เปาโล รอสซี่ : ก้าวเดียวเปลี่ยนโลก จากผู้มีมลทิน สู่ฮีโร่แชมป์โลกของอิตาลี

เปาโล รอสซี่ : ก้าวเดียวเปลี่ยนโลก จากผู้มีมลทิน สู่ฮีโร่แชมป์โลกของอิตาลี

เปาโล รอสซี่ : ก้าวเดียวเปลี่ยนโลก จากผู้มีมลทิน สู่ฮีโร่แชมป์โลกของอิตาลี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การจากไปของ เปาโล รอสซี่ กองหน้าทีมชาติ อิตาลี ชุดแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1982 คือหนึ่งในความสูญเสียของโลกลูกหนังอีกหนึ่งเรื่องในปี 2020 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ดิเอโก มาราโดนา ได้บอกลาโลกนี้ไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเป็นตำนานย่อมต้องมีเรื่องเล่าที่คู่ควร ... สำหรับ เปาโล รอสซี่ เขาเรียกแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งนั้นว่า "การชุบชีวิต"

จากนักเตะที่โดนก่นด่าทั่วสารทิศจนได้ฉายาว่า "ไอ้ขี้โกง" เกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงย่างก้าวแห่งตำนาน นี่คือเรื่องราวที่น้อยคนจะรู้...

ตรงไหนก็ไม่ดี 

เปาโล รอสซี่ ไม่ใช่กองหน้าในแบบอุดมคติของคนดูบอลยุคนี้เลยแม้แต่น้อย เขาไม่ใช่หมายเลข 9 ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาตัวเล็ก ไม่แข็งแรง และเทคนิคก็ไม่ได้ดีเลิศเหมือนกับกองหน้าอัซซูรี่แบบพิมพ์นิยม ... แล้วเขามีอะไรดีจึงได้กลายเป็นดาวซัลโวแชมป์โลก ?

จุดเริ่มต้นของ เปาโล รอสซี่ คือสโมสรอันดับ 1 ในประเทศอย่าง ยูเวนตุส แต่อย่าเข้าใจผิดว่าเขาเป็นดาวยิงตีนระเบิดอะไรนัก เพราะแม้จะได้ชื่อว่าอยู่ "ยูเว่" แต่เขาก็เป็นพวกดาวยิงเบอร์รอง ต้องรอโอกาสถึง 8 ปี กว่าจะได้ลงเล่นให้กับทีมม้าลาย


Photo : Juventus.com 

ช่วงแรก ๆ ของชีวิตค้าแข้ง รอสซี่ จำยอมต้องออกไปเล่นให้กับทีมเล็ก ๆ อย่าง โคโม่ แล้วผลงานของเขาเริ่มเข้าตา จิโอวาน ฟาบรี กุนซือของทีม วิเซนซ่า ในเซเรีย บี ที่เห็นอะไรบางอย่างในตัวเขา และเอามาปลุกปั้นจนยิงประตูถล่มทลาย ฤดูกาล 1976-77 ปีแรกในลีกรองที่ วิเซนซ่า รอสซี่ จัดไป 21 ประตูจาก 36 นัดในลีก ช่วยให้ทีมเลื่อนชั้น ก่อนจะยิงระเบิดในเซเรีย อา อีก 24 ประตู และ 15 ประตู ในฤดูกาล 1977-78 และ 1978-79 ตามลำดับ ซึ่งฤดูกาล 1977-78 เขาเป็นดาวซัลโวเซเรีย อา อีกด้วย

 

นั่นคือช่วงเวลาที่เขาถูกเรียกว่ามือสังหารที่เฉียบขาดที่สุด จากตัวสำรองอ่อนหัดกลายเป็นดาวยิงแถวหน้าของลีกเซเรีย อา จนทำให้ทั้ง ยูเวนตุส และ วิเซนซ่า ต้องเปิดศึกในเรื่องของสิทธิ์การเป็นเจ้าของร่วม ทว่าการที่ วิเซนซ่า ตกชั้นในปี 1979 ทำให้ชีพจรต้องลงเท้าอีกครั้ง โดยถูกยืมตัวไปอยู่กับ เปรูจา


Photo : Il Napolito 

ทุกอย่างควรจะดีแล้วแท้ ๆ รอสซี่ ควรจะได้เดินหน้าบนเส้นทางยอดนักเตะต่อไป ทว่าหลังจากเล่นให้ เปรูจา ได้ปีเดียวเรื่องราวไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะมีการกล่าวหาว่าเขาพัวพันกับ "การล้มบอล"

อย่าเอาผมไป ...

หลังจากถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับการล้มบอลและล็อคผลการแข่งขัน ในคดีที่มีชื่อว่า "โตโตเนโร" ทางการได้ตรวจสอบ รอสซี่ อย่างละเอียดและพบว่าเขา "ผิดจริง" กระบวนการลงโทษจึงเริ่มขึ้น

 

รอสซี่ โดนสั่งแบนจากวงการฟุตบอลเป็นระยะเวลาถึง 3 ปี ณ เวลานั้นจากเสียงชื่นชมกลายเป็นคำด่า นักเตะที่จะเป็นความหวังในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรปปี 1980 กลับกลายเป็นคนขี้โกง ซึ่งนั่นเองทำให้คะแนนนิยมของ เปาโล รอสซี่ แทบไม่เหลือ เพราะครั้งนั้นแฟนบอลอิตาลีตั้งความหวังไว้อย่างมากเพราะเป็นการได้เล่นฟุตบอลชิงแชมป์ทวีปในบ้านของตัวเองอีกด้วย 


Photo : Transfermakt 

ฝั่ง รอสซี่ พยายามหาเหตุผลตลอดจนหลักฐานมาขอความเป็นธรรมและขออุทธรณ์โทษ 3 ปีที่เขาได้รับ เขายืนยันว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์เสมอ และพยายามจะแย้งว่าเขาเป็นเหยื่อของความอยุติธรรม ซึ่งสุดท้ายแล้วแม้จะลบล้างโทษได้บางส่วน กล่าวคือจากโดนแบน 3 ปี เป็น 2 ปี แต่ภาพลักษณ์ของเขาติดลบไปเยอะ บ้างก็ว่าเขาติดสินบนโจทก์เพื่อขอให้การไต่สวนเป็นไปตามที่เขาต้องการ คือทำให้โทษเบาลง ซึ่งทั้งหมดนี้ให้ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเก่งเหมือนเดิม และไม่มีใครคิดว่าคนขี้โกงอย่างเขาควรกลับมาเล่นให้กับทีมชาติอิตาลีอีกครั้ง

วันที่เขากลับมาได้ลงสนามอีกครั้ง คือช่วงการแข่งขันเซเรีย อา ในฤดูกาล 1981-82 ณ เวลานั้นเขากลับสู่การเป็นนักเตะ ยูเวนตุส อีกครั้ง (ดึงตัวจากสิทธิ์เจ้าของร่วม) ทว่าผลงานของเขาไม่ได้ดีเด่นอะไรนัก ทว่า ณ เวลานั้นเหลือบมองไปที่ทัพ อัซซูรี่ ชุดฟุตบอลโลก 1982 กลับเป็นทีมที่มีปัญหาหนักในเรื่องการยิงประตู พวกเขาลงเล่นรอบคัดเลือกและยิงได้เพียง 11 ประตูจากการลงเล่น 8 นัด ดังนั้น เอ็นโซ่ แบร์ซ็อต กุนซือของทีมต้องยอมเสี่ยงมองต่างจากแฟนบอลทุกคน นั่นคือการเรียกดาวซัลโว เซเรีย อา ฤดูกาล 1977-78 กลับมาเป็นตัวเลือกอีกครั้ง 

แบร์ซ็อต กล่าวเรื่องการจะเลือกผู้เล่นไปฟุตบอลโลกผ่านสื่อ และเมื่อเขาเอ่ยชื่อ รอสซี่ หลายคนสงสัย หลายคนไม่มั่นใจ และอีกหลายคนไม่พอใจ ทว่า แบร์ซ็อต คือคนที่อยู่ใกล้ทีมชุดนี้มากที่สุดและเขารู้ว่าทีมกำลังขาดอะไร เขาเรียก รอสซี่ มาซ้อม พร้อมเดิมพันด้วยทั้งหมดที่ตัวเองมี

 


Photo : Daily Mail 

"การพา รอสซี่ ไปฟุตบอลโลก 1982 เหมือนการเล่นพนันที่เทหมดหน้าตัก แต่ผมก็ต้องทำเพราะ 2 ปีที่เขาหายไป ผมไม่สามารถหาใครมาแทนที่ของเขาได้เลยจริง ๆ" แบร์ซ็อต กล่าวกับ นิวยอร์ค ไทม์ส 

อย่าว่าแต่สื่อและแฟนบอลเลย แม้แต่ตัวของ รอสซี่ ตอนนั้นก็ยังสงสัยในตัวเอง เขาเพิ่งกลับมาและเป็นคนร้ายในสายตาแฟน ๆ เขาสองจิตสองใจ โดยใจหนึ่งเขารู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะแบกความกดดันทั้งหมดด้วยสภาพจิตใจที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง ... เขาไม่อยากเสี่ยงเป็นแพะ และโดนด่ายิ่งกว่าที่ได้รับ เพราะทุกวันนี้มันก็หนักอยู่แล้ว

"คุณจะคาดหวังให้ผมเป็นคนที่กอบกู้ทีมชาติอิตาลีไม่ได้หรอก มีแต่ผู้เล่นอย่าง เปเล่ เท่านั้นที่ยกระดับทั้งทีม ผมไม่ใช่ เปเล่ ผมต้องเจอกับเรื่องแย่ ๆ เผชิญกับความยากลำบากมาเป็นพันครั้ง และผมเจ็บกับคำคาดหวังของผู้คน ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดีเท่ากับผมและพระเจ้า" รอสซี่ ในวัย 25 ปีกล่าว


Photo : ESPN

 

"ทุกคนคาดหวังให้ผมสร้างปาฏิหาริย์ แต่ผมไม่ได้เล่นมาเกือบ 2 ปี ต่อให้ใจพร้อม ร่างกายของผมก็ไม่น่าจะไหว คุณจะฟิตได้อย่างไรหลังจากได้ลงเล่นไม่กี่เกมหลังจากร้างสนามมานานนม ผมในสภาพนี้จะหวังอะไรได้ ผมคิดว่าผมคงมาแก้ปัญหาทั้งหมดของ อิตาลี ไม่ได้หรอก" 

แม้เขาจะพูดอย่างนั้นแต่ก็เป็นอย่างที่ แบร์ซ็อต บอก ไม่เหลือทางเลือกอื่นใดอีกแล้วสำหรับ อิตาลี พวกเขาไม่มีดาวยิง และมีเพียง รอสซี่ เท่านั้นที่จะช่วยได้ นั่นคือสิ่งที่เขาคิด เขาพร้อมจะเสี่ยงและหนีบเอา เปาโล รอสซี่ ไปสเปนด้วย

อย่าดูถูกตัวเอง

3 เกมแรกในรอบแบ่งกลุ่ม อิตาลี ต้องพบกับ โปแลนด์, แคเมอรูน และ เปรู ... มองดูเหมือนไม่ใช่กลุ่มที่ยาก แต่ความแย่ของ อิตาลี ตอนนั้นคือพวกเขาไม่สามารถชนะใครได้เลย เสมอทั้งหมด 3 เกม แต่ยังโชคดีที่ ณ เวลานั้นมีการคิดแต้มแบบชนะได้ 2 แต้ม เสมอได้ 1 แต้ม จึงทำให้ อิตาลี ที่มี 3 แต้มเข้ารอบไปได้ด้วยประตูได้เสียที่มากกว่า แคเมอรูน 1 ลูก ... ทั้ง 3 เกมนั้น เปาโล รอสซี่ ออกสตาร์ททุกเกม และยิงประตูไม่ได้แม้แต่ลูกเดียว 

"2 เกมแรกมันยากที่จะต้องเอาชนะกับสิ่งที่อยู่ในใจ ตอนโดนเปลี่ยนในเกมกับ เปรู ผมถามตัวเองว่าทำไมถึงห่วยแตกได้ขนาดนี้ ผมมาทำอะไรที่นี่ จนกระทั่ง แบร์ซ็อต เข้ามาบอกผมว่า หยุดคิดมากซะ ไปพักผ่อนแล้วเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเกมนัดต่อไป" รอสซี่ เล่าถึงช่วงเวลานั้น

 


Photo : Break The Line 

"นั่นไงว่าแล้ว ไปเอาไอ้นี่มาเล่นก็ต้องทนกันไป" เสียงวิจารณ์ส่วนใหญ่เป็นไปตามนั้น อิตาลี ชุดนั้นดูสิ้นหวังสำหรับแฟน ๆ ของพวกเขา และ รอสซี่ รู้ดีว่าเมื่อก้าวมาอยู่จุดนี้แล้วเขาจะถอยหลังไม่ได้ ทางเดียวคือในรอบต่อไปเขาต้องแจ้งเกิดและลบคำสบประสาทที่มีทั้งหมดให้ได้ 

ทว่าทุกสิ่งไม่ได้ได้มาง่าย ๆ อิตาลี เข้ารอบต่อไป (รอบแบ่งกลุ่มรอบที่ 2) และอยู่ในกลุ่ม B ร่วมกับสมาชิกอย่าง อาร์เจนติน่า และ บราซิล ... ถ้าเขายังยิงไม่ได้อีก หรือ อิตาลี ยังชนะใครไม่เป็นอีก ... เละทั้งทีมแน่ เขารู้เรื่องนี้ดี 

29 มิถุนายน อิตาลี พบกับ อาร์เจนติน่า หลายคนรู้ว่า อิตาลี มาแบบมวยรอง ทว่าสุดท้าย อิตาลี ก็ปลดล็อคชัยชนะเกมแรกในทัวร์นาเมนต์ได้จากการยิงของ อันโตนิโอ คาบรีนี่ และ มาร์โก ทาร์เดลลี่ ด้วยสกอร์ 2-1 ทุกอย่างเริ่มจะดีขึ้น แต่เสียงวิจารณ์เรื่องกองหน้ายิงไม่ได้ก็ยังไม่หมดไปเสียที จนกระทั่งเกมต่อไปกับ บราซิล นั่นแหละ จุดเปลี่ยนที่แท้จริงจึงมาถึง

"ผมจำวันนั้นได้ดี ผมเหมือนกับได้ยินเสียงในร่างกายของตัวเอง เสียงของปุ่มรองเท้าสตั๊ดเคาะกับพื้นดัง ก่อก ก่อก ก่อก ตลอดเส้นทางการเดินจากอุโมงค์สู่สนาม มันคือความรู้สึกที่ยากจะลืม ผมตื่นตัวอย่างที่สุด และเมื่อลงไปในสนาม ความสุดยอด คือสิ่งที่ผมเริ่มรู้สึกได้"

 

รอสซี่ จัดการยิงแฮตทริกอุดปากทุกเสียงวิจารณ์ เขาเหมาคนเดียว 3 ประตู เป็นฮีโร่ให้ อิตาลี เอาชนะ บราซิล ไป 3-2 ณ นาทีนั้นทุกคนที่เกี่ยวข้องเริ่มออกมาบอกว่า รอสซี่ คนเดิมกลับมาแล้ว เขาเคาะสนิทออกทันเวลา และจากนี้ไปคือของจริง

"รอสซี่ กลับมามีกลิ่นอายของนักฆ่า เขาแสดงมันออกมาแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน" อูโด้ ลัตเท็ก โค้ชของ บาร์เซโลน่า ที่เข้ามาชมเกมในวันนั้นกล่าวชื่นชมสิ่งที่ รอสซี่ แสดงออกมา 

แต่ละประตูของ รอสซี่ คือการตอกย้ำสิ่งที่ ลัตเท็ก บอก ลูกแรกเขาลอยตัวโหม่งคนเดียวในกรอบ 6 หลา ลูกที่ 2 เขาขโมยบอลที่กองหลังบราซิลส่งกันพลาดและยิงแบบเปรี้ยงเดียวหาย และประตูสุดท้ายคือการยืนเปลี่ยนทิศทางบอลในกรอบ 6 หลาอีกครั้ง ... หากใครนึกภาพไม่ออก ก็ขอให้นึกถึงที่ ฟิลิปโป้ อินซากี้ ทำนั่นแหละ เมื่ออยู่ในกรอบ 18 หลา รอสซี่ พลาดยาก 

"เปาโล เล่าว่าหลังจากประตูในเกมกับ บราซิล เขารู้สึกเหมือนกับมีคนเอาไม้เท้าวิเศษมาแตะที่ตัวของเขา เขารู้ทันทีว่าช่วงเวลาของตัวเองมาถึงแล้ว และหลังจากนั้นเขาก็ยิงแฮตทริกได้" ไมเคิล โดนัลด์ ช่างภาพที่ตามถ่ายในฟุตบอลโลกครั้งนั้นเล่าถึงสิ่งที่เขาจำได้ 


Photo : The Guardian

จากเกมกับ บราซิล นำ อิตาลี เข้าไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายกับ โปแลนด์ คู่แข่งที่พวกเขาทำได้แค่เสมอในรอบแรก หนนี้ รอสซี่ โชว์ความเป็นนักฆ่าในกรอบ 18 หลาอีกครั้ง เขาเหมา 2 ประตูจากลูกยิงที่ดูง่าย ๆ อย่างการเทคตัวโหม่งจ่อ ๆ กับการยิงบอลขลุกขลิกเข้าไป แต่สั่นไม่สำคัญ มีคำกล่าวที่ว่า "ไม่สำคัญที่ว่าแมวตัวนั้นเป็นสีอะไร ขอแค่มันจับหนูได้ก็พอแล้ว" นั่นแหละคือสิ่งที่ รอสซี่ เป็น 

อิตาลี มาไกลถึงรอบชิงชนะเลิศ และต้องเจอกับ เยอรมันตะวันตก ทีมที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกครั้งนั้น ทว่าตอนนี้ อิตาลี และ รอสซี่ เครื่องติดแล้ว พวกเขาเอาชนะทัพอินทรีเหล็กไปได้แบบไม่ยากเย็น 3-1 รอสซี่ ยิงลูกแรกในนาทีที่ 57, ทาร์เดลลี่ ยิงลูกต่อไปในนาทีที่ 69 และ อเลสซานโดร อัลโตเบลี่ ยิงปิดท้ายในนาทีที่ 81 ... ส่วนเยอรมันตะวันตก ตีไข่แตกได้ในนาทีที่ 83 จาก พอล ไบรท์เนอร์

"ประตูในเกมกับ เยอรมัน นั้นสำคัญที่สุดในชีวิตที่ผมเคยทำได้ เพราะมันแสดงถึงตัวตนของผม ผมติดไฟและไม่ยอมแพ้ ตอนแรกผมโดนประกอบและตายสนิทด้วยกองหลังเยอรมัน 2 คน และผมบอกตัวเองเสมอว่า พวกแกจับฉันไม่อยู่หรอก" เขากล่าวถึงบรรยากาศในวันนั้น

"เมื่อเกมจบลง มันเกิดความรู้สึก 2 แบบ 1 คือผมบอกตัวเองว่าในที่สุดแกก็ทำมันได้เสียที ผมทำสิ่งที่อยากได้มาตั้งแต่เด็กสำเร็จ และความรู้สึกที่ 2 คือผมยังไม่อยากให้มันจบลงเลย ฟุตบอลโลกมาถึงตอนจบแล้ว ซึ่งผมผิดหวังนิดหน่อย" 

สิ่งที่เขาผิดหวัง อาจจะเป็นเพราะนี่คือช่วงเวลาที่หอมหวานที่สุดในรอบหลายปี เขาไม่เคยได้รับการชื่นชมแบบนี้มาก่อน โดยเฉพาะ 2 ปีหลังที่ยังเป็นแค่ไอ้ขี้โกงเท่านั้น การชูถ้วยแชมป์วันนั้นยุติแง่ลบทุกอย่างที่เขาเคยทำ และเขาไม่ต้องการให้จบลง

 

"มีบางช่วงบางฉากของชีวิตที่คุณจะจำมันได้โดยไม่มีทางลืม ... เมื่อคุณชนะอะไรสักอย่างที่สำคัญมาก ๆ มันไม่ใช่แค่การชูถ้วยฉลอง มันทำให้คุณมองเห็นกลุ่มของคนที่ทำให้คุณชนะ มันเกี่ยวกับช่วงเวลาทั้งชีวิตที่คุณพยายามมาให้ถึงจุดนี้ ... สำหรับผม นั่นคือการชุบชีวิตของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง" เปาโล รอสซี่ กล่าว


Photo : Footie Fair 

ชุบชีวิต ... คำนี้ไม่เกินจริง เมื่อ รอสซี่ เดินทางกลับมาถึง อิตาลี ทุกคนมองเขาเปลี่ยนไป คนใหญ่คนโตเดินทางมาแสดงความดีใจกับเขา เขาได้ออกโทรทัศน๋มากมาย และที่สำคัญเขาคว้ารางวัลบัลลงดอร์ปี 1982 อีกด้วย ...

"ชีวิตเปลี่ยนไปเลยภายในแค่ 1 สัปดาห์ จากคนบาป ผมถูกชะล้าง ประตูในฟุตบอลโลกเหมือนกับปาฏิหาริย์ของผม" เปาโล รอสซี่ ว่าเช่นนั้น 

ทั้งหมดทั้งมวล เรื่องเล่าฟุตบอลโลกปี 1982 ของ เปาโล รอสซี่ แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด หากเขาปฏิเสธฟุตบอลโลกครั้งนั้นเพราะความคิดที่ว่าตัวเองไม่ฟิตและไม่เก่งพอ อิตาลี คงไม่มีทางได้แชมป์โลกมาครอง และเขาคงเสียดาย รวมถึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นไอ้ขี้แพ้ไปตลอดกาล

 

ทว่าความกล้าที่จะเดินรับเสียงวิจารณ์ พร้อมรับเสื้อหมายเลข 20 ในฟุตบอลโลก 1982 คือจุดเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิต ณ ตอนนี้ภาพของคนล้มบอลและล็อคผลเพราะการพนันของเขาไม่เหลือแล้ว สำหรับ เปาโล รอสซี่ ทุกคนพูดถึงเขาในฐานะตำนานทีมชาติอิตาลีจนกระทั่งทุกวันนี้ ... วันที่เขาจากโลกนี้ไปแล้ว ตำนานบทนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook