"ดิลเลียน ไวท์": จอมโหดรุ่นเฮฟฟี่เวทผู้เติบโตท่ามกลางความเป็นความตายและดงกระสุน

"ดิลเลียน ไวท์": จอมโหดรุ่นเฮฟฟี่เวทผู้เติบโตท่ามกลางความเป็นความตายและดงกระสุน

"ดิลเลียน ไวท์": จอมโหดรุ่นเฮฟฟี่เวทผู้เติบโตท่ามกลางความเป็นความตายและดงกระสุน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ถึงแม้จะไม่ใช่นักมวยไร้พ่าย สถิติสวยหรูเหมือน ไทสัน ฟิวรี่ หรือโปรไฟล์การชกดีเหมือน แอนโทนี่ โจชัว แต่จากการที่นิตยสาร The Ring จัดให้เขาอยู่อันดับที่ 5 จากนักมวยเฮฟฟี่เวททั้งหมดในโลกยุคปัจจุบัน และอันดับที่ 8 ใน Boxrec.. เพียงเท่านี้ก็น่าจะเป็นการพิสูจน์ได้แล้วว่าฝีมือบนสังเวียนของ ดิลเลียน ไวท์ เจ้าของฉายา “The Body Snatcher” คนนี้ไม่ใช่ธรรมดา

ถึงแม้ว่าไฟต์ล่าสุดเขาเพิ่งจะพ่ายแพ้ให้กับ อเล็กซานเดอร์ โพเว็ตกิ้น นักชกชาวรัสเซียจนเสียเข็มขัดแชมป์โลกเฉพาะ​กาล WBC รุ่นเฮฟฟี่เวท แต่เขาก็ยังมีโอกาสทวงมันกลับคืนในไฟต์รีแมตช์ที่มีกำหนดชกกันในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2020 เดิมพันคือเข็มขัดเส้นเก่าที่ ไวท์ เพิ่งเสียไป

ก่อนที่ระฆังยกแรกจะดังขึ้น ไปติดตามเรื่องราวชีวิตที่ผ่านความตายมานับครั้งไม่ถ้วน และกัดฟัดสู้จนถึงที่สุดของ ดิลเลียน ไวท์ ได้ที่ Main Stand

กลางห่ากระสุน

ถึงแม้จะมีเชื้อสายเป็นคนอังกฤษ แต่สถานที่ที่ ไวท์ ลืมตาดูโลกคือเมืองพอร์ตอันโตนิโอ ประเทศจาเมกา ในวันที่ 11 เมษายน ปี 1990 โดยครอบครัวของเขาเป็นผู้อพยพที่ย้ายหนีสงครามกลางเมืองมาจากประเทศไอร์แลนด์ (ครอบครัว​ ไวท์ เป็นคนอังกฤษ ก่อนจะย้ายไปอยู่ไอร์แลนด์​ และย้ายไปจาเมกา​ในภายหลัง)​

แน่นอนว่าชีวิตในวัยเด็กของ ไวท์ นั้นก็รันทดดราม่าไม่แพ้ประวัติชีวิตของยอดนักมวยแชมป์โลกคนอื่นๆ โดยเฉพาะในประเทศจาเมกา บ้านหลังแรกของเขา

1

“ชีวิตผมที่นั่นไม่มีอะไรเลยนอกจากความเจ็บปวด ความเจ็บปวด และความเจ็บปวด บางวันผมต้องข่มตานอนทั้งที่ท้องผมหิวแทบแย่”

“ผมไม่ได้เรียนหนังสือเลยตอนอยู่ที่จาเมกา มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก เวลาส่วนมากผมหมดไปกับการวิ่งหนีดงกระสุน” ไวท์ กล่าวย้อนความหลังกับ The Sun

เมื่ออายุ 12 ปี ก็เกิดจุดเปลี่ยนขึ้นในชีวิตของ ไวท์ โดยเขาและครอบครัวย้ายจากจาเมกา ลัดฟ้าสู่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่ถ้าถามว่าคุณภาพชีวิตของของดีขึ้นหรือไม่ คำตอบคือไม่ เพียงแต่ที่บ้านหลังใหม่แห่งนี้อย่างน้อยเขาก็ได้รับการศึกษา และทำให้เขาได้ค้นพบสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา...การชกมวย

“ผมเป็นนักเรียนที่ห่วยแตกมากที่โรงเรียน แต่การชกมวยเปลี่ยนชีวิตของผมไปเลย ผมรู้ว่ามันคือโอกาสดีที่สุดที่จะเปลี่ยนชีวิตของผม”

ถึงแม้ ไวท์ จะมีโอกาสได้ร่ำเรียนวิชาหมัดมวยจากโรงฝึกของชายที่ชื่อมิเกล ซึ่งตั้งอยู่ในละแวกบ้าน แต่ชีวิตโดยรวมของเขาก็ยังค่อนข้างตกอยู่ภายใต้ความอันตราย และส่วนใหญ่ ไวท์ ก็เลือกที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยกำปั้นของเขา ไวท์มีร่างกายที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีเชิงมวยที่ฝึกฝนมา ทำให้อันธพาลส่วนใหญ่ในย่าน บริกซ์ตัน กรุงลอนดอน ต่างก็ยอมสยบต่อเขา แต่สุดท้ายต่อให้ ไวท์ แกร่งแค่ไหน ก็ไม่สามารถรับมือกับกระสุนปืนและคมมีดได้

ไวท์ เคยถูกแทงเป็นแผลลึกถึง 3 ครั้ง โดยมีครั้งหนึ่งที่เขาตัดสินใจเย็บแผลด้วยตัวเองแทนที่จะไปโรงพยาบาลเพื่อประหยัดค่ารักษา นอกจากนั้นเขายังเคยโดนยิงอีก 2 ครั้งในสงครามแก๊งอันธพาลย่านแคลปแฮม และก็เช่นเคย ไวท์ ตัดสินใจผ่าตัดเอากระสุนออกจากแผลด้วยตัวเอง

“ผมเอากระสุนออกเอง และซ่อนตัวให้เงียบหลังสงครามแก๊ง ผมไม่ต้องการให้ตำรวจมาที่บ้านและพบกับแม่ของผม มันทำให้เธอเสียเกียรติ ไม่ว่าผมจะเจ็บปวดแค่ไหนผมก็ไม่อยากรบกวนเธอเลยแม้แต่น้อย” ไวท์ บอกกับ Telegraph

2

ความกร้านโลกของ ไวท์ ไม่ใช่แค่เรื่องทะเลาะวิวาท หรือเสี่ยงตาย เพราะอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เขาต้องเติบโตขึ้นมาอย่างเข้มแข็ง ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดคือการที่ ไวท์ ให้กำเนิดทายาทคนแรกในตอนที่เขาเพิ่งอายุได้ 13 ปีเท่านั้น

“ผมเป็นคุณพ่อตอนอายุ 13 ปี ผมต้องดูแลลูกๆ ดังนั้นผมจึงโตเร็วกว่าคนทั่วๆ ไป โดยเฉพาะด้านจิตใจ”

“เมื่อกลายเป็นคุณพ่อ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ผมต้องวิ่งวุ่นตลอดทั้งวัน ต้องทำงานวันละ 2-3 ที่ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูก นอกจากนั้นผมต้องฝึกมวยอย่างหนักเพื่อเป็นนักมวยที่เก่ง พวกเด็กๆ จะต้องไม่มาดิ้นรนเหมือนที่ผมเคยดิ้นรน”

อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ชีวิตของ ไวท์ ก็เกิดการพลิกผันอีกครั้งเมื่อเขาถูกจับในข้อหาพยายามฆ่า ที่มีบทระวางโทษจำคุกสูงถึง 20 ปี และในระหว่างรอพิพากษา ไวท์ ถูกส่งเข้าไปอยู่ในเรือนจำเมืองบริสตอล 

3

“ตอนนั้นพี่ชายของผมเสียชีวิตไปแล้วหนึ่งคน แม่บอกกับผมว่าเขาไม่อยากเสียลูกชายไปอีกแล้ว มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากเลยนะ ผมไม่อยากทำให้แม่ผิดหวัง”

“ตอนที่ผมอยู่ในเรือนจำ แม่ผมมาเยี่ยม เธอพูดกับผมด้วยใบหน้าที่มีน้ำตานองว่า ชีวิตของลูกผ่านอะไรมาเยอะเหลือเกิน ผมรู้สึกแย่และละอายใจมากๆ”

ทว่าสุดท้าย ไวท์ ก็ได้รับอิสระอีกครั้งหลังจากที่ศาลตัดสินว่าเขาไม่มีความผิด และหลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยพาชีวิตของตัวเองกลับไปสู่จุดตกต่ำแบบนั้นอีกเลย…

จับความโกรธใส่ลงกำปั้น

หลังจากที่ฝึกฝนวิชามวยพลางวิ่งหนีดงกระสุนมาตั้งแต่วัยเด็ก ในที่สุด ไวท์ ก็ย่างเข้าสู่โลกแห่งการต่อสู้อย่างจริงจังในปี 2007 โดยเริ่มต้นจากการเป็นนักมวยคิกบ็อกซ์เซอร์ และเขาก็ทำได้ดีเป็นอย่างมาก

ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 2 ปี ไวท์ พุ่งทะยานขึ้นเป็นนักชกคิกบ็อกซ์เซอร์รุ่นใหญ่ที่เก่งที่สุดในเกาะอังกฤษ เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ทุกคนที่ขวางหน้า ก่อนจะขึ้นเป็นแชมป์ประเทศอังกฤษในศึก BIKMA Super Heavyweight British Championship ด้วยสถิติชนะ 20 แพ้ 1 ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นแชมป์ K1 ทวีปยุโรปอีกหนึ่งสมัยด้วย ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนไปเป็นนักสู้ MMA แบบเต็มตัว

“ผมใช้ความโกรธที่มีในตัวมาใส่ลงในระเบียบวินัยของการฝึกซ้อม ซึ่งมันทำให้ผมแข็งแกร่ง” ไวท์ กล่าวกับ Daily Mail

ถึงแม้จะเป็น MMA  แต่ ไวท์ ก็ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย เขาเอาชนะ มาร์ค สเตราท์ คู่แข่งของเขาในศึก Ultimate Challenge MMA ได้ในระยะเวลาเพียง 12 วินาที และนั่นก็เป็นการต่อสู้ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของ ไวท์ ในสังเวียน MMA เพราะ ไวท์ ตระหนักได้ว่าเป็นเรื่องยากที่เขาจะยกระดับคุณภาพชีวิตของตัวเองและครอบครัวให้ดีขึ้นด้วย MMA หรือ คิกบ็อกซ์​ซิ่ง มันต้องเป็นอะไรที่ทำเงินได้มากกว่านั้น...มวยสากล

ไวท์ เริ่มเข้าสู่วงการมวยสากลในฐานะนักมวยสากลสมัครเล่นในปี 2009 แต่ไม่ว่าจะเป็นสังเวียนไหน การต่อสู้รูปแบบใด ไวท์ ก็พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาเก่ง เขาแกร่ง และยากที่ใครจะมาหยุดเขา 

ไวท์ ต่อยมวยสากลสมัครเล่นไปทั้งหมด 6 ไฟต์ แน่นอนว่าเขาชนะรวด และเป็นการชนะน็อกถึง 5 ไฟต์ อย่างไรก็ตามไฟต์ที่สำคัญที่สุดกลับไม่ใช่ไฟต์ที่เขาชนะน็อก แต่เป็นไฟต์ชนะคะแนนเพียงไฟต์เดียว เพราะไฟต์ดังกล่าวคู่ต่อสู้ของ ไวท์ มีชื่อว่า แอนโทนี่ โจชัว

แอนโทนี่ โจชัว ที่ว่าคือคนเดียวกันกับแชมป์โลกรุ่นเฮฟฟี่เวทสถาบัน WBA (Super), IBF, WBO, และ IBO คนปัจจุบันคนนั้นนั่นแหละ.. ถึงแม้จะไม่โดนน็อก แต่ โจชัว ก็สะบักสะบอมไม่น้อย ก่อนจะแพ้คะแนนไปอย่างเป็นเอกฉันท์ 

ดูเหมือนเส้นทางในฐานะนักมวยสากลสมัครเล่นของ ไวท์ กำลังจะไปได้สวย และถ้าเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกในลอนดอนเกมส์ 2012 อาจจะไม่ใช่ แอนโทนี่ โจชัว แต่เป็น ดิลเลี่ยน ไวท์

แต่สุดท้าย ไวท์ ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน เนื่องจาก ไวท์ เกิดข้อพิพากกับสมาคมมวยสากลสมัครเล่นของประเทศอังกฤษ ภูมิหลังในการเป็นนักมวยคิกบ็อกซ์​ซิ่งอาชีพมาก่อนขัดกับข้อสัญญาบางข้อของสมาคม 

ไวท์ ยุติเส้นทางการเป็นนักมวยสากลสมัครเล่นของเขาไว้ในปี 2010 ก่อนจะเริ่มเส้นทางใหม่ “นักมวยสากลอาชีพ” ในปีเดียวกัน

“ไร้เทียมทาน” คำนี้น่าจะเป็นนิยาม ไวท์ ในฐานะนักมวยสากลอาชีพได้เป็นอย่างดี เพราะนับตั้งแต่ไฟต์เปิดตัวของเขากับ ไมเคิล มาตุสเวสกี้ ในปี 2011 ไวท์ ก็ถลุงคู่ต่อสู้อย่างไม่ไว้หน้า กวาดชัยชนะได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นเรื่องธรรมดา

จนกระทั่งมาถึงไฟต์ที่ 9 ไวท์ ต้องขึ้นไปปะทะกับ แซนเดอร์ บาโล นักชกชาวฮังการี่ ในสังเวียนยอร์ก ฮอลล์ กรุงลอนดอน และเพียงยกที่ 4 เขาก็ประเคนหมัดใส่อาคันตุกะจากฮังการีจนสิ้นสภาพ โดนจับแพ้ TKO ไปอย่างไม่มีปัญหา

ไฟต์นี้ก็ดูเหมือนทุกไฟต์ที่ผ่านมาของ ไวท์ เพียงแต่ว่าหลังจากได้รับชัยชนะ ไวท์ ถูกตรวจพบว่าใช้สารกระตุ้นต้องห้ามอย่าง Methylhexaneamine (MHA) ถึงแม้ว่า ไวท์ จะพยายามอุทธรณ์ว่าสารดังกล่าวมาจากการรับประทานอาหารเสริมของเขา แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล ไวท์ ถูกตัดสินโดยคณะกรรมการ National Anti-Doping Panel (NADP) สั่งแบนจากวงการมวยสากลอาชีพเป็นเวลา 2 ปี พร้อมริบชัยชนะในไฟต์ล่าสุดด้วย

5

“ไม่สามารถลดหย่อนโทษให้ต่ำกว่า 2 ปีได้ คณะกรรมการอุทธรณ์เห็นด้วยกับคำตัดสินนี้ โดยต้องการให้คดีนี้ได้เน้นย้ำถึงอันตรายของนักกีฬาที่รับประทานอาหารเสริมที่มี MHA อาหารเสริมที่มีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพนักกีฬาควรได้รับการควบคุมการใช้โดยนักโภชนาการอย่างเคร่งครัด” ส่วนหนึ่งของคำตัดสินดังกล่าว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไวท์ ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหัวยอมรับความจริงดังกล่าว และใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ฟิตซ้อมร่างกายอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อไรที่เขากลับมา เขาจะต้องพร้อมในการเดินหน้าต่อทันที

สังเวียนระดับโลก

หลังจากห่างหายจากสังเวียนไปกว่า 2 ปี ในที่สุดก็ถึงกำหนดที่ ไวท์ จะกลับมาโลดแล่นโชว์พลังหมัดระดับสุดยอดของเขาอีกครั้ง โดยคู่ต่อสู้คนแรกที่ต้องมาเป็นกระสอบทรายระบายความอัดอั้นของ ไวท์ มีชื่อว่า อันเต้ เวโรนิก้า นักชกชาวโครเอเชีย

3 นาที 30 วินาที คือเวลาทั้งหมดที่ อันเต้ ยืนหยัดรับหมัดของ ไวท์ ก่อนที่เขาจะลงไปนอนกองกับพื้นเวที พ่ายแพ้ด้วยการ TKO ไปในยกที่ 2 เท่านั้น และหลังจากนั้นอีก 6 ไฟต์ ชะตากรรมคู่ต่อสู้ของ ไวท์ ก็ไม่ต่างจาก อันเต้ เท่าไรนัก ไม่มีใครทนทานพลังหมัดของ ไวท์ ได้เกินยก 4 เลยแม้แต่คนเดียว จนในที่สุด ไวท์ ก็คว้าเข็มขัดแชมป์ WBC Silver International รุ่นเฮฟฟี่เวทมาครองได้สำเร็จ 

6

ก่อนที่ไฟต์แห่งโชคชะตาจะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง…

ไฟต์ที่ 17 ถือเป็นอีกหนึ่งไฟต์สำคัญในชีวิตของ ไวท์ เพราะมันมีเข็มขัด WBC International, Commonwealth, and  British Heavyweight เป็นเดิมพัน อีกทั้งคู่ต่อสู้ก็เป็นคนคุ้นเคยกันดีอย่าง แอนโทนี่ โจชัว ที่ในตอนนี้มีดีกรีเป็นนักชกไร้พ่าย ควบด้วยอดีตแชมป์เหรียญทองโอลิมปิก

ถึงแม้ ไวท์ จะเคยเอาชนะ โจชัว มาได้ในสังเวียนมวยสากลสมัครเล่น แต่ในตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปมากแล้ว โจชัว ดูเป็นต่อทุกอย่าง เขาคือ “มวยสร้าง” ที่ทั่วโลกจับตามอง และกำลังถูกดันให้ขึ้นเป็นราชารุ่นเฮฟฟี่เวทคนใหม่ ดังนั้นการจะเอาชนะ โจชัว ในตอนนี้คืองานโหดหินสุดๆ 

เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น โจชัว ใช้ทักษะเชิงมวยที่เหนือกว่าเดินเข้าหาพร้อมปล่อยหมัดใส่ ไวท์ อย่างไม่ยั้ง เรียกได้ว่า ไวท์ แทบจะเจียนอยู่เจียนไปตั้งแต่ยกแรก อีกทั้งยังเกิดเหตุการณ์ชุลมุนเพิ่มความเดือดให้กับไฟต์นี้ไปอีกเมื่อระฆังจบยก 1 ดังแล้ว แต่ ไวท์ กลับไม่ยอมหยุดปล่อยหมัด จนเกือบมีเรื่องมีราวใหญ่โต บรรดาพี่เลี้ยงต้องเข้ามาห้ามกันเป็นการใหญ่

หลังจากนั้น โจชัว ยังคงใช้เชิงมวยที่สูงกว่า รวมถึงช่วงชกที่ยาวกว่า ปล่อยหมัดใส่ ไวท์ ตลอดเวลา แต่ ไวท์ ก็ถือว่าทำได้ดี เขาพยายามใช้ลูกอึดลูกทนรับหมัดเพื่อย่นระยะช่วงชก ก่อนจะปล่อยหมัดสวนออกไปให้ โจชัว ได้สะบักสะบอมบ้าง 

7

จนกระทั่งการต่อสู้เดินทางมาถึงยกที่ 7 ไวท์ ที่ใช้พละกำลังไปค่อนข้างเยอะเริ่มออกอาการเหนื่อยล้าจนความเร็วตกลงไปอย่างเห็นได้ชัด และก็เป็นในจังหวะนั้นเองที่ โจชัว ปล่อยหมัดฮุคขวาเข้าที่ใบหน้าของ ไวท์ แบบเต็มรัก จน ไวท์ ออกอาการแข้งขาอ่อน ก่อนที่ โจชัว จะตามเข้าไปยำหมัดชุดใหญ่ใส่อย่างต่อเนื่อง 

สุดท้าย ไวท์ ก็ลงไปกองกับพื้นผ้าใบสังเวียนด้วยหมัดฮุคขวา ลิ้มรสชาติแห่งความพ่ายแพ้ครั้งแรกในชีวิตอย่างเต็มอิ่ม

แต่ก็อย่างที่ ไวท์ เคยกล่าวไว้ว่า “ผมเป็นนักสู้ตัวจริง ผมสู้เพื่อการมีชีวิตรอด”

หลังจากพักฟื้นร่างกายไป 6 เดือน ไวท์ ก็กลับมาใหม่ พร้อมกับแววตาแห่งความพ่ายแพ้ที่ได้จางหายไปแล้ว ก่อนที่เขาจะเริ่มการไล่ล่าชัยชนะอีกครั้ง แถมคราวนี้นักมวยแต่ละคนที่เขาเจอล้วนแต่เป็นยอดฝีมือระดับโลกแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น โรเบิร์ต เฮเลนุส, โจเซฟ ปาร์คเกอร์, หรือ ออสการ์ ริวาส

จากชัยชนะเหล่านั้นทำให้ในที่สุด ไวท์ ก็ได้สัมผัสเข็มขัดแชมป์โลกเสียที โดยเป็นของสถาบัน WBC เฉพาะกาล และ WBO แต่สุดท้ายเขาก็เสียมันไปจนได้ ให้กับนักชกจากรัสเซียที่มีชื่อว่า อเล็กซานเดอร์ โพเว็ตกิ้น

8

ถึงแม้ว่าในไฟต์นี้ ไวท์ จะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เขาดูรัดกุมเป็นอย่างมากถ้าเทียบกับไฟต์ที่ผ่านๆ มา ไม่ผลีผลามเสี่ยงเกินไป อีกทั้งการออกหมัดก็ค่อนข้างเฉียบคม ถึงขั้นที่สามารถส่ง โพเว็ตกิ้น ลงไปนับ 8 ได้ในยกที่ 4 แต่เมื่อเข้าสู่ยก 5 ฝันร้ายของ ไวท์ ก็มาถึง

โพเว็ตกิ้น ในเวลานั้นอาจจะวัยล่วงเลยเข้าเลข 4 แล้วก็จริง แต่ในเรื่องเชิงมวยเขาคือเสือเฒ่าเขี้ยวลากดิน เพียงวินาทีเดียวที่ ไวท์ เผลอ หมัดอัปเปอร์คัทขวาก็พุ่งเข้าเสียบปลายคางเขาทันที ไวท์ ร่วงไปกองกับพื้นเวทีในสภาพตาลอยหมดสติ กรรมการยุติการชกไว้เท่านี้

นี่คือความพ่ายแพ้ครั้งที่ 2 ในชีวิตของ ไวท์ และมันเจ็บปวดกว่าครั้งแรกเสียอีก เพราะการพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้เข็มขัดแชมป์โลกที่เขาอุทิศทุกอย่างเพื่อคว้ามันมาได้หลุดลอยไปพร้อมกับสติเขาด้วย

“ผมเป็นนักรบ ผมไม่แก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่ผมจะทำคือหาความผิดพลาดของตัวเอง เพื่อจะทำให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป” 

“ผมเร็วกว่า คมกว่า แต่นี่แหละคือโลกของเฮฟฟี่เวท พลาดเพียงครั้งเดียวหมายถึงทุกอย่างจบ” ไวท์ กล่าวหลังจากที่สติเขาฟื้นคืนมา

9

อย่างไรก็ตาม ไวท์ ก็ไม่ต้องรอนานในการล้างแค้น เพราะในตอนนี้มีการประกาศออกมาแล้วว่า ไวท์ กับ โพเว็ตกิ้น จะมีการรีแมตช์กันในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2020 นี้ หลังจากความพ่ายแพ้ครั้งแรกเพียง 3 เดือน โดยเดิมพันคือเข็มขัดแชมป์โลกเฉพาะกาล รุ่นเฮฟฟี่เวท WBC ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ชนะในไฟต์นี้มีสิทธิ์ได้ตั๋วเข้าไปชิงแชมป์กับ ไทสัน ฟิวรี่ ยอดนักมวยแห่งยุคผู้ถือเข็มขัดเส้นจริงอยู่

“โพเว็ตกิ้น กับทีมงานทุกคนพร้อมมาก เขาเคยทำมันได้แล้วครั้งหนึ่ง และในตอนนี้เขาจะทำมันอีกครั้ง” ข้อความจากทีมงานพี่เลี้ยงของ โพเว็ตกิ้น

ส่วน ไวท์ เอง ก็ออกมากล่าวว่า “คุณจะพูดยังไงกับผมก็ได้ คิดกับผมยังไงก็ได้ แต่ฟังนะ คุณห้ามประมาทผม คุณห้ามดูถูกผมโดยเด็ดขาด”

น่าจับตามองจริงๆ ว่าสุดท้ายแล้วศึกครั้งนี้จะลงเอยเช่นไร จะเป็นหนังม้วนเดิม หรือเปลี่ยนม้วนใหม่ หลังจากผ่านความลำบากมามากมายตั้งแต่ความจำได้ ดิลเลี่ยน ไวท์ จะเข้าใกล้ความฝันของเขาได้อีกขั้นหรือไม่ 21 พฤศจิกายนนี้ คำตอบทุกอย่างจะกระจ่าง….

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ "ดิลเลียน ไวท์": จอมโหดรุ่นเฮฟฟี่เวทผู้เติบโตท่ามกลางความเป็นความตายและดงกระสุน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook