พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ : ทีมเบสบอลที่เน้นย้ำว่า กีฬาควรผูกพันกับท้องถิ่น มิใช่ธุรกิจ

พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ : ทีมเบสบอลที่เน้นย้ำว่า กีฬาควรผูกพันกับท้องถิ่น มิใช่ธุรกิจ

พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ : ทีมเบสบอลที่เน้นย้ำว่า กีฬาควรผูกพันกับท้องถิ่น มิใช่ธุรกิจ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กีฬา กับ ธุรกิจ ปัจจุบันทั้งสองสิ่งเข้ามาผนวกกันในโลกกีฬาจนแยกไม่ออก ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเม็ดเงินมีส่วนช่วยทำให้เกมการแข่งขัน เติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้กีฬาเดินหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนกีฬาให้กลายเป็นธุรกิจ มีผลเสียอยู่หลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของแฟนกีฬาที่ไม่ได้มีอิทธิพลต่อทีมเหมือนในอดีต ความผูกพันกับท้องถิ่นที่หายไป รวมถึงการผูกขาดผลประโยชน์ในธุรกิจกีฬา ที่เห็นได้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ 

ปัญหาความขัดแย้งว่ากีฬา ควรเป็นธุรกิจ หรือเป็นแค่ทีมกีฬาเพื่อคนท้องถิ่น เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือสหรัฐอเมริกา เพราะในช่วงกลางยุค 70s มีทีมเบสบอลอิสระทีมหนึ่ง ที่ก่อตั้งขึ้นมา เพื่อท้าทายความคิดที่ว่ากีฬาควรเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางธุรกิจ เพราะพวกเขาเชื่อว่า "ทีมกีฬา" ควรมีไว้เพื่อสร้างความสุขให้กับคนในท้องถิ่น และทำในสิ่งที่ทีมอยากจะทำ

เรากำลังพูดถึงทีมเบสบอลที่ชื่อ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ทีมเบสบอลอิสระที่มีอายุเพียงแค่ 5 ปี แต่เรื่องราวของพวกเขา ยังคงเป็นที่จดจำในโลกเบสบอลจนถึงทุกวันนี้

จากชายที่ชื่อ บิง รัสเซล

เรื่องราวของทีม พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ เริ่มต้นจากผู้ชายที่ชื่อ บิง รัสเซล (ชื่อจริง นีล รัสเซล) ที่ชีวิตในวัยเด็กเติบโตมากับกีฬาเบสบอล เพราะพ่อของเขาเป็นเพื่อนสนิทกับ เลฟตี โกเมซ พิชเชอร์หรือมือขว้างระดับซูเปอร์สตาร์ของทีม นิวยอร์ก แยงกีส์

ความบ้าคลั่งในกีฬาเบสบอลของบิง ได้เป็นที่รับรู้ถึงโกเมซ ทำให้เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมแยงกีส์ ที่ในช่วงยุค 1930s คือแฟรนไชส์ที่โด่งดังที่สุดในสหรัฐอเมริกา 


Photo : www.bonanzaboomers.com

ชีวิตของบิงในวัยเยาว์ ถูกล้อมรอบด้วยผู้เล่นเบสบอลระดับโลก และพวกเขามีความสนิทสนมกับบิงเป็นอย่างมาก ชนิดที่เรียกว่า ชีวิตในวัยเด็กของบิง คือชีวิตที่เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ใฝ่ฝัน กับการได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมเบสบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

บิงรับบทเป็นเด็กถือไม้ให้กับทีมแยงกีส์ เดินทางไปกับทีมทุกที่ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลแค่ไหน ตลอดระยะเวลา 8 ปี กับแฟรนไชส์เบสบอลอันดับหนึ่งของโลก ก่อให้เกิดรักแท้ ระหว่างเบสบอล กับ บิง รัสเซล   

ความฝันเดียวในชีวิตของบิง คือ การเป็นนักเบสบอลอาชีพ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะตามฝัน เพราะในช่วงยุค 30s และ 40s เบสบอลคือกีฬาอันดับ 1 ของประเทศสหรัฐอเมริกา มีทีมอิสระเกิดขึ้นมากมาย เล่นในลีกระดับล่าง หรือที่เรียกว่า "ไมเนอร์ ลีก" 

บิงกลายเป็นนักเบสบอลให้กับทีมอิสระ แต่ความฝันของเขายุติลงอย่างรวดเร็ว หลังได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ จนเขาต้องยอมแพ้ให้กับอาชีพในฝัน และเก็บข้าวของไปยังฮอลลีวูด เพื่อเสี่ยงโชคหางานทำในฐานะนักแสดง 

"เขาได้เป็นนักแสดงสายเบ๊ ซึ่งนี่ผมพูดในแง่ดีนะ เขาทำงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ่ายละครโทรทัศน์ไป 800 ตอน โดนฆ่าตายไป 123 ครั้ง เขาทำงานหนักจริง ๆ" เคิร์ท รัสเซล นักแสดงชื่อดัง ลูกชายของ บิง รัสเซล กล่าวถึงชีวิตการทำงานของพ่อตัวเอง

แม้ว่า บิง รัสเซล จะไปได้สวย กับบทบาทนักแสดงสมทบ จนถือได้ว่าพอจะเป็นที่รู้จักอยู่บ้าง แต่การเป็นนักแสดง เป็นเพียงแค่งานสำหรับเขา เพราะสิ่งที่ผู้ชายคนนี้รัก มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือเบสบอล 

"ผมตื่นเต้นกับเบสบอล มากกว่างานบันเทิงเยอะ เพราะทุกครั้งที่คุณตีลูกเบสบอล ความรู้สึกจะแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ตอนที่วิ่งไปรอบเบส ความรู้สึกเหมือนกับตอนคุณแสดงจบ การแสดงเป็นเรื่องของคนเพียงคนเดียว แต่เบสบอลคุณต้องมีคนอย่างน้อย 18 คน กับ 18 ความคิด และไม้ กับลูกบอล"

"สนามเบสบอลคือสถานที่ ที่บ้าคลั่งอย่างที่สุด มีเหตุการณ์บ้าคลั่งมากมายเกิดขึ้นในนี้" บิง รัสเซล กล่าว


Photo : www.koin.com

บิง รัสเซล บ้าเบสบอลชนิดที่เรียกว่า เขาปรับพื้นที่หลังบ้านของเขา ให้เป็นสนามเบสบอลขนาดย่อม รวมถึงทำห้องนั่งเล่นให้เป็นที่ฝึกรับลูกเบสบอล เพื่อฝึกลูกชายอย่าง เคิร์ท รัสเซล ให้เป็นนักเบสบอล 

ไม่เพียงเท่านั้น บิง รัสเซล ยังทำหนังสั้นเรื่อง Action Baseball นำแสดงโดย เคิร์ท รัสเซล ในวัยเด็ก ซึ่งเป็นภาพยนตร์สอนการเล่นเบสบอลอย่างถูกวิธี ชนิดที่เรียกว่าโค้ชใน เมเจอร์ลีก เบสบอล หรือ MLB ต้องนำหนังเรื่องนี้ไปเปิดให้ความรู้กับนักเบสบอล เพราะความรู้บางเรื่อง นักเบสบอลอาชีพก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่ บิง รัสเซล กลับรู้ แสดงถึงความบ้าคลั่งในกีฬาเบสบอล ของผู้ชายคนนี้ได้เป็นอย่างดี

 

กำเนิด พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ 

ช่วงเวลาเดียวกันกับที่ บิง รัสเซล ทำงานหาเลี้ยงชีพในฐานะนักแสดง โลกเบสบอลได้เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จากในอดีตที่ทีมเบสบอลในไมเนอร์ลีกส่วนใหญ่ จะเป็นทีมอิสระ ก็ค่อย ๆ ถูกทีมในเมเจอร์ลีก เบสบอล เข้าครอบครอง เนื่องจากทีมจากลีกใหญ่ ต้องการใช้ลีกรอง เป็นลีกพัฒนาฝีมือของผู้เล่น ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี เพราะทีมใน MLB สามารถนำผู้เล่นหน้าใหม่มาฝึกฝีมือและประสบการณ์ในไมเนอร์ลีก โดยไม่ต้องเสี่ยงนำผู้เล่นเหล่านี้ ไปโชว์หมูหกกับทีมใหญ่ ส่งผลเสียต่อการเล่นของทีม


Photo : www.bleedcubbieblue.com

ไมเนอร์ลีก แปรเปลี่ยนจากลีกรอง เป็นแค่ลีกของตัวสำรอง ที่แม้จะส่งผลดีมากมาย กับทีมในลีก MLB แต่ทีมในลีกรองเหล่านี้ กลับสูญเสียฐานแฟนคลับ เพราะไม่มีใครอยากเสียเงินค่าตั๋ว มาดูผู้เล่นที่แวะมา และพอเล่นดีก็จากไป ขณะที่ทีมก็ไร้ซึ่งจิตวิญญาณการเล่นเพื่อความสำเร็จ เพราะเป้าหมายสูงสุดของทีม คือการเป็นสถานที่พัฒนาผู้เล่น ไม่ใช่การคว้าแชมป์ เพื่อสร้างความภาคภูมิใจ ให้กับแฟน และท้องถิ่น

หนึ่งในทีมที่ได้รับผลกระทบ จากการเป็นทีมสำรองให้กับทีมเบสบอลยักษ์ใหญ่ คือ พอร์ทแลนด์ บีเวอร์ส ทีมเบสบอลประจำเมืองพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน ที่สูญเสียแฟนคลับ เปลี่ยนสนามกีฬา ให้กลายเป็นพื้นที่โล่งไร้คนดู และไม่มีใครในเมืองสนใจทีมกีฬาทีมนี้ จนกระทั่งแฟรนไชส์แห่งนี้ ตัดสินใจทิ้งเมืองไปในปี 1973 หลังจากผู้บริหารของทีม (ซึ่งเป็นผู้บริหารของทีมใน MLB อีกที) มองเห็นว่า "ไม่มีอนาคตสำหรับเบสบอล ในเมืองพอร์ตแลนด์"

"นี่คือปัญหาของไมเนอร์ลีก ผู้บริหารสามารถย้ายทีมไปเมืองไหนก็ได้ คุณไม่รู้เลยว่าทีมแข่งวันนี้ ผู้เล่นคนไหนจะมาเล่นให้คุณบ้าง แฟนบอลไม่รู้จักผู้เล่นในทีมเลย พอผู้เล่นคนไหนเล่นดี ก็ย้ายออกไป นี่คือหายนะของทีมประจำเมือง" เคิร์ท รัสเซล ชายที่รักกีฬาเบสบอลไม่แพ้พ่อของเขา กล่าว

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น บิง รัสเซล กำลังถึงช่วงขาลงกับอาชีพนักแสดง และเขาก็หมดไฟกับการทำงานในฮอลลีวูด สิ่งเดียวที่ทำให้เขามีชีวิตชีวา คือเบสบอล และเขาเล็งเห็นว่า เมืองพอร์ทแลนด์มีบางสิ่งบางอย่างที่น่าสนุกสนานรอเขาอยู่


Photo : www.allvipp.com

"พ่อของผมเติบโตในยุคที่เต็มไปด้วยทีมเบสบอลอิสระ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับทีมในลีกใหญ่ พวกเขาอยู่ด้วยตัวเอง มีเจ้าของเป็นคนที่อยู่ในเมือง นั่นคือสิ่งที่เบสบอลควรจะเป็น" 

"แต่พอมาอยู่ในยุค 70s กลับไม่เหลือทีมเบสบอลอิสระในไมเนอร์ลีก แม้แต่ทีมเดียว ทุกทีมโดนถือครองโดยทีมจากลีกใหญ่" เคิร์ต รัสเซล กล่าว 

ความไม่พอใจ ต่อโลกเบสบอลที่เปลี่ยนไป ทำให้ บิง รัสเซล ก่อตั้งทีม พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ขึ้นมา ในปี 1973 เพื่อทดแทนการจากไปของ พอร์ทแลนด์ บีเวอร์ส และทำให้แมฟเวริคส์ เป็นทีมเบสบอลอิสระเพียงทีมเดียว ในไมเนอร์ลีกเบสบอล 

"บิงบอกกับผมชัดเจนว่า เขาต้องการทำทีมเบสบอลอิสระ นั่นหมายว่า เขาต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เขาหาแมวมอง ผู้เล่น ทีมงาน ทุกอย่างด้วยตัวเอง และคุณต้องจ่ายเงินค่าจ้างเอง ไม่มีทีมไหนมาจ่ายให้" บ็อบ ริชมอนด์ ประธานลีกตะวันตกเฉียงเหนือ ของไมเนอร์ลีก ระดับ A ในช่วงเวลานั้นกล่าวถึงความยากของการทำทีมอิสระ

แม้จะไม่ใช่งานง่าย แต่ด้วยใจรักของบิง รัสเซล ทำให้เขาสร้างทีม พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ในแบบที่เขาอยากให้เป็น ด้วยการดึงเจ้าของร้านอาหาร มาเป็นผู้บริหารทีม และมีผู้จัดการทีมเป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทีมเบสบอลในระดับไมเนอร์ลีก มีผู้จัดการทีมเป็นเพศหญิง 

ส่วนวิธีการหาผู้เล่นเข้าสู่ทีม แมฟเวริคส์ใช้วิธีประกาศรับสมัครผ่านทางหนังสือพิมพ์ แน่นอนว่าวิธีของเขาสร้างความขบขันในวงการเบสบอลอย่างมาก เพราะไม่มีใครเชื่อว่า แมฟเวริคส์จะสามารถหานักเบสบอลฝีมือดี ได้ผ่านการประกาศรับสมัครงานในหนังสือพิมพ์

แม้จะดูน่าตลก แต่เมื่อถึงวันประกาศคัดตัวจริง มีนักเบสบอลกว่า 300 คน เดินทางมาร่วมทดสอบฝีมือ หลายคนเดินทางข้ามประเทศ เพื่อตามหาโอกาส ที่จะได้เล่นกีฬาที่พวกเขารักอีกครั้ง


Photo : funwhileitlasted.net

นักกีฬาของทีมแมฟเวริคส์ เต็มไปด้วยคนที่ดูแปลก และแตกต่างจากทีมเบสบอลทีมอื่น ไม่ว่าจะเป็นคุณครูในโรงเรียนระดับมัธยม, นักเบสบอลที่เดินทางมาจากประเทศแอฟริกาใต้, แคชเชอร์ หรือมือรับลูกที่ใช้มือซ้าย (กีฬาเบสบอลในเวลานั้นไม่ใช้แคชเชอร์มือซ้าย) รวมถึง เคิร์ท รัสเซล ลูกชายของเขา ที่ตัดสินใจไม่เอาดีกับการเป็นนักแสดง และหันมาเล่นเบสบอลอาชีพแทน (ภายหลังเคิร์ทได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถเล่นเบสบอลต่อไปได้ จึงกลับไปเป็นนักแสดงอีกครั้ง) นอกจากนี้ยังมีนักเบสบอลอายุระดับ 30 ปีขึ้นไปอีกจำนวนมาก ที่ได้เป็นนักกีฬาของ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ซึ่งพวกเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นอกจากทีมเบสบอลทีมนี้ ก็ไม่มีทีมไหนเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เล่นเบสบอลอีกแล้ว

แม้จะดูเหมือนทีมรวมตัวห่วย แต่เมื่อฤดูกาล 1973 ของลีกตะวันตกเฉียงเหนือ กับการแข่งขันไมเนอร์ลีกระดับ A เปิดฉากขึ้น ทีมเบสบอลอิสระทีมนี้ กลับไล่ต้อนทีมสำรองของทีมยักษ์ใหญ่จนหมดสภาพครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริหารทีมยักษ์ใหญ่ในลีก MLB เพราะทีมเบสบอลเล็ก ๆ ทีมนี้ กำลังทำให้เด็กอนาคตไกลของพวกเขาเสียราคา


Photo : Bob McCurtan - The Oregonian

พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ คว้าตำแหน่งแชมป์ดิวิชั่นในปีแรก เรื่องราวของทีมโด่งดังไปทั่วสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ บิง รัสเซล คว้ารางวัลผู้บริหารแห่งปี ซึ่งเป็นครั้งแรก และครั้งเดียว ที่ผู้บริหารทีมอิสระได้รับรางวัลนี้

"มันเป็นเรื่องดีอย่างมาก ที่ได้คนอย่างบิง ทีมอย่าง พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ เข้ามา มันดีสำหรับลีก และดีสำหรับกีฬาเบสบอล" บ็อบ ริชมอนด์ กล่าว

 

ทีมของเรา สิทธิ์ของเรา

เรื่องราวของ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ เป็นที่โด่งดังมากขึ้น หลังจากทีมได้ตัว จิม บาวตัน นักเบสบอลดีกรีแชมป์เวิลด์ซีรีส์ หรือแชมป์ของลีก MLB และผู้เล่นระดับออลสตาร์มาร่วมทีม เนื่องจากบาวตันถูกวงการเบสบอลแบนอย่างไม่มีกำหนด เพราะไปเขียนหนังสือแฉเรื่องราวแย่ ๆ ของกีฬาเบสบอล ซึ่งผู้มีอำนาจในกีฬานี้มองว่าเป็นการทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของวงการ

แต่ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ เปิดรับเขาด้วยความเต็มใจ เพราะขอแค่คุณอยากเล่นเบสบอล ที่นี่พร้อมให้โอกาสเสมอ และการรับ จิม บาวตัน เข้าสู่ทีม สร้างความไม่พอใจมากขึ้น ให้กับผู้มีอำนาจของเบสบอล เพราะแมฟเวริคส์เปิดประตูรับวายร้ายของวงการกลับมาอีกครั้ง แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากแมฟเวริคส์เป็นทีมอิสระ และพวกเขาหมดสิทธิ์ที่จะมาแทรกแซง


Photo : usatoday.com | Netflix

การมาของ จิม บาวตัน ทำให้ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ กลายเป็นทีมที่ร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม หลังจากชนะดิวิชั่นได้ในปีแรก พวกเขาชนะดิวิชั่นได้อีกถึง 3 ฤดูกาล จาก 4 ครั้งหลังจากนั้น ซึ่งช่วยให้กระแสเบสบอลในเมืองพอร์ทแลนด์ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผู้คนกลับเข้ามาดูเบสบอลเต็มสนาม เพื่อส่งเสียงเชียร์ฮีโร่ประจำเมือง

"บิงทำให้ทีมเบสบอลทีมนี้เป็นของทุกคน แฟนที่เข้ามาดูเกมในสนาม ต้องมีผู้เล่นในดวงใจ ผู้เล่นที่เขาอยากจะมาเชียร์ ... บางครั้งที่ทีมเราชนะ บิงจะให้ผู้เล่นชื่อ โจ การ์ซา ขึ้นไปบนหลังคาของม้านั่ง แล้วเอาไม้กวาดกวาดหลังคา เพื่อแสดงให้เห็นว่า เราชนะพวกเขาแบบหมดจด บางครั้งก็จุดไฟเผาไม้กวาด โบกขึ้นเหนือหัว ซึ่งมันโคตรอันตรายเลยนะ" ท็อดด์ ฟิลด์ อดีตเด็กถือไม้ของทีม พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ผู้ซึ่งในภายหลังกลายเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ที่ทำหนังเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วหลายเรื่อง กล่าวถึงความบ้า และแปลกของทีมเบสบอลที่เขาผูกพัน

"แฟนของเรา ชื่นชอบกับการจุดไฟเผาไม้กวาดสุด ๆ พวกเขามองว่ามันไม่เหมาะสมหรอก แต่สุดท้ายมันก็ตลกดี และที่สำคัญคุณเห็นเรื่องแบบนี้ ได้แค่ที่ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์"

"หลังจากนั้น สองถึงสามสัปดาห์ แฟนของเราเอาไม้กวาดมาจากบ้านกันเต็มเลย เพราะพวกเขาอยากมีส่วนร่วมกับทีม" ร็อบ เนลสัน อดีตพิชเชอร์ของ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ กล่าว


Photo : gatsbyfuneral.wordpress.com

บรรยากาศที่แตกต่าง ทำให้ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ เป็นทีมที่มีผู้ชมสูงสุดในไมเนอร์ลีก ขณะที่ทีมอื่นซึ่งเป็นทีมลูกของทีมในลีก MLB สนามเต็มไปด้วยความเงียบเหงา แต่ที่พอร์ทแลนด์ สนามของพวกเขาเต็มไปด้วยป้ายเชียร์นักกีฬาที่แฟนทำขึ้นมาแขวนอยู่เต็มสนาม รวมไปถึงเสียงหัวเราะของผู้ชม เพราะที่นี่แตกต่างไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นการมีสุนัขประจำทีม ในชื่อ พีเจ แมฟเวริคส์ คอยนอนอยู่ข้างซุ้มม้านั่งสำรอง และบางครั้งก็วิ่งไปปั่นป่วนเกมการแข่งขันในสนาม สร้างเสียงหัวเราะให้ผู้ชมเป็นอย่างดี

"สิ่งที่พวกเขาทำทั้งหมดคือความสนุก แฟน ๆ รักสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก ผมก็รักมันมากเช่นกัน พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ คือทีมที่ร้อนแรง และเป็นความทรงจำที่สวยงามที่สุด หากมองย้อนไปในช่วงเวลานั้น" 

"น่าเสียดายที่สิ่งซึ่งแมฟเวริคส์ทำ คือสิ่งที่พวกอนุรักษ์นิยมในเบสบอล มองว่าไม่สมควรทำ ผมโดนพวกผู้บริหารเรียกไปต่อว่าอยู่บ่อยครั้ง ที่ผมไม่ห้ามความบ้าคลั่งของพวกเขา" 

"จนผมต้องบอกพวกผู้บริหารไปว่า นี่เป็นเรื่องที่ดีต่อธุรกิจของพวกคุณไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยเด็กของพวกคุณจะได้พัฒนา เพราะเล่นเบสบอลต่อหน้าแฟนกีฬานับพัน ไม่ใช่แฟนแค่ 30-40 คน แบบที่ไมเนอร์ลีกเป็น" บ็อบ ริชมอนด์ ประธานลีกตะวันตกเฉียงเหนือ ของไมเนอร์ลีก ระดับ A ในช่วงเวลานั้นกล่าว

 

ชัยชนะบนความพ่ายแพ้ ของ พอร์ทแแลนด์ แมฟเวริคส์ 

พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ รุ่งเรืองสุดขีด ทั้งผลงานในสนาม และจำนวนผู้ชมที่สูงเป็นประวัติการณ์ ของไมเนอร์ลีก แต่ยิ่งทีมอิสระทีมนี้ประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ อนาคตของทีมกลับยิ่งมืดหม่นมากเท่านั้น เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งตั้งใจทำลายทีมเบสบอลของประชาชนทีมนี้อยู่

"เมเจอร์ลีก เบสบอล คือสินค้า มันคือสินค้าแบบเดียวกับสินค้าที่ถูกผลิตจากบริษัทต่าง ๆ คือมีรูปแบบเดียวกันทั้งหมด แต่สิ่งที่ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ เป็น คือไม่สนใจสิ่งที่พวกเขาอยากให้เป็น" ท็อดด์ ฟิลด์ กล่าว


Photo : usatoday.com | Netflix

สิ่งที่วงการเบสบอลอยากให้ไมเนอร์ลีกเป็น คือเป็นเพียงลีกพัฒนาผู้เล่น โดยไม่สนใจว่าจะมีผู้ชมมากน้อยขนาดไหน ทีมจะผูกพันกับท้องถิ่นมากเพียงใด ซึ่งทุกอย่างตรงกันข้าม กับสิ่งที่ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ เป็น ดังนั้นผู้มีอำนาจในกีฬาเบสบอล จึงพร้อมจะทำทุกวิถีทาง ที่จะบีบ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ออกจากวงการเบสบอลอาชีพ

ความยากลำบากแรกที่ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ต้องเจอ นั่นคือเมื่อเข้าสู่รอบเพลย์ออฟเพื่อหาแชมป์ลีก ผู้บริหารใน MLB จะส่งผู้เล่นระดับแถวหน้า ลงมาเล่นให้กับทีมลูก เพื่อหวังขยี้ทีมอิสระทีมนี้ให้สิ้นซาก และได้ผลทุกครั้ง ตลอด 4 ฤดูกาลที่แมฟเวริคส์เข้าสู่รอบเพลย์ออฟ พวกเขาไม่เคยไปถึงแชมป์ลีกแม้แต่ครั้งเดียว

แต่การทำให้แมฟเวริคส์แพ้ในสนามยังไม่เพียงพอ เพื่อจะให้ทีมอิสระได้หายไปจากกีฬาเบสบอลอาชีพอย่างจริงจัง ผู้มีอำนาจจึงใช้ช่องว่างของกฎที่มีต่อกีฬาเบสบอล ในการขับไล่ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ไปตลอดกาล

"แมฟเวริคส์คุกคามสิ่งที่โลกเบสบอลเป็น เพราะทีมนี้กำลังบอกว่า มันมีช่องทางอื่นในการทำทีมเบสบอล" แลร์รี โคลตัน อดีตผู้เล่นของ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ที่เคยเล่นในเมเจอร์ลีก เบสบอล กล่าว

แม้ว่าวงการกีฬาในประเทศสหรัฐอเมริกา จะขึ้นชื่อเรื่องการสร้างความเท่าเทียม ระหว่างทีมกีฬา แต่ไม่ใช่กับเบสบอล เพราะเบสบอลได้รับการยกเว้นจากกฎหมายสหรัฐฯ ให้สามารถเป็นธุรกิจผูกขาดได้ จากกลุ่มคนที่ทำทีมในเมเจอร์ลีก เบสบอล 

โดยกีฬาเบสบอล มีกฎที่ว่า ภายใต้รัศมี 90 ไมล์ จะมีทีมเบสบอลอาชีพได้เพียงแค่ทีมเดียวเท่านั้น หากมีทีมที่อยู่ในลีกที่สูงกว่าอยู่ในบริเวณพื้นที่นั้น ทีมที่อยู่ในลีกที่ต่ำกว่าในบริเวณเดียวกัน จะต้องย้ายทีมออกไป หรือยุบทีมโดยไม่มีเงื่อนไข 


Photo : www.digitalballparks.com

"มันเป็นตรรกะที่โคตรจะผิดเพี้ยน และเขียนขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ผมว่ามันเป็นกฎที่บ้าบอ และโคตรเหลวไหล" ท็อดด์ ฟิลด์ อดีตเด็กถือไม้ของ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ วิจารณ์กฎซึ่งช่วยให้กีฬาเบสบอลผูกขาดผลประโยชน์ในกลุ่มคนเพียงหยิบมือ

ผู้มีอำนาจของกีฬาเบสบอล พาทีม พอร์ทแลนด์ บีเวอร์ส ที่เคยทิ้งเมืองไปกลับมาอีกครั้ง และทีมนี้อยู่ในไมเนอร์ลีก ระดับ AAA ซึ่งสูงกว่าพอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ ที่อยู่ในระดับ A เท่ากับว่า แมฟเวริคส์จะต้องยุติการทำทีมอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นการปิดฉาก การมีอยู่ของทีมอิสระที่สร้างปรากฎการณ์ทีมนี้ ในปี 1978 ทำให้ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ มีอายุเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้น

แต่ก่อนที่จะจากไป พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ จะต้องได้รับเงินชดเชยเสียก่อน เพื่อจะยกสิทธิ์ให้กับ พอร์ทแลนด์ บีเวอร์ส ซึ่ง ณ เวลานั้น เงินชดเชยของการก่อตั้งทีม มีมูลค่าเพียง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ บิง รัสเซล เจ้าของทีมแมฟเวริคส์ กลับเรียกเงินสูงถึง 206,000 ดอลลาร์ หากต้องการให้ทีมของเขาออกจากเมืองพอร์ทแลนด์ไปตลอดกาล

สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดจึงต้องไปจบลงด้วยการขึ้นศาล และทีมแมฟเวริคส์เป็นฝ่ายชนะ ด้วยเหตุผลว่า พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ คือทีมของชาวเมืองพอร์ทแลนด์ และปลุกกระแสความนิยมของกีฬาเบสบอลกลับมาอีกครั้ง แต่ทีมนี้ถูกผู้มีอำนาจพรากไปจากชาวเมือง

"ผมคิดว่ามันเหมาสมแล้ว ที่แมฟเวริคส์เป็นฝ่ายชนะ กับการสร้างทีมอิสระสักทีมขึ้นมา เพื่อเปิดโอกาสให้นักเบสบอลได้พิสูจน์ตัวเอง ทำให้ผู้คนในเมืองได้มีทีมเบสบอลที่พวกเขาสามารถบอกได้ว่า นี่คือทีมของพวกเขาจริง ๆ ทีมที่คู่ควรกับการเป็นแฟนคลับ" เคิร์ท รัสเซล กล่าว


Photo : @HillsboroHops

แม้ว่า พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ จะได้เงินชดเชย 206,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่สุดท้ายพวกเขาต้องยุบทีม และออกจากลีกไป ขณะเดียวกันเพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก สมาคมเบสบอลอาชีพจึงเปลี่ยนกฎ ไม่ให้ทีมอิสระมีสิทธิ์เล่นไมเนอร์ลีกอีกต่อไป และทุกทีมที่เล่นในไมเนอร์ลีก จะต้องเป็นทีมที่สังกัดอยู่ภายใต้การดูแลของทีมจากเมเจอร์ลีก เบสบอลเท่านั้น

ท้ายที่สุดแล้ว ความพยายามในการต่อสู้ของ พอร์ทแลนด์ แมฟเวริคส์ กับการแสดงให้เห็นว่าทีมเบสบอลอาชีพควรอยู่คู่กับชาวเมือง มากกว่าเป็นธุรกิจผูกขาดของคนเพียงกลุ่มเดียวอาจจะไม่เป็นผล แต่เรื่องของทีมเบสบอลทีมนี้ ได้จุดไฟให้การทำทีมเบสบอลอิสระกลับมาคึกคักอีกครั้ง 

ในปัจจุบันมีทีมเบสบอลอิสระเกิดขึ้นอีกมากมายหลายสิบทีม เพื่อเล่นในลีกอิสระของตัวเอง แม้จะไม่ใช่ทีมกีฬาอาชีพ แต่อย่างน้อยก็ทำให้คนที่รักในกีฬาเบสบอลยังได้รู้ว่า มีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังรักในกีฬานี้ และพยายามจะทำให้เบสบอล เป็นกีฬาของทุกคนต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook