"เซนเซทอม" : ตัวละครลับชาวอเมริกันที่ทำให้ญี่ปุ่นได้ไปเล่นฟุตบอลโลก

"เซนเซทอม" : ตัวละครลับชาวอเมริกันที่ทำให้ญี่ปุ่นได้ไปเล่นฟุตบอลโลก

"เซนเซทอม" : ตัวละครลับชาวอเมริกันที่ทำให้ญี่ปุ่นได้ไปเล่นฟุตบอลโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ญี่ปุ่น ได้ไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งแรกเมื่อปี 1998 ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเกือบ 10 ปี ประเทศนี้ไม่นิยมการเล่นฟุตบอล แต่การผลักดันพร้อมกันทั้งระบบตั้งแต่เยาวชน ทำให้วงการลูกหนังแดนอาทิตย์อุทัยมีแต่ทะยานไปข้างหน้าจนหยุดไม่อยู่

นี่คือเรื่องราวของฟันเฟืองตัวเล็กๆ ภายใต้พื้นฐานที่ยิ่งใหญ่ เรื่องของนักบอลจอมพเนจรชาวอเมริกัน ที่เข้ามาญี่ปุ่นในยุคที่ฟุตบอลยังไม่บูม และมีคนดูพอๆกับคนแข่ง 

เขาคนนี้กลายเป็นอาจารย์ของเด็กๆทั้งประเทศ และทำให้เด็กญี่ปุ่นมีทัศนคติในการเล่นฟุตบอลแบบใหม่ในแบบที่พวกเขาไม่เคยเป็น

ทอม ไบเออร์ ชายคนนี้ทำอะไรบ้าง? ติดตามได้ที่นี่

นักเตะธรรมดา - นักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ 

สหรัฐอเมริกา.. ชื่อนี้การันตีได้เลยว่ากีฬาอันดับ 1 ย่อมไม่ใช่ ฟุตบอล หรือที่แดนลุงแซมนิยามศัพท์กีฬานี้ใหม่ว่า ซอคเกอร์ เพื่อไม่ให้ทับไลน์กับ ฟุตบอล แต่ดั้งเดิมของพวกเขา ที่คนทั้งโลกเรียกว่า อเมริกันฟุตบอล.. แม้ปัจจุบันจะมีนักเตะเก่งๆเกิดขึ้นมากมาย แต่ย้อนกลับไปเมื่อปลายยุค 80s ต้องบอกได้เลยว่า นักกีฬาซอคเกอร์ในประเทศนี้ ถ้าไม่เก่งระดับท็อป 3 ของประเทศแทบไม่มีที่ยืน   

ทอม ไบเออร์ คือชาวอเมริกันที่ชอบฟุตบอลผิดยุค เขาไม่ได้เล่นฟุตบอลเก่งกาจอะไรนักเพราะขาดการผลักดันที่ดี อย่างไรก็ตาม การเป็นคนที่ชอบฟุตบอลจริงที่ใช้เท้าเตะ เขาจึงเลือกเส้นทางสายผจญภัย กับการเป็นนักเดินทางไปยังรอบโลก เพื่อหาว่าฟุตบอลที่ไหนเหมาะกับคนอย่างเขาที่สุด

1

"ผมเล่นฟุตบอลที่มหาวิทยาลัยแทมปา ก่อนจะได้เล่นอาชีพในอเมริกาช่วงสั้นๆ ตอนนั้นมันไม่ค่อยดีนัก เลยตัดสินใจไปที่อังกฤษ แล้วก็ได้เล่นในลีกระดับกึ่งอาชีพในซัฟโฟล์ค-อิปสวิช ลีก จากนั้นก็เร่ร่อนไปเรื่อยๆ จนได้มาเล่นที่ญี่ปุ่นนี่แหละ" 

ญี่ปุ่นในช่วงยุค 80s นั้นถือเป็นช่วงที่วงการฟุตบอลกำลังร่างแผนพัฒนา 100 ปี ณ เวลานั้นลีกลูกหนังในประเทศพวกเขายังไม่เป็นลีกอาชีพด้วยซ้ำ เป็นทีมจากองค์กรต่างๆ ส่งทีมมาแข่งขันกันมากกว่า มันคือช่วงเวลาแห่งการตั้งไข่ ก่อนทุกอย่างจะเริ่มสร้างอยางจริงจังเมื่อเข้าสู่ยุค 90s 

"ผมมาที่ญี่ปุ่นในปี 1988 เพื่อเล่นให้กับทีม ฮิตาชิ (ปัจจุบันคือ คาชิวา เรย์โซล) ในลีกอุตสาหกรรม แต่ก็เล่นได้ไม่นานนัก ตอนนั้นผมอายุ 28 ปี และมีอาการบาดเจ็บสะสมเยอะมากจนไปต่อไม่ไหว สุดท้ายผมก็ต้องเลิกเล่นฟุตบอลก่อนวัยอันควรไปโดยปริยาย" เขาบรรยายถึงการมาญี่ปุ่นครั้งแรก 

การได้อยู่ในวงการฟุตบอลญี่ปุ่นแม้จะช่วงสั้นๆ ทำให้นักเดินทางเร่ร่อนอย่าง ทอม ไบเออร์ เล็งเห็นถึงบางสิ่งในประเทศนี้ที่ยังมาไม่ถึง เขารู้ว่าในอีกไม่นาน ฟุตบอลญี่ปุ่นจะก้าวหน้าด้วยโครงการที่ยิ่งใหญ่ และสิ่งสำคัญที่จะทำให้ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จมาเร็วขึ้น คือการสร้างเยาวชนที่มีความรู้ความสามารถด้านฟุตบอลขึ้นมา เพื่อให้ตรงกับช่วงเวลายุทธศาสตร์ 100 ปี พอดี เรียกได้ว่าเมื่อมีการวางระบบขึ้น เด็กๆพวกนี้ก็พร้อมที่จะเข้าสู่แผนการพัฒนาทันที ไม่ต้องเสียเวลาพลิกแผ่นดินหาช้างเผือกใหม่เลย 

ซึ่งภายหลังจากมีการรีแบรนด์และปรับโฉมฟุตบอลอาชีพในญี่ปุ่นใหม่ มีกฎข้อหนึ่งว่าด้วยระบบเยาวชน โดยทุกๆสโมสรที่ส่งทีมเข้าแข่งขัน จะต้องมีทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปีและ 15 ปี ของสโมสร หรืออย่างแย่ที่สุด ก็ต้องมีแผนการสร้างทีมเยาวชนเตรียมไว้ กฎข้อนี้เองแสดงถึงว่า ในอนาคต ญี่ปุ่น จะต้องการบุคลากรทางฟุตบอลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในระดับเยาวชน ดังนั้น นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่เขาจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง

ทอม เชื่อว่าเขาควรจะหยุดเสี่ยงดวงที่ประเทศนี้ดู เขาอาจจะไม่ใช่นักเตะที่เก่งกาจอะไร แต่การเดินทางด้านฟุตบอลผ่านประสบการณ์กว่า 10 ปี ก็ทำให้เขารู้ดีว่าเด็กๆต้องเรียนรู้อะไรเพื่อให้โตขึ้นมาเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพในระบบที่กำลังจะมาถึง เขาจึงคิดจะเปิดคลินิกฟุตบอลสำหรับเด็กๆในประเทศญี่ปุ่นขึ้นมา 

"ตอนนั้นเรื่องการเปิดคลินิกฟุตบอลเริ่มจะบูมแล้วที่อเมริกา ดังนั้น ผมก็เลยคิดว่าน่าจะลองทำคลินิกฟุตบอลที่ญี่ปุ่นดูบ้าง" ทอม กล่าวถึงแนวคิดของเขา 

2

แม้จะมีไอเดียและมีความฝัน แต่มันก็ยากที่จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจตรงกับเขา ทอม อาจจะเห็นอนาคต แต่คนอื่นมองไปไม่ไกลถึงขนาดนั้น นั่นจึงทำให้ยากสำหรับการหาทุนมาสร้างคลินิกและศูนย์ฝึกที่มีคุณภาพ รวมถึงขยายสาขาไปให้ทั่วประเทศ 

คลินิกฟุตบอลเล็กๆของ ทอม ยังคงดำเนินต่อไป ภายใต้นักเรียนประมาณ 40-50 คน โดยกลุ่มนักเรียนชุดแรกนั้นถือเป็นตัวลองวิชาของเขาเลยก็ว่าได้ เพราะคลินิกฟุตบอลของ ทอม จะต่างจากอคาเดมีต่างๆในประเทศที่ฟุตบอลเจริญแล้ว เขาจะไม่สอนเรื่องแท็คติก ความเข้าใจเกม และฟิตเนส หรือใดๆก็ตามมากมายนัก เพราะ ณ เวลานั้น ความนิยมด้านฟุตบอลในญี่ปุ่นยังมีไม่มากนัก หากอัดเรื่องวิชาการหรืออะไรที่ยากๆเข้าไป จะทำให้เด็กๆไม่เปิดใจเรียนรู้เพราะความเบื่อหน่ายไปเสียก่อน เขาจึงเริ่มคิดแบบฝึกในฉบับของตัวเองขึ้นมานั่นคือ "1 คน 1 ลูกบอล"

เล่นให้สนุกเดี๋ยวชอบเอง

ทอม พยายามหาแนวคิดที่เหมาะกับเด็กญี่ปุ่นและสถานการณ์ในวงการฟุตบอล ณ เวลานั้นมากที่สุด ซึ่งเขาก็มาเจอกับหลักสูตร Coerver Coaching ซึ่งเป็นวิธีการสอนที่มุ่งเป้าไปยังเด็กอายุน้อยๆเป็นหลัก โดยหลักสูตรนี้ถูกคิดค้นโดย วีล โคเอเวอร์ (Wiel Coerver) โค้ชที่เคยพาทีม เฟเยนูร์ด คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ในปี 1974 

3

หลักสูตร Coerver Coaching ที่ ทอม เอามาดัดแปลงเป็น "1 คน 1 ลูกบอล" คือการฝึกด้านเทคนิคให้กับเด็กๆ ตั้งแต่พื้นฐาน พวกเขาจะได้หัดเลี้ยง หัดส่ง และหัดเล่นเป็นทีม โดยหลักๆแล้วจะเป็นการรับส่ง เคลื่อนที่ และการดวลแบบ 1-1 โดยใช้ความเร็วเข้าไปจบสกอร์.. กระบวนการทั้งหมดคือความสนุกและเร้าใจที่เข้าถึงเด็กๆได้ง่าย ซึ่งความสนุกนี้เอง ที่จะเปลี่ยนเป็นความรักและความทุ่มเทกับฟุตบอลในภายหลัง 

"ย้อนกลับไปสมัยนั้น ถ้ามีนักเตะคนไหนเลี้ยงบอลเก่ง เล่นทริคสวยๆ รับรองดังแน่นอน พวกเขาจะเป็นจุดดึงดูดสายตาผู้คน และเปลี่ยนฟุตบอลเป็นความบันเทิงได้" เขากล่าว

หลังจากได้ฝึกเด็กๆดู ก็เริ่มมีคนสนใจคลินิกฟุตบอลของเขามากขึ้นเรื่อยๆ จากความสนุกกลายเป็นภาพที่กว้างขึ้น เมื่อเขาได้เจอกับนักเรียนของเขาคนหนึ่งที่เป็นลูกชายของพนักงานในบริษัทเนสท์เล่ ซึ่ง ทอม ใช้โอกาสนั้นขอเข้าพบ เพื่อขายไอเดียของเขาในการจะขยายศูนย์ฝึกให้ใหญ่และมีประสิทธิภาพขึ้น

"พ่อของเธอทำตำแหน่งไหนในบริษัทเนสท์เล่เหรอหนูน้อย?" ทอม ถาม ก่อนที่เด็กน้อยคนนั้นจะตอบว่า "พ่อผมเป็นประธานบริษัทครับ"  

เท่านั้นเอง ทอม ก็ได้โอกาสดีที่จะโทรไปเทียวไล้เทียวขื่อเสนอสิ่งต่างๆที่อยู่ในหัวของเขา จนกระทั่งเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ บริษัท เนสท์เล่ ตัดสินใจเป็นสปอนเซอร์ให้กับคลินิกฟุตบอลของเขา ภายใต้ชื่อ Nestle Soccer Clinic ก่อนที่สุดท้าย การสอนแบบ 1 คน 1 ลูกบอล จะประสบความสำเร็จอย่างมาก ได้รับความสนใจจากเด็กๆและผู้ปกครองมากมาย จนท้ายที่สุด ทอม ก็ได้ทำตามฝัน นั่นคือการเปิดศูนย์ฝึกอย่างเป็นทางการขึ้นมาในปี 1993 ภายใต้ชื่อ Coerver Coaching Japan 

4

"ตอนแรกสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นไม่ได้สนับสนุนเรา จนกระทั่งเรากลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่นี่แหละ พวกเขาก็เพิกเฉยกับเราไม่ได้อีกต่อไป พวกเขาเห็นว่าแนวทางของเรามันน่าสนใจ จากนั้นเราก็ถูกขอให้ฝึกอบรมโค้ชของ JFA จนกระทั่งได้รับความร่วมมืออย่างดีเสมอมาหลังจากนั้น"

ศูนย์ฝึก Coerver Coaching Japan ไม่ใช่แค่ทำให้เด็กๆเล่นฟุตบอลด้วยเทคนิคที่ดีขึ้น แต่พวกเขาเปลี่ยนแนวคิดของเด็กๆใหม่หมด ปกติแล้ว สังคมญี่ปุ่นเป็นสังคมที่ให้ความเคารพในผู้อาวุโส พวกเขาแสดงออกไม่เก่ง และแทบไม่มีอีโก้ส่วนตัวเลย ดังนั้น หากอยากจะให้เด็กทั้งประเทศกลายเป็นจอมเทคนิค นอกจากจะทำให้สนุกแล้ว ยังต้องทำให้เด็กๆเปลี่ยนแนวคิดให้ทะเยอทะยานยิ่งกว่าเดิมด้วย 

5

"เด็กญี่ปุ่นค่อนข้างขี้อาย พวกเขาถูกสอนมาตั้งแต่ตัวเล็กๆว่า อย่าไปทำตัวโดดเด่นมากนัก พวกเขาเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของส่วนรวมมาก่อนคำว่าส่วนบุคคล พวกเขาไม่ค่อยกล้ายกมือขึ้นถามต่อหน้าคนอื่นหากสงสัย" 

การสอนแบบ Coerver Coaching ทำให้เด็กทุกคนอยากจะแสดงออก เมื่อได้บอลแล้วพวกเขาจะแสดงออกสิ่งที่ได้เรียนรู้มา เมื่อมีเทคนิคแล้วก็จะได้เล่นกันอย่างสนุกสนาน และนั่นคือหนึ่งในการละลายพฤติกรรมให้ทุกคนกล้าเลี้ยง กล้าเล่น และหลุดจากรอบวัฒนธรรมเดิมๆที่เคยเป็น และนั่นคือการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะกระเพื่อมครั้งใหญ่ในอนาคต

เซนเซทอม 

หลังจากได้รับการสนับสนุนจากทั้งสมาคมและบริษัทใหญ่ ศูนย์ฝึก Coerver Coaching ของ ทอม ก็มีถึง 60 แห่งในประเทศญี่ปุ่น เขามีนักเรียนภายใต้โรงเรียนสาขาต่างๆมากถึง 9,000 คน และมีนักเรียนหลายๆคนสามารถสร้างชื่อในระดับ เจลีก นอกจากสร้างนักเตะแล้ว พวกเขายังมีคอร์สสำหรับฝึกสอนโค้ชอีกด้วย 

6

ชื่อเสียงของ ทอม ไบเออร์ ดังขึ้นตามสาขาที่เพิ่มขึ้นของศูนย์ฝึก จนกระทั่งสถานะของเขาเปลี่ยนไป กลายเป็นคนที่ประชาชนประเทศญี่ปุ่นรู้จัก เพราะเมื่อในช่วงต้นปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่ญี่ปุ่นสามารถผ่านรอบคัดเลือกไปเล่นฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก กระแสฟุตบอลก็ฟีเวอร์เป็นเงาตาม ทอม ไบเออร์ ได้รับการติดต่อจากรายการโทรทัศน์เพื่อทำรายการสอนฟุตบอล ในช่วงเวลาวันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่ 6:45-7:30 น. 

เนื้อหาของรายการที่ชื่อว่า "ทอมซัง (Tom-san)" คือการที่เขาจะเดินทางไปยังโรงเรียนต่างๆในประเทศญี่ปุ่น เพื่อสอนเทคนิคฟุตบอล รวมถึงสร้างชาลเลนจ์ต่างๆ ให้เด็กๆได้ทดลองทำตาม เรียกได้ว่ารายการ ทอมซัง นั้นได้รับความนิยมอย่างสูง ถึงขนาดที่แม้จะจบฟุตบอลโลกปี 1998 แต่เรตติ้งก็พุ่งกระฉูด จนรายการได้รับการต่อสัญญาให้ออกอากาศออกไปอีกถึง 13 ปี โดยเฉพาะช่วงปี 2002 ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกนั้น ทอม ไบเออร์ ถือเป็นคนที่ออกรายการโทรทัศน์ต่างๆมากมาย ไปจนถึงการทำวีดีโอสอนฟุตบอล และหนังสือหลักสูตรต่างๆ กลายเป็นที่จดจำของคนญี่ปุ่นไปโดยปริยาย 

เด็กญี่ปุ่นที่ชอบฟุตบอลและเติบโตมากับยุคที่ฟุตบอลพัฒนาอย่างมีแบบแผน เรียกได้ว่าหายใจเข้าหายใจออกเป็นฟุตบอล ยิ่งรวมกับธรรมชาติของชาวญี่ปุ่นที่มุ่งมั่นทุ่มเท ทำอะไรก็เอาจริงเอาจังเต็มร้อย จึงทำให้ ทอมซัง กลายเป็นรายการโปรดของเด็กๆทุกคน ขณะที่ ทอม ไบเออร์ ก็ถูกเด็กทั้งประเทศเรียกว่า "เซนเซทอม" (คุณครูทอม) เลยทีเดียว   

7

"ผมอยู่ในรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กอันดับ 1 ของประเทศมาเป็นเวลา 13 ปี เรามีผู้ชมมากกว่า 5 ล้านครัวเรือน" 

เซนเซทอม มักจะพูดเสมอว่า กว่าจะมาถึงตรงนี้ไม่ง่าย เขาต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายหนกว่าที่จะได้รับการยอมรับจากชาวญี่ปุ่น แต่เหนือสิ่งอื่นใด การได้เริ่มทำในสิ่งที่ถูกต้องในช่วงเวลาที่ถูกต้อง ถือเป็นแผนทางธุรกิจที่ทำให้ศูนย์ฝึกของเขาได้รับการยอมรับ และกลายเป็นสถานที่ที่เด็กๆในญี่ปุ่นอยากจะเข้ามาเรียนรู้วิชาฟุตบอลที่ได้ทั้งความสนุกและได้ทั้งความรู้กลับไป 

ในช่วงปี 1998 ชินจิ คางาวะ คือหนึ่งในเด็กหนุ่มที่เคยผ่านคลินิกฟุตบอลของ เซนเซทอม และกลายมาเป็นนักเตะอาชีพที่มีชื่อเสียงในฐานะนักเตะระดับโลกในภายหลัง   

ทอม เล่าเสมอว่า ตลอดระยะเวลาที่เขาเริ่มฝึกเด็กญี่ปุ่นตั้งแต่ปลายยุค 80s มาจนถึงปัจจุบัน ความแตกต่างและพัฒนาการของวงการฟุตบอลที่นี่เติบโตขึ้นอย่างมากมาย เด็กๆที่นี่เริ่มเล่นฟุตบอลด้วยความกล้าและความสนุก ขณะที่ฟุตบอลลีกในประเทศก็เติบโตขึ้นจริงตามแผนยุทธศาสตร์ 100 ปี แม้ว่า ณ เวลานี้จะอยู่ในระหว่างการเดินทางก็ตาม 

8

"ผมเห็นฟุตบอลญี่ปุ่นเติบโตมาตั้งแต่กลางยุค 80s สาเหตุที่ฟุตบอลที่นี่มาไกล นั่นก็เพราะว่ามีการลงทุนด้วยเงินเป็นจำนวนมาก มีการจัดตั้งองค์กรต่างๆขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกัน"

"เราเริ่มจากการดึงนักเตะระดับโลกมาสร้างกระแส อาทิ ซิโก้, แกรี่ ลินิเกอร์, คาร์ลอส ดุงก้า และ ดราแกน สตอยโควิช มาเพื่อดึงดูดแฟนๆ แต่ทุกวันนี้ ด้วยแรงกระเพื่อมจากคลื่นลูกใหม่ หลายสิ่งเดินทางไปข้างหน้าอย่างมหัศจรรย์" 

"ตลอดระยะเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่วงการฟุตบอลญี่ปุ่นทำ คือการลดระยะห่างระหว่างนักเตะที่เก่งที่สุดกับแย่ที่สุดให้ใกล้กันจนแทบไม่เหลือความต่าง นี่คือเส้นทางการพัฒนาที่ถูกต้องจนทำให้ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จ เรียกได้ว่าทุกฝ่ายช่วยกันเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นกันตั้งแต่วิสัยทัศน์เลยทีเดียว" 

"สิ่งที่ผมไม่เคยลืมคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในการทำคลินิกหลายแห่งทั่วประเทศญี่ปุ่นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมยังจำตอนที่ผมแสดงทักษะและท่าทางต่างๆได้ดี เด็กๆพวกนี้กระตือรือร้นมาก พวกเขาได้เริ่มสิ่งต่างๆขึ้นจากความสุข เมื่อมีลูกฟุตบอลอยู่ที่เท้า ภายใต้การควบคุมของตัวเอง" เซนเซทอม เล่าถึงนักเรียนกว่าครึ่งล้านของเขา 

9

ทุกวันนี้ ฟุตบอลญี่ปุ่นไม่ใช่แค่ระดับเอเชียอีกแล้ว พวกเขาต่อกรกับทีมระดับโลกได้สบายๆ ทำให้ทีมระดับหัวแถวต้องตึงมือตลอด ไม่ว่าจะในฟุตบอลชายหรือฟุตบอลหญิงที่ไปไกลจนถึงขั้นคว้าแชมป์โลกมาครองแล้ว 1 สมัย 

ทอม อาจจะเป็นฟันเฟืองเล็กๆคนหนึ่งภายใต้การพัฒนาที่ก้าวไปข้างหน้าไม่มีหยุด แต่เด็กๆ กว่า 500,000 คนที่ผ่านการฝึกในหลักสูตรของเขา ก็กลายมาเป็นพื้นฐานที่หยั่งลึกของวงการฟุตบอลญี่ปุ่น เพราะเมื่อมีคนที่รักฟุตบอลจริงๆ ย่อมจะขับเคลื่อนและพัฒนาไปข้างหน้าได้ง่าย ไม่ว่านักเรียนของเขาจะเติบโตมาจนเป็นนักเตะอาชีพหรือไม่ก็ตาม.. เมื่อเขาทำ และทุกคนที่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงลงมือทำ การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ของฟุตบอลญี่ปุ่นจึงเกิดขึ้น

การร่วมมือกันของคนที่มีวิสัยทัศน์ทุกๆฝ่าย คือกุญแจที่ทำให้ ทอม ไบเออร์ กลายเป็น เซนเซทอม ขวัญใจเด็กๆที่รักฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่น จากนักฟุตบอลจอมผจญภัย เขาได้ค้นพบตัวตนและสิ่งที่ตามหาจนได้ในท้ายที่สุด

10

"ผมเริ่มทำงานทุกอย่างอย่างจริงจังตั้งแต่ก่อนที่ฟุตบอลจะได้รับความนิยม เมื่อหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี ฟุตบอลที่นี่เติบโตขึ้น เส้นทางอาชีพของผมก็โตขึ้นไปพร้อมๆกัน.. ผมไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว หากไร้ซึ่งองค์ประกอบอื่นๆ และเพื่อนๆทุกคน"

"อีก 10 ปีข้างหน้า ตลาดฟุตบอลของญี่ปุ่นจะยิ่งใหญ่มากกว่าเบสบอล และฟุตบอลจะก้าวไปอีกขั้น พวกเขาจะพร้อมทำลายอุปสรรคต่างๆภายใต้ความท้าทายครั้งใหญ่"

"ยุทธศาสตร์ 100 ปี (สำหรับเป็นแชมป์โลก) จะเป็นไปได้ไหมน่ะเหรอ? ผมว่าทางมันยังอีกยาวไกลนะ เพราะมันไม่ใช่ญี่ปุ่นเท่านั้นที่กำหนดทุกอย่างได้ ทุกๆประเทศในเอเชียจะต้องพัฒนาไปด้วยกัน ทุกวันนี้ ญี่ปุ่นเล่นกับทีมอื่นๆในเอเชีย พวกเขาเจอเกมลักษณะเดียวกันหมด นั่นคือการเล่นตั้งรับกันแทบทั้งทีม ซึ่งมันต่างกับตอนที่ญี่ปุ่นไปเล่นกับทีมระดับนานาชาติแบบสิ้นเชิง.. ประเทศอื่นต้องช่วยลดช่องว่างของความห่างชั้นนี้เข้ามาด้วย" เซนเซทอม กล่าวทิ้งท้าย  

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ "เซนเซทอม" : ตัวละครลับชาวอเมริกันที่ทำให้ญี่ปุ่นได้ไปเล่นฟุตบอลโลก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook