ฟลอยด์งงร้องจ๊าก : เอ็มมานูเอล ออกัสตัส "หนุ่มหมัดเมา" ที่ขึ้นชกแบบไม่สนโลก

ฟลอยด์งงร้องจ๊าก : เอ็มมานูเอล ออกัสตัส "หนุ่มหมัดเมา" ที่ขึ้นชกแบบไม่สนโลก

ฟลอยด์งงร้องจ๊าก : เอ็มมานูเอล ออกัสตัส "หนุ่มหมัดเมา" ที่ขึ้นชกแบบไม่สนโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เอ็มมานูเอล ออกัสตัส คือนักมวยที่ไม่เคยคว้าแชมป์โลกเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่บางครั้งเรื่องราวของคนบางคนก็น่าสนใจได้แม้ไม่ต้องมีความสำเร็จการันตี 

เพราะเขาคือตำนานทีมีสีสันที่ฉูดฉาด จี๊ดจ๊าดอย่างที่สุด เช่นไม่เคยคิดจะเป็นนักมวยจนกระทั่งคิดว่าได้ต่อยคนโดยไม่ผิดกฎหมาย,ไม่เคยศึกษาสไตล์การชกของใครเพราะขี้เกียจ หรือแม้กระทั่งไม่เคยหาข้อสรุปให้ตัวเองว่า "ผมต่อยสไตล์ไหน" และสิ่งนี้ทำให้ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ จึงยอมซูฮกเขาในฐานะคู่ชกหมาบเลข 1 ตลอดกาลของเขา 

ที่คือเรื่องราวทั้งหมดของเขา ออกัสตัส ที่ถูกเรียกว่า "ไอหนุ่ม หมัดเมา" ได้ที่นี่

สุดตั้งแต่วัยเด็ก

ออกัสตัส ลืมตาดูโลกที่ ชิคาโก้ รัฐ อิลลินอยส์ เดิมทีมเขามีชื่อว่า เบอร์ตัน ทว่าจากปัญหาด้านครอบครัวทำให้เขาได้เข้าไปอยู่กับครอบครัวอุปการะตั้งแต่ 3 ขวบ และช่วงชีวิตวัยเด็กก็วุ่นวายอยู่กับการย้ายครอบครัวถิ่นฐานไปยังหลายที่ทั้งที่ หลุยเซียน่า,เท็กซัส หรือแม้กระทั่ง ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย จนกระทั่งมาลงตัวด้วยการอาศัยอยู่กับครอบครัวของเพื่อนที่ บาตัน โร้ก หลยุส์เซียน่าในท้ายที่สุด

แม้เรื่องที่อยู่จะลงตัวเเต่ก็โตมาแบบนักเลงข้างถนนอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะที่หลุยส์เซียน่า จัดว่าเป็นรัฐที่มีอัตราก่ออาชญกรรมสูงมากทั้ง ปล้น ฆ่า ข่มขืน ติดอันดับมากที่ในสหรัฐอเมริกาเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าเราจะอ้างกันว่าจะดีจะร้ายนั้นขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ทว่าที่แท้จริงนั้นสิ่งแวดล้อมพร้อมจะพาให้คนเดินทางผิดได้ตลอดเวลา หากใครคนนั้นไม่แข็งแกร่งพอ และ ออกัสตัน ก็เป็นเช่นนั้น 


Photo : www.theadvocate.com

"ผมเป็นคนขี้หงุดหงิดแล้วก็ขี้โมโหด้วย เพราะทั้งชีวิตผมเจอแต่คนโกหกใส่ตลอดเวลา ผมเเทบไม่เคยเจอความจริงใจจากใครจนอายุ 20 ปี ตลอดเวลาวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว ถูกพรากจากพ่อแม่ ย้ายจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่ง"

เมื่อเลือกเดินทางสายนี้ปัญหาก็ตามมา การโดนจับเขาสถานพินิจหรือโรงเรียนดัดสันดานจึงเป็นของคู่กันกับชีวิตของเขา อย่างไรก็ตามเมื่ออายุได้ 17 ปี ราวกับว่า ออกัสตัส จะรู้ตัวว่าชีวิตของการเป็นเยาวชนใกล้จะหมดลงแล้ว หากเขาทำผิดพลาดอีก ต่อจากนี้จะเป็นคุกจริงๆ ไม่ใช่สถานพินิจอีกเเล้ว ดังนั้นเขาจึงเริ่มทำอะไรสักอย่างที่เหมาะกับตัวเองที่สุด และเขาคิดเองเออเองว่า "ไปชกมวยดีกว่า"

"ตอนนั้นรู้สึกผมจะยังอยู่กับย่า แล้วก็คิดว่าควรต้องหาอะไรทำบ้าง เพราะไม่อยากเป็นพ่อค้ายาหรือกลับไปนอนคุกอีกเเล้ว" 

"ผมมันพวกนอกคอก และบังเอิญได้ไปลองฝึกชกมวยดูจากนั้นผมก็ปิ๊งไอเดียเลย นี่มันคือการต่อสู้ที่เราซัดหน้าใครก็ได้โดยไม่ต้องเข้าคุกนี่หว่า" ออกัสตัส ว่ากับ ริงทีวี  

การฉุกคิดนั้นเริ่มทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการมวยสมัครเล่น มันทำให้เขาได้ชกคนจริงๆนั่นแหละ แต่มันไม่ตอบโจทย์เท่าไรนัก เพราะมวยสากลสมัครเล่นต้องใส่เฮดการ์ดและมีกฎยิบย่อยสารพัด อีกทั้งยังทำเงินได้น้อยอีกต่างหาก ดังนั้นเขาจึงสรุปความเอาเองอย่างชัดเจนว่า "มันน่าเบื่อ" ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาในระดับสมัครเล่นเพียงแค่ 27 ไฟต์ ซึ่งถือว่าน้อยมากๆหากเทียบกับนักมวยระดับโลกที่เทิร์นโปรเข้าสู่ระบบอาชีพคนอื่นๆ  แต่ก็นั่นแหละถ้าเหมือนใครก็คงไม่ใช่เขา ซึ่งเมื่อเข้าสู่การเป็นมืออาชีพเเล้ว เส้นทางนักมวยของ ออกัสตัส สุดขีดยิ่งขึ้นไปอีก 

 

ขอแค่ได้ชกก็พอ

เมื่อเข้ามาสู่ระบบอาชีพ ออสกัสตัส ถือเป็นความแตกต่างกับนักมวยคนอื่นๆในแง่วิธีคิด โดยปกติเเล้วนักมวยทั่วไปมักจะหาทางไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้ก้าวขึ้นไปเป็นตำแหน่งผู้ท้าชิงในรุ่นน้ำหนักของตัวเอง ทว่า ออกัสตัส นั้นเลือกทางระยะสั้นนั่นคือการต่อยมวยแบบไม่ไต่ขั้นบันได เขาเซ็นสัญญากับโปรโมเตอร์ผู้จัดศึก Tuesday Night Fights และ Friday Night Fights ของช่อง ESPN ซึ่งหากจะเปรียบให้เห็นภาพคงเหมือนมวยไทยศึกต่างๆที่ถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ทุกสัปดาห์นั่นแหละ  


Photo : www.ringtv.com

หน้าที่ ออกัสตัส ในเวลานั้นคือการเป็นมวยคู่สแตนบายด์ของรายการ เขามีชกทุกสัปดาห์แล้วแต่ว่าใครจะเป็นคู่ชกของเขา ซึ่ง ออกัสตัส ไม่เคยเกี่ยงอยู่แล้ว เขามาเพื่อสู้และเอาเงินกลับบ้านไป ง่ายๆแค่นั้น เขาเคยรู้ข่าวว่าต้องไปบินไปชกที่เดนมาร์กกับ โซเรน ซอนเดอร์การ์ด โดยรู้ข่าวว่าจะต้องไปชกก่อนวันจริงแค่ 3 วัน...  ไม่ว่าจะตำแหน่งมวยแทนหรืออะไรเขาเต็มใจรับทุกกรณีขอแค่ได้ต่อยระบายอารมณ์ก็พอ ซึ่งเรื่องนี้มันสอดคล้องกับอุปนิสัยเขาตั้งแต่ยังเด็กอย่างชัดเจน

แฟรงกี้ คารูโซ่ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ เบตัน รูช ที่เปิดค่ายมวยสำหรับเด็กในเมืองที่สนใจอยากจะเรียน เล่าถึงประสบการณ์การรู้จักกับ ออกัสตัส ว่ามวยคือเครื่องมือระบายความอัดอั้นตันใจของเขาตลอดมา และนั่นทำให้เขาหลงใหลมันจนอยากจะขึ้นเวทีให้บ่อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

"หมอนี่ดิบเถื่อน แต่ก็ยังดีที่มีทัศนคติและจิตใจที่ดีซ่อนอยู่บ้าง" เจ้าหน้าที่คารูโซ่ ว่ากับ theadvocate.com

"วิธีคิดของเขาในการมองคู่ชกคือ แกทำร้ายฉันไม่ได้ถ้าฉันเอาชนะแกบนเวที เขาเป็นคนที่ต้องการการต่อสู้ตลอดเวลา ไม่สนว่าจะกลับใครและหน้าไหนทั้งนั้น"


Photo : scorum.com 

การสู้ทุกคนที่ขวางหน้าโดยใช้จิตใต้สำนึกมากกว่าแท็คติกทำให้ ออกัสตัส ถือเป็น "มวยมันวันศุกร์" ของช่อง ESPN อย่างแท้จริง เขาขึ้นชกได้ไม่นานก็มีแฟนคลับติดตามมากพอสมควร และได้ฉายาว่า "ดราก้อน มาสเตอร์" โดยเกิดขึ้นจากการเปรียบเทียบกับความกล้าหาญที่ไม่เคยกลัวใครพร้อมซัดกับทุกคนขอแค่อยู่ในรุ่นน้ำหนักเดียวกัน  

ดังนั้นสถิตินักชกของเขาจึงไม่ค่อยดีนัก ในช่วง 11 ไฟต์แรกของเขาในฐานะอาชีพ ออกัสตัส แพ้ถึง 4 ครั้ง ซึ่งปกติแล้วนักมวยที่จะไประดับแชมป์โลกมักจะไม่พลาดในช่วงต้นๆ เพราะการวางแผนการชกแต่ละไฟต์นั้นละเอียดมาก พวกเขาจะขึ้นชกก็ต่อเมื่อเป็นฝ่ายได้เปรียบ และมีคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อจนมีโอกาสชนะมากกว่าเสมอ ขณะที่ ออกัสตัส แบกน้ำหนักและเจอกับมวยกระดูกทั้งในวันที่เขายังเป็นแค่มือใหม่

"Drunken Master"

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น เขาแพ้สลับชนะจนมองแล้วน่าถูกจัดไว้ในระดับนักมวยหางแถวถ้าเทียบตามสถิติ ทว่าใครๆที่รู้จักเเละเคยขึ้นเวทีเดียกวับเขาต่างบอกเป็นคำเดียวกันว่า นี่คือนักสู้ที่คาดเดายากที่สุด ไม่มีวิธีการที่แน่ชัด ต่อยตามใบสั่งของหัวใจ แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้ามากกว่าการวางแผนฝึกซ้อม นั่นคือสิ่งที่เขาเป็นและไม่มีใครชอบนักถ้าต้องดวลกับนักมวยสายหมัดเมาอย่างเขา 

จาก Dragon Master ใน ESPN ออกัสตัส ได้รับการเปลี่ยนฉายาใหม่ว่า  Drunken Master เนื่องจากสไตล์ที่คาดเดาไม่ได้โดยเขาเปิดเผยว่าได้อิทธิพลมาจากการเล่นวีดีโอเกม Tekken ซึ่งเป็นเกมที่มีนักสู้หลายสไตล์แตกต่างกันไป ไฟต์ไหนอยากจะสไตล์ใด เขาก็จะไปเล่นเกมเเล้วจำมาใช้ต่อยบนเวทีจริง โดยไม่สนเลยว่าคู่ชกจะเป็นใคร

"เขาไม่เคยศึกษาคู่แข่งเขาของเลยสักครั้งผมสาบานได้เลย ชีวิตช่วงนั้นเขายุ่งอยู่กับการเล่นเกม Tekken เขาติดมันงอมแงมเลย และนั่นทำให้เขามีสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร เกมนี่แหละที่เป็นแรงบันดาลใจผ่านการชกของเขาบนเวทีจริง" แอลเจ มอร์แวนท์ เพื่อนสนิทของ ออกัสตัส ว่าไว้ 

"เมื่อไม่รู้จักใครเขาก็เลยพร้อมขึ้นสู้กับทุกคน จะบอกให้ตอนที่เขาโดนทาบทามให้ขึ้นชกกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอรื จูเนียร์ และ มิคกี้ วอร์ด นั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า 2 คนนี้เก่งแค่ไหน สำหรับผมแล้วมันตลกมาก เพราะในขณะที่นักชกส่วนใหญ่พยายามหาสไตล์ที่ดีที่สุดให้ตัวเอง ไอ้หมอนี่กลับเรียนชกมวยจากวีดีโอเกม"

"ทุกคนรู้หมดว่า ฟลอยด์ คือใคร ยกเว้นเขานี่แหละ ผมยังจำได้ดีเลยวันที่เขากำลังจะขึ้นชกกับ ฟลอยด์ เขาบอกว่า 'เออ วันศุกร์นี้ข้าจะขึ้นชกว่ะ' ผมก็ถามต่อ 'แกขึ้นชกกับใคร?' .... เชื่อไหมคำตอบที่ผมได้รับคือ 'ไม่รู้ว่ะ ใครสักคนนี้แหละ" 

ความจริงคือในไฟต์ระหว่าง ออกัสตัส กับ ฟลอยด์ นั้นเป็นการชกในปี 2000 ใน ตอนนั้น ฟลอยด์ ถือว่าโหดจัดมาตั้งแต่วัยรุ่น ถือเข็มขัดเเชมป์โลกรุ่น เฟเธอร์เวต 7 สมัย ขณะที่ ออกัสตัส นั้นอย่างที่รู้กันดี นอกจากแฟนคลับและสไตล์ที่มันเร้าใจเดินหน้าอย่างเดียวเเล้ว เขาไม่เคยสะพายเข็มขัดเเชมป์โลกเลยสักครั้ง 

และในไฟต์นั้น ออกัสตัส เหมือนถูกเรียกไปให้ ฟลอยด์ ซ้อมมือมากกว่า เพราะการชกที่ ดีทรอยต์ มิชิแกน ในวันนั้นไม่มีเดิมพันเเชมป์โลก นั่นหมายความว่าต่อให้ ออกัสตัส จะชนะ เขาก็จะไม่ได้สามารถไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้อยู่ดี ปกติเเล้วไม่ค่อยมีใครรับข้อเสนอเช่นนี้ เพราะเหมือนไม่เจ็บตัวฟรีแถมไม่มีเดิมพัน ทว่าสำหรับ ออกัสตัส แล้วเขาแค่ตอบตกลงโดยไม่คิดหน้าคิดหลังทุกอย่างก็จบลงอย่างรวดเร็ว ฟลอยด์ ได้ค่าตัวไป 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วน ออกัสตัส ได้ไป 20,000 ดอลลาร์ ห่างกันเกิน 10 เท่า 


Photo : Youtube | Boxing Matches

"ทั้งหมดที่ผมทำคือเซ็นสัญญาก่อนขึ้นชกและฟังข้อสรุป ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย นี่ผมไม่ได้กวนหรือหยามเหยียดใครหรอกนะ แต่นี่มันคือการทำงานในแบบของผม ผมไม่ได้ต่อยมวยเพื่อธุรกิจ ผมไม่เคยสนใจคู่ชกผม ฟลอยด์ อาจจะชอบชำแหละคู่ชกของเขาจนละเอียดก่อนขึ้นเวที ซึ่งผมว่า ณ ตอนนั้นเขาคงตรวจผมด้วยและคิดว่าไอ้นี่ทำไมมันห่วยจังวะ...จากสถิติของผมอะนะ"  

กับคนอื่นเขาอาจจะเอาชนะได้ แต่ไม่ใช่กับอัจฉริยะมวยบ็อกเซอร์อย่าง เมย์เวทเธอร์ แน่นอน ฟลอยด์  ดีกว่ามากทั้งในแง่ของพรสวรรค์และการเตรียมพร้อม ซึ่งมีการรีวิวไฟต์ในวันนั้นของ boxrec.com ที่ระบุว่า ฟลอยด์ สู้อย่างมีระเบียบ ส่วน ออกัสตัส สู้แบบเลือดเข้าตา

"เมย์เวทเธอร์ เดินเข้าหาตั้งแต่ไฟต์แรกปล่อยหมัดใส่หัวและตัวของ ออกัสตัส ได้จนเขาเซไปเลย .. เขาแพ้ความรวดเร็วของ ฟลอยด์ ก่อนหมดยกแรก ออกัสตัส ยังไว้ลายเขาส่งยิ้มเพื่อเชิญชวนฟลอยด์ให้จัดเต็มในยกต่อไป" รีวิวไฟต์ส่วนหนึ่งว่าไว้

"ในไฟต์นั้น ออกัสตัส มีเลือดออกที่จมูก ตาปิดข้างหนึ่ง และเลือดออกหูจนแพทย์สนามต้องเข้ามาดูอาการ แต่เขาตะโกนว่า "หูกูปกติดีโว้ย" จากนั้นก็ชกกันต่อและเขายังพยายามจะใส่หนักให้ ฟลอยด์ ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะโดนซัดจนอาการแย่ก็ตาม"  

"ออกัสตัส กัดฟันมาจนถึงยกที่ 9 จากนั้น ฟลอยด์ ปิดเกมด้วยหมัดฮุกซ้ายที่ทำให้ กรรมการในวันนั้นยุติการชกทันที" 


Photo : www.essentiallysports.com

สิ่งที่รีวิวไว้ดูเหมือนว่า ออกัสตัส จะมีแค่ลูกบ้าเท่านั้นที่ทำให้เขายืนได้ถึง 9 ยก ทว่าสำหรับ ฟลอยด์ นั้นนี่คือไฟต์ที่ประหลาดที่สุดที่เขาเคยเจอ และเขาบอกเล่าภายหลังว่า ออกัสตัส คือนักชกที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยแลกหมัดด้วยตลอดอาชีพนักมวยเลยทีเดียว

"เอมานูเอล ออกัสตัส คือนักมวยที่เเข็งแกร่งที่สุดที่ผมเคยเจอ... เขาไม่ได้เป็นแชมป์ ไม่ได้มีสถิติไร้พ่าย แต่เขามีสิ่งที่คนอื่นไม่มี...."

"สัญชาติญาณนักสู้ไงล่ะ" นี่คือสิ่งที่ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ที่ผ่านนักมวยที่ดีที่สุดทุกคนในรุ่นน้ำหนักมาเเล้วว่าถึง ออกัสตัส

"เขาไม่ใช่นักมวย เขาเป็นนักรบ และคือแชมป์ที่แท้จริง ก่อนการชกกันผมได้ยินมาว่าเขาโดนปล้นด้วยการตัดสินที่ไม่ค่อยเป็นธรรม ซึ่งหลังจากได้ซัดกันจริงๆแล้วผมเชื่อว่าเขาอาจจะโดนโกงมาจริงๆก็ได้"

 

ซ่าจนนาทีสุดท้าย

เส้นทางหลังจากการพ่ายแพ้ เมย์เวทเธอร์ ของออกัสตัสยังคงดำเนินไปในฐานะขวัญใจแฟนมวยเหมือนเช่นเคย การสู้ไม่ถอยและไม่เคยกลัวใครยังทำให้เขาพอเป็นนักมวยแม่เหล็กที่เรียกคนดูได้ตลอด โดยหลังจากแพ้ฟลอยด์ ปีเดียวเขาขึ้นชกกับ มิคกี้ วอร์ด นักชกชาวอเมริกันชื่อดังอีกคนและเป็นฝ่ายแพ้ไปเช่นเคย แต่การชกไฟต์นั้นถูกยกย่องว่าเป็นมวยคู่ที่ดุเดือดและมันที่สุดในปี 2001 ที่จัดอันดับโดยนิตยสาร The Ring เลยทีเดียว


Photo : www.thefightcity.com

"ฟลอยด์ บอกว่าผมคือไฟต์ที่ยากที่สุดของเขา... แต่สุดท้ายเขาก็ชนะอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?" ออกัสตัส ถามกลับหลังถูกสัมภาษณ์เรื่องฝีไม้ลายมือของเขากับ โทมัส เกอร์บาซี นักข่าวจากเว็บไซต์ boxingnewsonline.net 

เขาดูเหมือนจะไม่อยากรับคำชมอะไรมากมายนัก จนกระทั่งมีหลุดขำออกมานิดๆ เมื่อโดน เกอร์บาซี ถามว่า

"เเต่เขาไม่เคยให้คุณรีแมตช์เลยนะ? เชื่อไหมเขาไม่เคยเอ่ยชื่อคุณเลยจนกระทั่งเขาประกาศรีไทร์นั่นแหละ" นี่คือคำถามที่ทำให้ ออกัสตัส หลุดหัวเราะออกมา 

บางทีเขาอาจจะเสียดายช่วงเวลาเก่าๆที่เขาไม่ได้ทุ่มเทและตั้งเป้าหมายในการเป็นแชมป์มากมายนักตลอดช่วงอาชีพที่ไม่ได้ยาวนานเท่าไรของเขา สถิติของเขาไม่เคยเป็นที่จดจำอะไร เขาประกาศแขวนนวมในปี 2011 หลังแพ้มา 5 ไฟต์   


Photo : www.theadvocate.com

"สำหรับผม ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ก็เป็นนักชกที่ดีที่สุดเช่นกัน ผมเกลียดที่ต้องพูดแบบนี้นะ ผมไม่ได้มองว่าเขาพิเศษอะไรกว่าผมหรอก ถ้าย้อนเวลาไปได้อยากจะสู้กับเขาอีกสักครั้งในรุ่นน้ำหนัก 140 ปอนด์ แม้เขาจะโหดรอบด้านทั้ง หมัดฮุก,ความเร็ว,ฟุตเวิร์ก และการป้องกัน รวมถึงการชกแบบเคาน์เตอร์ด้วย" เขาเล่าเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ทว่าความจริงคือเขาไม่เสียใจกับสิ่งที่เขาทำเลยแม้แต่น้อย แม้มันจะไม่ได้ทำให้เขายิ่งใหญ่เหมือนใครๆก็ตาม

"ผมก็แค่คนที่ชอบต่อสู้ เพียงแค่ขึ้นไปบนเวทีและพยายามเอาชนะ ผมไม่จำเป็นต้องมีแรงจูงใจอะไร เพราะผมมีอยู่กับตัวตลอดเวลา ผมเป็นนักสู้และเกิดมาเพื่อสู้ และถ้าต้องตายผมก็จะตายแบบใส่นวมทั้ง 2 ข้าง จากนั้นผมจะมองย้อนกลับมาและภูมิใจกับการต่อสู้เพื่อบางสิ่งของตัวเอง" ออกัสตัส กล่าวทิ้งท้าย 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook