ศรีด้วยผลงานอันดับ 8 ในตารางคะแนนสะสมที่ 92 คะแนน และมันก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าเขาดีพอสำหรับการแข่งขัน F1

ดูเหมือนว่า อัลบอน จะมีฤดูกาล 2020 ที่สดใสรออยู่ ...

ถึงแม้ว่าฤดูกาล 2020 จะเปิดม่านล่าช้าเพราะวิกฤติ COVID-19 แต่ดีกรีความดุเดือดก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามความดุเดือดดังกล่าวอาจจะไม่เข้าข้าง อัลบอน เอาเสียเลย 

ฤดูกาล 2020 เริ่มต้นด้วยการแข่งขัน ออสเตรียน กรังด์ปรีซ์ ที่สนาม เร้ดบูล ริง ซึ่ง อัลบอน ก็ยังคงรักษาฟอร์มอันร้อนแรงไว้ได้ เขาเริ่มต้นออกสตาร์ทด้วยการเกาะกลุ่มผู้นำเหมือนเช่นเคย และก็ยึดตำแหน่งในกลุ่มนี้ได้อย่างเหนียวแน่น จนกระทั่งการแข่งขันดำเนินเข้าสู่รอบที่ 61 

ในตอนนั้น อัลบอน อยู่ในอันดับที่ 3 โดยคนที่อยู่ข้างหน้าเขาก็ไม่ใช่ใคร ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์โลก 6 สมัยจากทีม เมอร์เซเดส (Mercedes) คู่ปรับคนเดิมนั่นเอง และในขณะที่ทั้งคู่กำลังขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น อัลบอน เร่งความเร็วในทางโค้งเพื่อจะแซง ลูอิส ขึ้นไปเป็นอันดับ 2 ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะทำได้สำเร็จด้วย

วินาทีนั้นเอง รถของ อัลบอน นำหน้ารถของ แฮมิลตัน ไปแล้วประมาณครึ่งคัน แต่สุดท้ายก็เหมือนภาพฉายซ้ำ ล้อหลังขวารถของเขา ถูกล้อหน้าซ้ายรถของ แฮมิลตัน เบียดจนเสียการควบคุมหลุดออกนอกสนามไป 

ผลสรุปคือ อัลบอน จบอันดับที่ 13 ไร้แต้มตั้งแต่เปิดม่านฤดูกาล ขณะที่ แฮมิลตัน ได้รับโทษเพียงบวกเวลาเพิ่ม 5 วินาที จบอันดับที่ 4 ในสนามดังกล่าวอีกครั้ง และนี่เป็นการปะทะกันระหว่าง ลูอิส กับ อัลบอน ครั้งที่ 2 ในการแข่งขัน 3 สนาม เมื่อนับรวมกับฤดูกาลก่อนหน้า

"การแซงโค้งนอกมีความเสี่ยงเสมอ แต่ผมก็รู้สึกว่าผมให้พื้นที่ว่างเขามากพอแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นมันขึ้นอยู่กับว่าตัวเขา (ลูอิส) อยากที่จะชนหรือไม่"

"ผมรู้สึกว่าครั้งนี้เราอาจจะเป็นผู้ชนะด้วยซ้ำ"

"ผมว่าครั้งนี้ ... ผมก็ไม่อยากพูดให้รู้สึกเจ็บปวด แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุแบบ 50/50 เหมือนที่เกิดขึ้นที่บราซิล แต่ผมก็จะไม่เปลี่ยนสไตล์ของผมในการแข่งขันกับ ลูอิส" อัลบอน ระบายสิ่งที่อยู่ในใจต่อ Sky F1 ซึ่งผิดจากธรรมชาติปกติของเขาโดยสิ้นเชิง จากที่เคยเป็นคนสุภาพถ่อมตน แต่คราวนี้ อัลบอน คงรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นธรรมต่อตัวเขาจริง ๆ

ในส่วนของ ลูอิส แฮมิลตัน ก็แสดงความเห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ทำให้สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าเจตนาที่แท้จริงของเขาคืออะไร คงขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคนในการตัดสิน

สิ่งเดียวที่เป็นความจริงคือ ... นี่เป็นอีกครั้งที่ตำแหน่งโพเดียมอยู่ห่างไปไม่เกินเอื้อมมือ แต่โชคชะตาก็เล่นตลกกับ อัลบอน ทำให้เขาพลาดมันไปอีกครั้ง

ทุกอย่างเกิดขึ้นไปแล้ว อัลบอน ก็รู้ดีว่าเขาคงทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้าก้มตาแสดงผลงานให้ดีต่อไป แล้วสักวันรางวัลแห่งความพากเพียรเหล่านั้นจะเป็นของเขาอย่างแน่นอน

 

จารึกประวัติศาสตร์

หลังจากเกิดเหตุการณ์ในสนามเปิดฤดูกาล 2020 แม้ อัลบอน จะยังมุ่งมั่นในการขับขี่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่สถานการณ์รายล้อม เริ่มที่จะไม่เป็นใจเสียแล้ว

เป้าหมายของ เร้ดบูล เรซซิ่ง ในแต่ละฤดูกาล คือการลุ้นแชมป์โลก หรือไม่ก็เข้าใกล้ยอดทีมแห่งยุคปัจจุบันอย่าง เมอร์เซเดส ให้มากที่สุด ทว่าบางสิ่งที่หาคำอธิบายยากคือ นับตั้งแต่ฤดูกาล 2019 เป็นต้นมา นักขับมือ 2 ของ เร้ดบูล ไม่สามารถทำผลงานได้ใกล้เคียงกับ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ่น มือ 1 ของทีม ในสถานการณ์ปกติเลย

ผลงานที่ดีที่สุดของ อัลบอน คือการจบอันดับ 4 ในสนามสองของฤดูกาล สตีเรียน กรังด์ปรีซ์ (ซึ่งแข่งขันที่ เร้ดบูล ริง เช่นเดียวกับสนามแรก) หลังจากนั้น ผลงานก็แกว่ง ๆ จบอยู่ระหว่างอันดับที่ 5-8 ตลอดจนผลงานในรอบควอลิฟาย ที่ได้อันดับสตาร์ทไม่ดีเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมทีม

ขณะเดียวกัน ผลงานของ ปิแอร์ แกสลี่ย์ ใน เร้ดบูล ทีมรอง ซึ่งเปลี่ยนชื่อทีมใหม่เป็น สคูเดเรีย อัลฟาเทารี่ (Scuderia AlphaTauri) กลับโดดเด่นขึ้น โดยเฉพาะในสนามที่ 8 ของฤดูกาล อิตาเลียน กรังด์ปรีซ์ ที่สนาม มอนซ่า ซึ่ง อัลบอน มีจังหวะปะทะกับ แกสลี่ย์ ตั้งแต่โค้งแรก ... รถของ อัลบอน เสียหาย ไม่สามารถทำความเร็วได้ จบอันดับ 15 ขณะที่ แกสลี่ย์ เอาตัวรอดจากความวุ่นวายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น คว้าแชมป์ F1 ครั้งแรกในชีวิตได้สำเร็จ

ผลงานในสนามดังกล่าว ทำให้กระแสข่าวที่ว่า เร้ดบูล อาจจะสลับตัวนักแข่งอีกครั้งโหมกระพือรุนแรง ซึ่งแม้แต่ ลูอิส แฮมิลตัน ก็ร่วมวงเล่นสงครามจิตวิทยาใส่ด้วย และถึง คริสเตียน ฮอร์เนอร์ หัวหน้าทีม เร้ดบูล เรซซิ่ง รวมถึง เฮลมุต มาร์โก้ ที่ปรึกษาด้านมอเตอร์สปอร์ตของทีม จะออกมายืนยันหนักแน่นว่า "ไม่มีแผนสลับตัวนักแข่งระหว่างฤดูกาล 2020" แต่ผู้ที่ติดตามวงการ F1 มานาน รู้ดีว่า ข่าวลือต่าง ๆ สามารถเป็นจริงได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทีม เร้ดบูล ซึ่งมีนักแข่งในสังกัดที่พร้อมถูกผลักดันเข้าสู่ F1 หลายคน

จนกระทั่งการแข่งขันดำเนินมาถึง ทัสกัน กรังด์ปรีซ์ สนามที่ 9 ของฤดูกาล ที่ มูเจลโล่ ประเทศอิตาลี สนามซึ่งได้รับโอกาสจัดการแข่งขัน F1 เป็นครั้งแรก จากผลพวงของ COVID-19 ...

หากเทียบกับสนามที่ บราซิล และ ออสเตรีย ต้องบอกว่าในครั้งนี้ อัลบอน เริ่มต้นได้ไม่ดีเท่า เพราะแม้จะออกสตาร์ทจากกริดที่ 4 แต่ออกสตาร์ทจริง ๆ เจ้าตัวก็อันดับร่วงลงมาถึงที่ 7-8 ก่อนจะค่อย ๆ ใช้ฝีมือในการขับไต่อันดับขึ้นมาเรื่อย ๆ ในการแข่งขันที่เกิดอุบัติเหตุหนักหลายครั้ง จนทำให้มีนักแข่งออกจากการแข่งขันถึง 8 คน ซึ่ง 2 คนในจำนวนดังกล่าว คือ แม็กซ์ เวอร์สแตปเพ่น และ ปิแอร์ แกสลี่ย์ 

หลังจากเกิดธงแดง ยุติการแข่งขันชั่วคราวเป็นครั้งที่ 2 การแข่งขันกลับมาเริ่มกันต่อในรอบที่ 47 จากกำหนด 59 รอบ อัลบอน ออกตัวได้ไม่ดีอีกครั้ง หล่นไปอยู่อันดับ 5 แต่ก็สามารถชิงอันดับกลับมาจาก เซอร์จิโอ เปเรซ ของทีม เรซซิ่งพอยท์ (Racing Point) ได้ในเวลาอันรวดเร็ว อีกเพียงก้าวเดียว โพเดียมแรกใน F1 ก็จะเป็นของเขา

แดเนี่ยล ริคคาร์โด้ จากทีม เรโนลต์ (Renault) คือผู้ที่นำ อัลบอน อยู่ในอันดับที่ 3 และเขาก็รักษาตำแหน่งได้อย่างเหนียวแน่น อัลบอน แทบไม่มีโอกาสในการแซงเลย จนการแข่งขันล่วงเลยเข้าสู่รอบที่ 51 เรียกได้ว่าเป็นโค้งสุดท้ายของการแข่งขันที่เข้มข้นสุด ๆ และก็เป็นในรอบนี้เองที่ อัลบอน อาศัยจังหวะในชั่วพริบตา แซง ริคคาร์โด้ จากวงนอก แบบเดียวกับที่เจ้าตัวถนัด และก็เป็นแบบเดียวกับที่เคยเจอฝันร้ายกับ ลูอิส แฮมิลตัน มาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ไม่มีการปะทะอะไรเกิดขึ้น อัลบอน ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 ก่อนรักษาตำแหน่งไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่สามารถมีใครแซงเขาได้ในช่วงการแข่งขันที่เหลือ โชคร้ายไม่ได้ตามหลอกหลอนเขาอีกแล้ว 

จบการแข่งขัน อเล็กซ์ อัลบอน คว้าอันดับที่ 3 ในรายการ ทัสกัน กรังด์ปรีซ์ ราวกับบท Third Time Lucky ได้เขียนเอาไว้

"ขอบคุณที่อยู่กับผม !" คำพูดแรกที่ อัลบอน กล่าวหลังจากเข้าเส้นชัยผ่านทางวิทยุสื่อสารของทีม ก่อนจะกล่าวกับ Sky F1 ในการให้สัมภาษณ์ว่า

"ทีมงานสนับสนุนผมเป็นอย่างดีตั้งแต่วันแรก มันดีมากที่ได้ขึ้นมายืนบนโพเดียม มันพิสูจน์ให้เห็นว่าผมทำได้ จังหวะขึ้นที่ 3 ภาพตอนชนกับ ลูอิส แฮมิลตัน มันวาบขึ้นมาอยู่นะ แต่ แดเนี่ยล ริคคาร์โด้ เผื่อที่ให้ผมมากพอ และมันก็ออกมาโอเค" 

ในขณะที่ คริสเตียน ฮอร์เนอร์ ที่เฝ้าดูการเติบโตของเด็กหนุ่มเชื้อสายไทยคนนี้มาตั้งแต่วันแรกก็อดปลื้มใจไปด้วยไม่ได้

"ผมรู้สึกยินดีกับเขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะที่ผ่านมาเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด สำหรับเขาการจะขึ้นโพเดียมในวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาพยายามอย่างหนักจริง ๆ"

"มันมีความแตกต่างอยู่นะระหว่างการที่คิดว่าตัวเองทำได้ กับการที่ทำได้แล้วจริง ๆ ผมคิดว่าการขึ้นโพเดียมในวันนี้น่าจะช่วยสร้างความมั่นใจอย่างมากให้กับเขาแน่นอน"

ในที่สุด อเล็กซ์ อัลบอน ก็สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นคนไทยคนแรกที่ขึ้นโพเดียมในการแข่งขัน F1 ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามฤดูกาล 2020 ยังไม่สิ้นสุด อัลบอน ยังต้องก้มหน้าทำผลงานให้ดีขึ้นกว่านี้ต่อไป รวมถึงเส้นทางการเป็นนักขับ F1 ของเขาที่ยังอีกยาวไกลด้วย

ปี 1950 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช เคยสร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการเป็นนักแข่งไทยคนแรกใน F1 ก่อนที่ อเล็กซ์ อัลบอน จะสร้างประวัติศาสตร์กับการนำธงไตรรงค์ขึ้นโพเดียม F1 ในปี 2020 ไม่แน่ว่าประวัติศาสตร์หน้าต่อไป อย่างแชมป์สนามครั้งแรกของคนไทยใน F1 ก็อาจจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ 

และผู้ที่มีโอกาสจะทำมันให้เป็นจริงได้สำเร็จเป็นคนแรกก็ไม่ใช่ใครอื่น ... อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ เด็กหนุ่มหัวใจนักสู้คนนี้นี่แหละ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook