ชนะตั้งแต่ในมุ้ง : จากวินนิ่งถึงโลกจริง ทำไมการแข่งขันจะสนุกต้องมีคน "ปากดี"

ชนะตั้งแต่ในมุ้ง : จากวินนิ่งถึงโลกจริง ทำไมการแข่งขันจะสนุกต้องมีคน "ปากดี"

ชนะตั้งแต่ในมุ้ง : จากวินนิ่งถึงโลกจริง ทำไมการแข่งขันจะสนุกต้องมีคน "ปากดี"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"พูดไปเดี๋ยวจะมีคนมาหมั่นไส้อีกว่าขี้คุยอะไรแบบนี้ แต่ถ้าทำฟุตบอลแล้วไม่เกทับกัน ผมว่ามันไม่สนุกหรอก แบบนั้น นอนอยู่บ้าน หรือ นั่งกรรมฐานที่วัดดีกว่า" 

นี่คือสิ่งที่ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แสดงถึงทรรศนะที่เชื่อว่าแม้ในการแข่งขันทุกทีมจำเป็นต้องมีน้ำใจนักกีฬา แต่ปัจจัยนอกสนามคือสิ่งที่จำเป็นต้องเกทับ บลัฟแหลก เพื่อเป็นสีสัน และทำให้การแข่งขันนั้นเข้มข้นมากขึ้น ไม่ว่าจะในโลกความจริงหรือในการแข่งขันวินนิ่ง ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้เป็นประจำ 

ติดตามศาสตร์ของการเกทับ ออกตัวแรง และ เล่นสงครามประสาท เหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงสำคัญนักในการแข่งขัน ไปพร้อมกับ Main Stand ที่นี่

แล้วแต่มุมมอง

เราทุกคนต่างสอนให้รู้จักคำว่า "น้ำใจนักกีฬา" รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม สิ่งนั้นหมายถึงการยอมรับในผลของการกระทำ ในการแข่งขันที่เกิดขึ้น ทว่าบางครั้งในการแข่งขันบางอย่างที่มีเดิมพันสูง การเป็นผู้ชนะจะสามารถเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์และถูกจดจำ ส่วนผู้แพ้ทำได้แต่ก้มหน้ายอมรับกับสิ่งทีเกิดขึ้นและสุดท้ายก็โดนลืมเลือนไปตามกาลเวลา 

เรียกได้ว่า "ชัยชนะครั้งเดียว" เปลี่ยนแปลงหลายสิ่งไปคนละขั้ว ดังนั้นคำว่าน้ำใจนักกีฬาก็อาจจะใช้ไม่ได้เสมอไป เพื่อความเป็นที่หนึ่งและยืนอยู่บนจุดสูงสุด ทำให้บางครั้งก็ต้องทำในสิ่งที่ไม่มีน้ำใจนักกีฬาดูบ้างนั่นคือการเกทับ การหยาม หรือการใช้คำพูดกดดันคู่แข่ง หรือที่รวม ๆ แล้วมันมักจะถูกเรียกว่า "สงครามประสาท" หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกกันว่า "psychological warfare" นั่นเอง

ในส่วนของฟุตบอล สงครามประสาทไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎและจะโดนลงโทษกันได้ ดังนั้นจึงเป็นหนึ่งในวงการที่มีสงครามประสาทเยอะที่สุด ในฟุตบอลต่างประเทศนั้น เจ้าพ่อแห่งสงครามประสาทคือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตกุนซือผู้ยิ่งใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีความเชี่ยวชาญในการเลือกใช้คำพูด เลือกใช้จังหวะในการพูดได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ไม่ใช่ทุกครั้งที่สงครามประสาทของเขาจะทำให้ทีมเอาชนะ แต่ส่วนใหญ่คำพูดที่เขาใช้กดดันคู่แข่ง ไม่ว่าจะพูดในแง่บวกหรือแง่ลบ มันมักจะได้ผลเสมอ 

พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2008-09 ขณะที่ เชลซี ซึ่งมี หลุยส์ เฟลิปเป้ สโคลารี่ คุมทีมนั้นกำลังออกสตาร์ทได้อย่างสวยหรู ชนะติด ๆ กันมาหลายเกม ยิงหลายประตูจนใครต่อใครยกให้เป็นเต็งแชมป์ในช่วงนั้น ทว่าเมื่อมีนักข่าวถาม เซอร์ อเล็กซ์ ว่า คิดอย่างไรกับ เชลซี ชุดนี้ เขาเพียงแต่บอกสั้น ๆ ว่า "ลิเวอร์พูล ต่างหากคือทีมที่ผมไม่อาจจะกาชื่อทิ้งจากการลุ้นแชมป์ได้ ส่วนเชลซีนั้นลืมไปได้เลย"

"ทีมที่จะลุ้นแชมป์กับเรา ผมไม่อาจกาชื่อ ลิเวอร์พูล หรืออาร์เซนอลออกไปได้ ส่วนเชลซีนั้นแก่เกินแกง พวกเขาผ่านจุดสุดยอดกันไปหมดแล้ว" ผลออกมาคือ สโคลารี่ ทำทีมหมดลุ้นแชมป์ ก่อนจะโดนปลดออกจากตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 ...

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นกลายเป็น ลิเวอร์พูล ของ ราฟา เบนิเตซ ที่ขึ้นมาเป็นทีมลุ้นแชมป์กับ ยูไนเต็ดจริงๆ หลังทำผลงานได้อย่างร้อนแรงจากการประสานของ เฟร์นานโด ตอร์เรส และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และมีแต้มนำปีศาจแดงอยู่ถึง 7 แต้มหลังผ่านเดือนมกราคม แม้จะแข่งน้อยกว่าสองนัดก็ตาม  

แต่ถึงอย่างนั้น แม้ว่าคราวนี้นักข่าวถามเฟอร์กี้ในลักษณะเดียวกัน แต่เขากลับเลือกที่จะไม่ชื่นชมคู่แข่ง หรือแม้กระทั่งบอกปัดคำตอบไป แต่เขาบอกเป็นนัย ๆ ว่า "ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้กังวลกับฟอร์มของพวกเขา"

"ไม่ต้องสงสัยอะไรมากมายนัก ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลพวกเขาจะธาตุไฟแตกกระวนกระวายใจในทุกท่วงท่า พวกเขาจะเข้าสู่โลกอีกใบที่พวกเขาไม่รู้จัก (ลุ้นแชมป์ลีก) ตอนนั้นแหละพวกเขาจะได้รู้แน่ พลาดเมื่อไหร่จะถูกลงโทษเมื่อนั้น"  

"พวกเขาไม่เหมือนกับเรา เราเป็นสโมสรที่คว้าแชมป์รายการใหญ่มาตลอด 2-3 ปีหลัง และประสบการณ์เหล่านั้นมันช่วยเราได้แน่" เฟอร์กี้ ว่าไว้

และผลสุดท้ายคือ ปีศาจแดง จบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ด้วยการมีแต้มเหนือ ลิเวอร์พูล 4 แต้ม ... ทั้ง ๆ ที่ในปีดังกล่าว ยูไนเต็ด เสียท่าให้กับ ลิเวอร์พูล แบบไปกลับทั้งในบ้านและนอกบ้านอีกด้วย นั่นคือประโยชน์ของการใช้จิตวิทยาในเกมฟุตบอลจริงๆ 

ย้อนกลับมาที่โลกแห่งเกมอีกครั้งสงครามจิตวิทยาในเกม "วินนิ่ง" นั้นจะแตกต่างออกไปจากฟุตบอลจริง ๆ อยู่ไม่น้อย ตรงที่มันไม่ใช่การสัมภาษณ์และถูกโยนคำถามให้จากนักข่าว แต่มันคือคนสองคนที่ถือจอยประจันหน้ากันแบบโต้ง ๆ 

ดังนั้นสงครามจิตวิทยาของคอเกมวินนิ่งจะใช้ถ้อยคำที่รุนแรงและจี๊ดใจได้มากกว่า โดยไม่ต้องเป็นห่วงภาพพจน์กัน เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนฝูงกันอยู่แล้ว ทว่าในการแข่งขันที่ไม่มีใครอยากแพ้ มิตรภาพจะถูกวางไว้ชั่วคราว และสงครามประสาทจะเริ่มขึ้นอย่างร้อนแรง 

"อ่อน, กาก หรือกระจอก" คือคำพูดที่แสนจะคุ้นเคย แต่กลับกลายเป็นคำพูดที่ใช้กระตุ้นอุณหภูมิเกมได้เป็นอย่างดี เมื่อใดที่คำพูดนี้เกิดขึ้น เมื่อนั้นสีหน้าของความเอาจริงก็จะปรากฎ สงครามประสาทแบบวินนิ่งนั้นไม่ได้มีชั้นเชิงหรือคิดวิเคราะห์คำพูดอะไรมากนัก คิดแล้วก็พูดออกมาเลย แต่ก็เพราะจุดนี้นี่เแหละที่ทำให้ชัยชนะในแต่ละนัดมีความหมายมาก แม้มันจะเป็นเพียงเกมหรือโลกเสมือนจริงก็ตาม 

จะเห็นได้ว่าของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับมุมมอง ผู้จัดการทีมในฟุตบอลจริง หรือแม้แต่คนเล่นเกมวินนิ่งนั้นมีหลายรูปแบบหลายประเภท บางคนไม่ชอบพูด ชอบมีสมาธิกับสิ่งที่ตัวเองต้องทำ พวกเขาจะมองว่าสงครามประสาทนั้นเป็นสิ่งที่ไร้สาระไม่ตอบโต้ แต่แน่นอนว่าเมื่อมีขั้วบวกก็ต้องมีขั้วลบ การเล่นสงครามประสาทจะกลายเป็นของสนุกสำหรับกุนซือหรือผู้เล่นบางคน ... เหตุผลเพราะว่าพวกเขาเหล่านี้มองเป็นการแข่งขันอย่างหนึ่ง ไม่ใช่แค่การฝอยน้ำลายแตกเท่านั้น

 

เก่งกว่า นิ่งกว่า ... ชนะเลิศ

หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวว่า "หลังเราพูด คำพูดจะเป็นนายเรา" อยู่เสมอ คำนี้เองทำให้หลายคนเลือกที่คิดให้ดีก่อนจะพูดอะไรแต่ละครั้ง ทว่าสำหรับกลุ่มผู้เสพติดสงครามประสาท พวกเขาเสพติดสิ่งที่ตามมา ไม่ว่าจะร้ายหรือดี สำเร็จหรือล้มเหลว พวกเขาสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่มีวันล้มเลิกกับสไตล์นั้น 


Photo : BURIRAM UNITED

อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น เนวิน ชิดชอบ คือตัวอย่างที่ชัดเจน ก่อนที่เขาจะพูดประโยคที่ว่า "ทำฟุตบอลแล้วไม่เกทับกัน ผมว่ามันไม่สนุกหรอก แบบนั้น นอนอยู่บ้าน หรือ นั่งกรรมฐานที่วัดดีกว่า" ไม่ใช่ว่าประธานของปราสาทสายฟ้าไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับคำพูดของตัวเอง เขาเคยบอกว่า "กวาดทุกแชมป์" แต่สุดท้ายก็แห้วมาแล้ว อีกทั้งในปี 2019 ในสถานการณ์ที่ต้องลุ้นแชมป์กันกับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด จนนัดสุดท้าย เจ้าตัวก็ยังกล้าหาญพอที่จะพูดว่า "บุรีรัมย์ไม่ขอรับแชมป์ที่เชียงใหม่" และจะเอาถ้วยแชมป์ไทยลีกกลับมาฉลองในรังเหย้าของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ ณ เวลานั้นสถานการณ์เหมือนกับการโยนหัวก้อยก็ตาม

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทุกคนรู้ดี คำพูดของ เนวิน กลับมาทำร้ายเขาเอง เมื่อสุดท้าย บุรีรัมย์ ไม่สามารถเอาชนะ เชียงใหม่ เอฟซี ได้ และเป็นการส่งแชมป์ให้ เชียงราย ยูไนเต็ด ฉลองแชมป์หลังบุกเอาชนะ สุพรรณบุรี เอฟซี ... เท่านั้นเองคำว่า "ไม่ขอรับแชมป์ที่เชียงใหม่" ก็กลายเป็นประโยคร้อนในโลกโซเชียลที่ใช้แซว ใช้แขวะ ใส่ทั้งเจ้าตัวและทีมของเขาด้วย กระแสในตอนนั้นรุนแรงมากราวกับว่า เนวิน ไม่น่าจะกล้าพูดอะไรที่ขวานผ่าซากแบบนั้นอีก แต่สุดท้ายเขาก็ทำมันอีกครั้งจนโลกโซเชี่ยลต้องประสานเสียงว่า "เอาอีกแล้ว" ...  แต่ที่แน่ ๆ การแสดงออกแบบชัดเจนในแนวทางและพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด คือการยืนยันว่า "เขานิ่งพอ" 


Photo : Official Chiangmai Football Club

อย่าลืมว่าสงครามประสาทนั้นมีเป้าหมายที่การโยนความกดดันให้อีกฝ่าย และทำให้เรามีโอกาสเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน ทว่าบางครั้งของแบบนี้ต้องวัดกันที่ความนิ่ง ความสามารถในการคุมเกมนี้ให้ได้ และไม่กดดันกับคำพูดของตัวเองไปเสียเอง จนทำให้สูญเสียตัวตนและความเป็นธรรมชาติไป หลายคนไม่นิ่งจริง ไม่แกร่งจริงคิดจะเล่นสงครามประสาทก็มักจะแพ้ภัยตัวเอง คิดจะเล่นเขาแต่ของกลับเข้าตัวก็มีให้เห็นมาไม่น้อย 

ส่วนในโลกอีกใบอย่าง วินนิ่ง นั้น การใช้สงครามจิตวิทยาจะเห็นผลชัดมากในเกมที่กดดันจริง ไม่ใช่เกมที่เล่นไปงั้น ๆ แพ้ชนะก็ไม่ได้อะไร ส่วนใหญ่ความกดดันจะเกิดขึ้นจากเกมที่เดิมพันไม่ว่าจะในแง่ตัวเงินหรือศักดิ์ศรี  จนทำให้ผู้เล่นเลือกที่จะพูดและข่มคู่แข่งเพื่อหลีกหนีความพ่ายแพ้  

ซึ่งแน่นอนการจะใช้สงครามจิตวิทยาได้ดีจำเป็นจำต้องมีฝีมือในระดับหนึ่งด้วย เชื่อว่าทุกคนคงนึกภาพออกในกรณีที่เราเก่งกว่าเพื่อนอีกคนหนึ่งมาก ๆ และเล่นกัน เราจะรู้สึกว่าเรามีพลังมากกว่าปกติ ไม่ว่านอกจอที่มักจะคุยทับแบบสบาย ๆ ไม่มีความกดดันว่าของจะเข้าตัวทีหลังเพราะรู้ว่ายังไงก็ชนะแน่ๆ 

ขณะที่ในจอนั้น ในเกมไหนที่เราเจอกับคนเล่นที่ "หมู" เราจะเล่นได้มั่นใจขึ้นไปอีกระดับ มีการเล่นลูกยาก ๆ เริ่มมีการเล่นทีเรียกว่า "แอ็ค" อาทิหลุดเดี่ยวไม่ยิง เอาโกลออกมาเลี้ยงหลบคู่แข่งได้สบาย ๆ เป็นต้น 


Photo : MS Chonburi

แต่ในกรณีที่เจอกับคู่แข่งตึงมือนั้นการจะคุยทับอะไรก็ต้องเหลือทางไว้ให้ถอยหนีบ้าง หากสักแต่จะด่าเขาว่าอ่อน ว่า กาก แล้วสุดท้ายแพ้ขึ้นมา ก็จะกลายเป็นประเด็นให้โดนล้อกันไปรู้จบ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการพูดเกทับอะไรใส่ใครสักคนนั้นมีความเสี่ยงสูงไม่น้อย แม้จะทำให้คุณชนะได้ แต่ก็ทำให้คุณต้องเจ็บปวดกับคำพูดตัวเองได้เช่นกัน สิ่งสำคัญคือถ้าคุมเกมไม่ได้ หรือนิ่งไม่พอกับการรับมือกับความกดดันจากคำพูดของตัวเอง เมื่อนั้นคุณจะรู้สึกว่าตนเองเริ่มหายใจถี่ เริ่มรู้สึกอึดอัด อยากเอาจริงเอาจังมากขึ้น แน่นอนว่ามันเกิดจากอาการ "กลัวแพ้" และ "กลัวของเข้าตัว" นั่นเอง 

ความนิ่งและประสบการณ์ในการคุมเกมจิตวิทยานั้นจำเป็นจะต้องฝึกฝนไม่ต่างกับศาสตร์อย่างอื่น มันเหมือนกับการลงสนามบ่อย ๆ ของนักฟุตบอลนั่นแหละ แรกๆอาจจะกดดันกลัวทำผิดพลาด กลัวแพ้จนเล่นไม่เป็นธรรมชาติ แต่สุดท้ายถ้าคุณเชี่ยวชาญจนกลายเป็นผู้คุมเกมได้ คุณจะได้ประโยชน์จากจิตวิทยามาก ๆ ยิ่งได้เจอคู่แข่งที่มีจิตอ่อนแล้วล่ะก็ต่อให้ฝีมือเท่า ๆ กัน บางทีพวกเขาก็ออกอาการฝ่อให้เห็น และเมื่อนั้นคุณก็เป็นผู้ชนะตั้งแต่ยังไม่ได้ลงแข่งขันแล้ว ... 

 

ทุกการแข่งขันต้องการคนแบบนี้ 

แม้การเกทับจะเป็นอะไรที่ผู้พูดและคนเริ่มจะต้องแบกรับความเสี่ยง แต่ปลายทางช่างหอมหวานหากคุณกลายเป็นผู้ชนะ ... คุณจะดูเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ขึ้น วีรกรรมในสนามที่โดนกล่าวขาน จะถูกต่อเติมในฐานะคนจิตแข็งและเชี่ยวชาญด้านการรับมือกับความกดดันเข้าไปอีกเป็นต้น 


Photo : MS Chonburi

แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือทุกวงการโดยเฉพาะวงการฟุตบอลหรือวงการเกมจะขาดคนที่ชอบเกทับไม่ได้เลย เพราะพวกเขาเหล่านี้ทำให้รสชาติของการแข่งขันเข้มข้นและออกรสมากขึ้นเป็นพิเศษ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นจากความแค้น ความหมั่นไส้ หรือแพสชั่นของการอยากเป็นผู้ชนะ แต่การเกทับหรือสงครามประสาทนั้นก็จะทำให้เกิดสตอรี่และตำนานที่น่าสนใจขึ้นมาอีกมากมาย 

บางครั้งมันเหมือนกับหนังจีนที่ว่ากันว่า "ล้างแค้นรอสิบปีก็ไม่สาย" ไม่ว่าเวลาจะนานเท่าไหร่หากเราเคยเป็นฝ่ายแพ้และโดนปรามาส เราจะนับวันนับคืนรอที่จะแก้แค้นคน ๆ นั้น แม้การเอาชนะของเราอาจจะไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกของใคร แต่อย่างน้อยหากเราชนะได้ ความสะใจเกิดขึ้นในใจเราแค่นี้ก็มากพอ

ยกตัวอย่างชัด ๆ คงเป็นเคสของ ทรอย ดีนี่ย์ กัปตันทีมของวัตฟอร์ด ที่กลายเป็นนักเตะที่แฟนบอล อาร์เซน่อล เกลียดที่สุดในรอบหลายปีเนื่องจาก 3 ปีก่อน เขาเคยพา วัตฟอร์ด ชนะ อาร์เซน่อล และปิดท้ายเกมด้วยคำพูดว่า 

"ผมได้ยินเวนเกอร์กล่าวโทษว่า ลูกจุดโทษเป็นเหตุผลทำให้พวกเขาพ่ายแพ้" กัปตันทีม วัตฟอร์ด กล่าวกับ บีที สปอร์ต  "ผมคงไม่ใช่คนที่จะต้องไปบอกคุณเวนเกอร์เรื่องของเขาหรอก แต่เหตุผลที่พวกเขาพ่ายแพ้นั้นไม่ได้มาจากลูกจุดโทษลูกเดียว”

"กล้าๆ หน่อยพวก ผมคิดว่าคงต้องใช้คำนี้ เมื่อไรก็ตามที่ผมแข่งขันกับอาร์เซนอล และนี่เป็นเรื่องส่วนตัวนะ ผมลงสนามและนึกในใจว่า 'ตูขอลองหวดสักหน่อย เดี๋ยวมาดูกันว่าใครอยากได้บอลมากกว่า'"

"วันนี้พอผมถูกเปลี่ยนลงสนามและกระโดดแย่งกับแมร์เตซัคเกอร์ เอาจริง ๆ ไม่ต้องกระโดดด้วยซ้ำ ผมโขกบอลลงและกองเชียร์ก็ลุกฮือขึ้น นักเตะของพวกเขาทุกคนถอยกรูกันเชียว"

"สำหรับผมในฐานะนักเตะ ผมเพียงแค่คิดว่านี่คือวันที่มีความสุข ข้อนี้คือจุดแข็งของผมเลย ถ้าคุณปล่อยให้ผมทำแบบนี้ได้ คุณเจอกับบ่ายที่ยากลำบากแล้วล่ะ ... นั่นคือพวกที่เท่าเทียมกับผมนะ ผมรู้ ผมไม่ได้มีเทคนิคหรือพรสวรรค์อะไรเหมือนคนอื่น แต่ถ้าคุณอยากจะสู้กับผมล่ะก็ ผมจะล้มคุณให้ได้ทั้งวันเลย"

แฟน อาร์เซน่อล และเชื่อว่านักเตะอาร์เซน่อลหลายคนที่อยู่ในเกมวันนั้นคงจดจำคำพูดของ ดีนี่ย์ ได้เป็นอย่างดี พวกเขานับวันรอเพื่อชำระแค้นนี้อยู่ 3 ปีและสุดท้ายก็มาถึง วันสุดท้ายของฤดูกาล 2019-20 อาร์เซน่อล ที่ไม่มีลุ้นอะไรแล้วเปิดบ้านพบกับ วัตฟอร์ด ที่นำโดย ดีนี่ย์ และภารกิจหนีตกชั้นที่จำเป็นจะต้องบุกมาเอาชนะ อาร์เซน่อล ให้ได้ ... 

สิ่งที่เกิดขึ้นคือนักเตะอาร์เซน่อลเล่นกันแบบ "โคตรเอา" แม้จะมีเกมนัดชิง เอฟเอ คัพ รออยู่ในช่วงต่อจากนี้ 2 สัปดาห์ก็ตาม พวกเขากระซวกวัตฟอร์ดตั้งแต่ต้นเกมและถีบ แตนอาละวาด ที่มีดีนี่ย์ สวมปลอกแขนกัปตันตกชั้นไปอย่างเจ็บแสบ และที่สำคัญกว่านั้นมันเหมือนเป็นการปลดแอกของแฟน อาร์เซน่อล ในโลกโซเชี่ยลเลยก็ว่าได้เพราะแฟนปืนบุกถล่ม ดีนี่ย์ ทั้งใน IG และแฮชแท็กบนทวิตเตอร์อย่างสะใจ ล้อเลียนกันเต็มที่ให้สมกับที่รอคอยมาเนิ่นนาน

นี่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นเรื่องดีมากนัก แต่มันก็ทำให้รู้ว่าการเกทับ บลัฟแหลกทำให้ทุกการแข่งขันออกรสออกชาติมากขึ้น และมันจะส่งผลต่อไปเรื่อย ๆ ไซโควันนี้ชนะวันนี้ก็จริง แต่ในวันข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้ และมีผู้ที่เคียดแค้นเฝ้ารอวันชำระโดยที่เราอาจจะนึกไม่ถึงก็เป็นได้ ... เรียกได้ว่ารสชาติของการล้างแค้นนั้นเป็นอะไรที่หอมหวานสุด ๆ และรสชาติหอมหวานเหล่านี้มีจุดกำเนิดจากคำพูดของคนบางคนทั้งสิ้น 

เช่นเดียวกันในโลกแห่งวินนิ่งหรือเกมอื่นๆ การที่เราแพ้ใครสักคนแบบสู้ไม่ได้ยังไม่เจ็บแค้นเท่ากับการแพ้แล้วโดนเยาะเย้ยถากถาง สิ่งเหล่านี้เองทำให้เรากลับไปพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ให้เก่งขึ้น เพื่อหวังว่าสักวันเราจะถือจอยและเอาชนะคนปากดีให้ดี พร้อมยัดคำพูดเยาะเย้ยนั้นกลับไปอย่างสาสม ... ซึ่งในความอยากจะเอาชนะคำดูถูกนั้นเอง ได้ส่งผลบวกต่อตัวเราขึ้น อย่างน้อยๆเราก็ได้ใช้คำพูดเหล่านั้นเป็นแรงบันดาลใจในการอยากจะเป็นผู้ชนะ และอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิมนั้นเอง

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าไม่ว่าจะในวงการไหน ในโลกแห่งความจริง โลกแห่งกีฬา หรือโลกแห่งเกม ศิลปะ วาทะ และการทำสงครามประสาทด้วยคำพูดนั้นล้วนเป็นของคู่กันทั้งสิ้น เพราะไม่มีใครอยากเป็นคนแพ้ จึงต้องมีใครที่พยายามให้มากกว่าเพื่อเป็นผู้ชนะ ... และในบางชัยชนะก็ไม่ได้วัดที่วิธีการ แต่มันเป็นการวัดที่ผลลัพธ์ หนึ่งคำพูด เปลี่ยนเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ และสร้างตำนานที่พร้อมสานต่อ ... ทั้งหมดนี้คือคำตอบที่ว่า ทำไมทุกการแข่งขันต้องการคนที่ใช้คำพูดเป็นอาวุธอยู่นั่นเอง 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook