อย่าตัดสินที่ภายนอก : เหตุใดนักบอลแบดบอยถึงสามารถประสบความสำเร็จในฐานะโค้ช

อย่าตัดสินที่ภายนอก : เหตุใดนักบอลแบดบอยถึงสามารถประสบความสำเร็จในฐานะโค้ช

อย่าตัดสินที่ภายนอก : เหตุใดนักบอลแบดบอยถึงสามารถประสบความสำเร็จในฐานะโค้ช
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"แบดบอย" ไม่ใช่คำที่ดีนักสำหรับใครก็ตามที่ถูกเรียกแบบนั้น เพราะแสดงให้เห็นว่าคุณมีปัญหาเรื่องความประพฤติในทางใดก็ทางหนึ่ง

สำหรับเกมฟุตบอล แบดบอยคือคำที่ใช้เรียกผู้เล่นที่ชอบเข้าปะทะหนัก เน้นเตะคนมากกว่าเตะบอล มีลูกตุกติด อารมณ์ร้อนพร้อมซัดหน้าคนตลอดเวลา ไปจนถึงข่าวฉาว ๆ นอกสนาม

แต่ถึงจะถูกเรียกว่าแบดบอย ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นคนไม่ดี ตรงกันข้าม แบดบอยหลายคนสามารถแสดงให้เห็นว่า พวกเขาเติบโตเป็นบุรุษที่มีวุฒิภาวะ ควรค่าแก่การได้รับความเคารพ ผ่านการเป็นโค้ช หรือผู้จัดการทีม

 

ถึงจะถูกมองว่า "แบด" แต่พวกเขาแสดงให้เห็นว่า ผลงานการเป็นโค้ชของพวกเขาไม่แบดแบบที่หลายคนคิด เพราะว่าอดีตนักเตะแบดบอยล้วนมีจุดเด่นบางอย่าง ที่นำมาปรับใช้กับการเป็นโค้ช และช่วยให้ทีมประสบความเร็จ

ไม่สนเสียงวิจารณ์ เป็นตัวของตัวเอง

ข้อได้เปรียบแรกที่ช่วยสร้างให้นักเตะผู้เล่นแนวแบดบอยเติบโตเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จแบบจับต้องได้ เป็นเพราะพวกเขาสามารถรับแรงกดดันรอบตัวได้ดี หรืออีกนัยหนึ่งคือพวกเขาไม่แคร์เสียงวิจารณ์จากสื่อ หรือว่าแฟนบอล

นักเตะที่มีความดิบเถื่อน ไม่ว่าจะในหรือนอกสนาม ย่อมได้รับคำโจมตีจากสื่อ หรือแฟนบอล ยิ่งหากเป็นนักเตะที่มีข่าวฉาวนอกสนามเพิ่มเข้ามาด้วย นักฟุตบอลเหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นพูดถึงในแง่ลบอยู่เสมอ

 

แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตลอดเวลา แต่นักเตะสายโหดเหล่านี้เหมือนมีความสามารถพิเศษติดตัว คือพวกเขาไม่สนใจเสียงนกเสียงกาที่คอยโจมตีพวกเขา 

สำหรับนักเตะแบดบอย พวกเขามองว่าการเล่นหนัก เป็นหนึ่งในหน้าที่ของการเล่นฟุตบอลตามคำสั่งของโค้ช ถึงจะโดนค่อนขอดว่ามาเตะคนมากกว่าเตะบอล แต่เสียงวิจารณ์ไม่ได้ส่งผลต่อความมั่นใจ และความมุ่งมั่นในสนาม

ตัวอย่างที่ดีคือ ดีเอโก ซิเมโอเน อดีตนักฟุตบอลแบดบอยตัวพ่อชาวอาร์เจนตินา ที่ขึ้นชื่อเรื่องการเล่นหนัก เล่นตุกติก จนไม่เป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลฝ่ายตกข้าม ถูกโจมตี และวิจารณ์กับแนวทางการเล่นของเขาอยู่บ่อยครั้ง

หลังจากเขาแขวนสตั๊ด ผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีม คำด่าทอสมัยเป็นนักเตะ กลายเป็นภูมิคุ้มกันให้กับซิเมโอเน ช่วยให้เขาสามารถรับมือกับแรงกดดันได้ดี มีวิธีที่จะจัดการกับสื่อ หรือแฟนบอล ซึ่งทำให้เขามีความเป็นตัวเอง กล้าทำในสิ่งต่าง ๆ ตามที่ต้องการ กับการสร้างทีมฟุตบอลให้ประสบความสำเร็จ

"ตอนที่ผมตัดสินใจรับงานโค้ชครั้งแรก (กับ ราซิง คลับ ปี 2006) ผลงานของผมแย่มาก แพ้รวดใน 3 นัดแรก สภาพทีมก็ย่ำแย่สุด ๆ ยิงไม่ได้แม้แต่ประตูเดียว ทุกคนในสโมสรแห่งนี้กังวลอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น"

 

"แม้แต่ตอนที่ผมเป็นผู้จัดการ แอตเลติโก มาดริด ช่วงแรกมีแรงกดดันมาก เพราะก่อนหน้านั้นโค้ชหลายคนทำผลงานได้ไม่ดี สื่อก็คอยโจมตีเรา แฟนบอลตั้งคำถามถึงผลงานของทีม"

"แต่ผมก็ก้าวผ่านจุดนั้นมาได้ มันทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้นมาก ผมเป็นพวกคนหัวแข็ง ถ้าผมต้องการอะไร ผมต้องทำสิ่งนั้นให้ได้ ... ผมมองว่าที่โค้ชหลายคนไม่ประสบความสำเร็จ เพราะพวกเขาไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนในการทำฟุตบอล"

ไม่ใช่แค่ซิเมโอเน ที่ได้สกิลการรับมือแรงกดดัน มาจากการเป็นนักเตะสายเถื่อน แต่รวมถึง เจนนาโร กัตตูโซ อดีตแข้งจอมโหดชาวอิตาลี ที่ได้รับทักษะนี้มาจากสมัยเป็นนักฟุตบอลด้วยเช่นกัน

ถึงจะไม่ใช่ผู้เล่นที่มีลูกตุกติกสกปรกแบบซิเมโอเน แต่การรับบทเป็นตัวตัดเกมสมัยเล่นอยู่กับ เอซี มิลาน ที่รายล้อมไปด้วยผู้เล่นภาพลักษณ์ดีเลิศ ส่งผลให้กัตตูโซถูกจับจ้อง และเป็นที่โจมตีของแฟนบอลฝ่ายตรงข้ามเสมอ รวมถึงสื่ออิตาลีที่คอยเขียนข่าวถึงความแตกต่างของเขา ที่ไม่ได้เล่นฟุตบอลแบบมีคลาสเหมือนเพื่อนร่วมทีมคนอื่น

 

สำหรับกัตตูโซ เสียงวิจารณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะมาสนใจ และเขาอยากทำในสิ่งที่ต้องการเสมอ รวมถึงหลังจากแขวนสตั๊ดมาเป็นผู้จัดการทีม กัตตูโซเดินหน้าทำฟุตบอลในแบบที่เขาต้องการ โดยไม่สนว่าคนอื่นจะมองอย่างไร

ย้อนไปตอนที่กัตตูโซจับงานโค้ช กับ เอซี มิลาน เขาถูกโจมตีอย่างหนักว่า จะเป็นคนที่ดีพอหรือไม่ กับการพาทัพปีศาจแดงดำกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เพราะผลงานคุมทีมของเขาก่อนหน้านั้นไม่มีอะไรเป็นชิ้นอันสักอย่าง

แน่นอนว่า กัตตูโซไม่แคร์กับเสียงวิจารณ์ และเขานำฟุตบอลที่สะท้อนตัวตนของเขามาใช้ในการสร้างแทคติค นั่นคือฟุตบอลที่อัดหนัก เล่นรุนแรงแต่ไม่สกปรก เต็มไปด้วยความขยัน เปี่ยมด้วยพลังงาน และห้ามยอมแพ้ถ้าเสียงนกหวีดหมดเวลายังไม่ดังขึ้น

แนวทางการเล่นของกัตตูโซ ไม่ได้ผลนักกับ เอซี มิลาน เขาถูกโจมตีอยู่บ่อยครั้งว่า แทคติคของเขาไม่ได้มีเทคนิค ความแยบยลที่ซับซ้อนตามที่แฟนบอลคาดหวัง ซึ่งกัตตูโซไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขายอมรับ และเดินหน้าทำฟุตบอลแบบที่ต้องการต่อไป

 

"ผมอยากพูดให้ชัดเจนตรงนี้เลยว่า ผมไม่ใช่โค้ชที่เก่ง ผมยังเป็นมือใหม่ ไม่ใช่กูรูจากข้างสนามที่ประสบความสำเร็จอะไร"

"แต่ในขณะเดียวกัน ผมคือคนที่เคยผ่านประสบการณ์ที่ยากลำบาก กับการค้าแข้งต่างประเทศ คือคนที่เคยเป็นแชมป์ลีก ทุกคนเหมือนจะลืมการทำงานหนักที่ผมทำมาตลอดในฐานะโค้ช" กัตตูโซ กล่าวประโยคข้างต้น ในเรื่องที่เขาถูกวิจารณ์เรื่องผลงานการคุมทีม ตอนเป็นเฮดโค้ชของ เอซี มิลาน

กัตตูโซแสดงให้เห็นชัดเจนว่า เขาไม่สนเสียงวิจารณ์ของสื่อ เหมือนสมัยที่เขาเป็นนักเตะ และยังคงเชื่อมั่นในแนวทางของตัวเองเสมอ สุดท้ายความเชื่อของกัตตูโซก็แสดงผล เขาสามารถคว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย กับ นาโปลี ในปี 2020

เข้าใจนักเตะ นำไปสู่ทีมสปิริตที่ดี

อีกหนึ่งจุดเด่นของนักเตะสายแบดบอย คือพวกเขาเป็นคนที่มีแพชชั่นกับเกมสูง ใช้อารมณ์ในการเล่นฟุตบอล เมื่อพวกเขาผันตัวมาเป็นโค้ช จึงช่วยให้มีความเข้าใจ และรับมือกับนักฟุตบอลได้หลากหลายรูปแบบ

 

"นักฟุตบอลมีอะไรมากมายที่พวกเขาแบกเอาไว้ แต่ละคนก็มีความต้องการไม่เหมือนกัน ผมเข้าใจว่าถ้าเรามีเรื่องพวกนี้มากเกินไป ก็ไม่ใช่ผลดีกับทีม"

"แต่ผมเข้าใจดี และพยายามช่วยให้พวกเขาได้ในสิ่งที่ต้องการ ผมกับนักฟุตบอลในทีมจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก เพราะผมไม่ต้องการให้นักเตะของผม หมดไฟกับการเล่นฟุตบอล ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในวงการนี้" 

"การเป็นผู้จัการทีมคุณต้องเจอนักฟุตบอลมากมาย ที่มีนิสัยแตกต่างกัน สิ่งสำคัญคือคุณต้องช่วยพวกเขาให้มีแพชชั่น ตกหลุมรักในเกมฟุตบอล เพราะการเล่นอย่างมีแพชชั่นจะช่วยให้พวกเขาเป็นนักเตะที่ดีขึ้น มีคุณสมบัติของการเป็นแชมปเปียน" ดีเอโก ซิเมโอเน กล่าวถึงมุมมองของเขาต่อการปกครองนักฟุตบอล

ผู้เล่นสายโหดเหล่านี้ รู้ดีว่าการใช้ไม้แข็งปราบความพยศของนักฟุตบอล ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดี เพราะมีแต่จะสร้างปัญหา ความขัดแย้งระหว่างโค้ช กับนักเตะ ในทางกลับกันพวกเขาต้องการความเข้าใจจากโค้ชมากกว่า และเหล่าโค้ชอดีตแบดบอยสามารถดึงข้อได้เปรียบในจุดนี้มาใช้ได้อย่างถูกต้อง

ดีเอโก ซิเมโอเน สามารถร่วมงานกับนักฟุตบอลได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนักเตะมืออาชีพ อย่าง ซาอูล นิเกซ หรือ โกเก้, ผู้เล่นที่ผ่านความสำเร็จมาก่อน เช่น ดาวิด บียา, นักเตะอารมณ์ร้อน เช่น อาร์ดา ตูราน หรือ ดีเอโก คอสตา ทุกคนสามารถร่วมงานกับซิเมโอเนได้แบบไร้ปัญหา

นอกจากนี้ ผู้เล่นแนวแบดบอยถึงจะดูเป็นพวกใช้กำลัง ใช้อารมณ์ ดูเป็นนักเตะเอาแต่ใจ ไม่มีวุฒิภาวะ หรือความเป็นผู้นำ 

ในความเป็นจริง พวกเขาเข้าใจความหมายของชัยชนะ และมีความกระหายที่จะได้มันมาอย่างมาก เพียงแต่สมัยที่เป็นนักเตะ ผู้เล่นเหล่านี้แสดงออกความมุ่งมั่นในรูปแบบที่ไม่ถูกใจคนอื่น ซึ่งหลังจากแขวนสตั๊ด เหล่าแข้งแบดบอยสามารถนำความรู้สึกเหล่านี้ มาสร้างความร้อนแรงให้กับผู้เล่น ปลุกไฟในตัวของพวกเขากลับมาอีกครั้ง

เหมือนดังที่ ดันแคน เฟอร์กูสัน อดีตศูนย์หน้าขาโหด เคยเข้ามาจับงานคุม เอฟเวอร์ตัน ชั่วคราว ในฤดูกาล 2019-20 หลังจากที่ทีมผลงานตกต่ำ หล่นไปอยู่อันดับ 15 ของตาราง

บิ๊กดังค์เข้ามาคืนชีพให้ เอฟเวอร์ตัน อีกครั้ง เขานำแพชชั่นกลับมาสู่สโมสร สร้างเป้าหมายให้ทุกคนในทีมที่ต้องช่วยกันวิ่ง แสดงการทำงานหนักออกมา เพื่อมอบชัยชนะให้กับแฟนบอลอีกครั้ง

"ตั้งแต่บิ๊กดังค์เข้ามา เขาสร้างความประหลาดใจให้พวกเราเห็นเสมอ เขาปลุกความเชื่อมั่นให้กับเรา ทำให้นักเตะเชื่อว่าแฟนบอลจะหนุนหลังเราเสมอ ตั้งแต่เขาเข้ามาเขาสามารถนำทีมไปในเส้นทางที่ถูกต้อง" ไมเคิล คีน ปราการหลังของเอฟเวอร์ตัน ยกย่องนายเก่าของเขา

แม้ว่าการเป็นโค้ชฟุตบอลเรื่องความละเอียดของแทคติคการเล่นจะเป็นส่วนสำคัญ แต่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า การสร้างสปิริตทีม และความมั่นใจให้กับนักเตะคือส่วนสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งอดีตนักฟุตบอลแบดบอยสามารถตอบโจทย์จุดนี้ได้เป็นอย่างดี

อาจารย์ที่ยอดเยี่ยม

อีกหนึ่งเหตุผลที่โค้ชสายแบดบอย ประสบความสำเร็จกับการเป็นผู้จัดการทีม คือพวกเขากล้าให้โอกาสนักเตะ และสามารถนำประสบการณ์ที่เขาเคยได้รับสมัยเป็นผู้เล่น มาสั่งสอนลูกทีมช่วยให้แข้งในการดูแลเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ยกระดับฝีเท้าขึ้นไปอีกขั้น

"ในมุมมองของผม ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเป็นโค้ช คือการสร้างนักเตะที่โนเนมให้ขึ้นมาเป็นสุดยอดผู้เล่น นักเตะอย่าง โกเก้, โธมัส ปาร์เตย์, ลูกา แอร์กนองเดซ, อังเกล คอร์เรอา เคยเล่นในลีกที่ต่ำมาก ตอนนี้พวกเขาคือนักเตะชั้นยอด รวมถึง อองตวน กรีซมันน์, แยน โอบลัค และนักเตะอีกมากมายที่ผมไล่ชื่อได้ไม่หมด" ซิเมโอเน กล่าวถึงความสำคัญของการสร้างผู้เล่น ซึ่งเป็นรากฐานความสำเร็จอย่างยาวนานในฐานะผู้จัดการทีม

หากย้อนสมัยเป็นผู้เล่น นักเตะแบดบอยรู้ดีว่า โอกาสคือสิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเขาต้องการ เมื่อผันตัวมาเป็นโค้ช พวกเขาจึงมอบโอกาสให้กับนักเตะที่ถูกมองข้ามเสมอ หลายครั้งจึงนำมาสู่การสร้างนักเตะที่ยิ่งใหญ่ โดยไม่ต้องเสียเงินมหาศาลไปซื้อผู้เล่นราคาแพง 

หนึ่งในนักเตะที่แจ้งเกิดเพราะกุนซือแบดบอย คือ โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน กองหน้าของ เอฟเวอร์ตัน เพราะในช่วงแรกที่อยู่กับทีม เจ้าตัวเคยเสียความมั่นใจ ผ่านการคุมทีมของ โรนัลด์ คูมัน, แซม อัลลาไดซ์ และ มาร์โก ซิลวา โดยเฉพาะรายแรกที่เคยจับเขาไปเล่นแบ็คขวา จนเรียกได้ว่างงชีวิตในถิ่น กูดิสัน พาร์ค ไปพักใหญ่

ดีซีแอล เสียเวลาไป 3 ฤดูกาล กลายเป็นนักเตะที่ดูไม่มีอนาคต แต่เมื่อได้ ดันแคน เฟอร์กูสัน เข้ามาคุมทีม แข้งแบดบอยรายนี้ กลับปลุก คัลเวิร์ต-เลวิน จนก้าวขึ้นมาเป็นกองหน้าสุดร้อนแรงของพรีเมียร์ลีก จนถึงปัจจุบัน

"คุณจะพูดว่าเขา (ดันแคน เฟอร์กูสัน) เป็นพวกขี้โมโหก็ได้นะ แต่ถ้าคุณได้รู้จักเขาจริง ๆ เขาคือคนที่นิสัยดีมาก ๆ"

"เขาบอกผมตลอดว่า ให้เชื่อมั่นในตัวเองมากกว่านี้ ยิ่งเชื่อในตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น มันเป็นเรื่องของความมั่นใจ เมื่อคุณมั่นใจ และทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง คุณก็จะมั่นใจในตัวเองไปตลอดในฐานะนักฟุตบอล" โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน เล่าถึงสิ่งที่เขาได้รับการปลูกฝังจากบิ๊กดังค์

เจนนาโร กัตตูโซ เป็นอดีตนักเตะแบดบอย ที่ก้าวขึ้นมาเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จ ด้วยแนวทางการเชื่อมั่นในผู้เล่นของตัวเอง ซึ่งหลังจากกัตตูโซ ได้รับการแต่งตั้งเป็นโค้ชของนาโปลี ในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2019 จนถึงปัจจุบัน เขาซื้อนักเตะมาร่วมทีมแค่รายเดียวเท่านั้น คือ วิคเตอร์ โอซิมเฮน ด้วยราคาเพียง 10 ล้านยูโร

ที่เหลือเขาใช้นักเตะที่มีอยู่ในทีม บวกกับดึงนักเตะหลายคนที่สโมสรปล่อยยืมมาเสริมความแข็งแกร่ง ให้โอกาสผู้เล่นเหล่านั้นได้พิสูจน์ตัวเอง 

"ผมได้ร่วมงานกับนักเตะที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือคุณต้องทำให้พวกเขาเชื่อว่า พวกเขาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม"

"ผมยกตัวอย่าง เออร์วิง โลซาโน เขาเป็นนักเตะที่สร้างความแตกต่างได้ แต่เขาขาดความแข็งแกร่งเรื่องกำลังขา เขาจึงเล่นได้ไม่ต่อเนื่อง ผมพยายามสอนเขาตลอดในสนามซ้อม ซึ่งเขาเรียนรู้อย่างรวดเร็ว"

"นักเตะนาโปลีเคยเป็นพวกจิตใจอ่อนแอ นั่นคือสิ่งที่ผมเข้ามาพัฒนาพวกเขา เพราะผู้เล่นเหล่านี้ต้องรู้ว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเก่งขึ้นในทุกวัน ดีให้มากกว่าขีดจำกัดความสามารถของตัวเอง" กัตตูโซ กล่าว

จะเห็นได้ว่า สิ่งหนึ่งที่โค้ชแบดบอยเชื่อมั่น คือพวกเขาต้องให้โอกาสนักเตะภายในทีมก่อน ช่วยเหลือพวกเขาให้สุดความสามารถ ไม่ใช่ซื้อนักเตะคนใหม่เข้ามาทดแทน โดยไม่ให้แข้งเดิมในทีมพิสูจน์ตัวเอง และหลายคนก็ได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า

ในความเป็นจริงแล้ว จุดเด่นของโค้ชที่เป็นอดีตนักเตะแบดบอย คือเรื่องพื้นฐานที่ผู้จัดการทีมฟุตบอล หรือกีฬาอื่นควรมีติดตัว เพราะเป็นเรื่องของหลักจิตวิทยา ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง และนักเตะ ที่จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้ชนะในเกมกีฬา

เพียงแต่ที่โค้ชเหล่านี้โดดเด่น เพราะพวกเขาไม่เคยมองข้ามเรื่องของความมั่นใจ, แพชชั่น และการให้โอกาสตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ ในขณะที่โค้ชหลายคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะด้านการสร้างแทคติค กลับสอบตกในเรื่องนี้ จนไม่ประสบความสำเร็จกับอาชีพผู้จัดการทีม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook