"มาติเยอ ฟลามินี่" ทำอย่างไรจึงเข้าใกล้การเป็นว่าที่นักธุรกิจหมื่นล้านเหรียญ ?

"มาติเยอ ฟลามินี่" ทำอย่างไรจึงเข้าใกล้การเป็นว่าที่นักธุรกิจหมื่นล้านเหรียญ ?

"มาติเยอ ฟลามินี่" ทำอย่างไรจึงเข้าใกล้การเป็นว่าที่นักธุรกิจหมื่นล้านเหรียญ ?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มาติเยอ ฟลามินี่ เปรียบเสมือนนักฟุตบอลที่ถูกจำกัดความในหมวดหมู่ "One Season Wonder" หรือคนที่เก่งเพียงฤดูกาลเดียว ตู้ม ! แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็วเหมือนพลุไฟ

แต่บนเส้นทางธุรกิจและชีวิตของลูกผู้ชายคนหนึ่ง ฟลามินี่ เดินถนนคนละเส้นกับชีวิตนักฟุตบอลของเขา ... เขากำลังเดินบนเส้นทางยาว ที่ปลายทางคือทรัพย์สินมหาศาล ว่ากันว่าสิ่งที่รอเขาอยู่มีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

เขาทำอะไร เหตุถึงถูกยกย่องให้เป็นอดีตนักฟุตบอลที่รวยที่สุดในโลก ? ติดตามได้ที่นี่

เกือบ ... ระดับโลก

"นักฟุตบอลคือหมาล่าเนื้อ" คำกล่าวนี้พอจะบอกถึงชีวิตการค้าแข้งของ มาติเยอ ฟลามินี่ ได้เป็นอย่างดี ชีวิตนักเตะของเขาทะเยอทะยานเสมอมา แต่บางครั้งมันก็อาจจะมากเกิน 

แรกเริ่มเดิมทีเขาเป็นเด็กที่เล่นกีฬาแทบทุกชนิด ก่อนที่สุดท้ายเมื่อถึงเวลาต้องเลือก เขาเลือกฟุตบอล และสำหรับเด็กชาวฝรั่งเศสทุกคน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม โอลิมปิก มาร์กเซย คือสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ นี่คือทีมในฝันของพวกเขาทั้งสิ้น ซึ่ง ฟลามินี่ เป็นเด็กไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่คว้าโอกาสนี้ได้ 

"ก็คงต้องบอกว่ามันเป็นความฝัน" ฟลามินี่ เล่าถึงความหลังวันที่เขาสามารถผ่านการคัดตัวและเข้าสู่ระบบเยาวชนของ มาร์กเซย ได้เมื่อหลายปีก่อน 

"ผมก็เหมือนเด็กคนอื่น ๆ อยากเล่นให้ทีมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอย่าง มาร์กเซย จำได้ในช่วงวัยเรียน ผมและคนอื่น ๆ เล่นฟุตบอลเพื่อความสนุกสนานในระหว่างพักเที่ยง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีโค้ชคอยจับตาดูพวกเราตลอดเวลา ... รู้ตัวอีกทีตอนผมอายุสัก 10-11 ขวบ ฟุตบอลกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิต ผมรู้ตัวและทุ่มเทกับมัน ซึ่งไม่นานนักผมก็ได้เล่นให้กับ มาร์กเซย ... ทีมของผม" 

Photo : Arsenal

 

ฟลามินี่ เติบโตมากับโอแอ็มตั้งแต่วันนั้น จนกระทั่งปี 2003-04 เขาได้โอกาสลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ถึง 14 เกม ณ เวลานั้นเขายังไม่มีสัญญาอาชีพเลยด้วยซ้ำ ซึ่งทาง มาร์กเซย ก็พยายามจะมอบสัญญาฉบับแรกให้ ซึ่งปกติแล้วนักเตะดาวรุ่งมักจะยอมรับมันเพราะคิดว่านี่คือก้าวสำคัญ และเลือกสร้างความมั่นคงแน่นอนก่อนที่จะย้ายทีมในภายหลัง แต่ ฟลามินี่ ปฏิเสธสัญญาอาชีพกับ มาร์กเซย และย้ายไปอยู่กับ อาร์เซนอล 

สำหรับแฟน อาร์เซนอล นี่ก็เหมือนกับหลาย ๆ ครั้ง พวกเขาได้นักเตะฝรั่งเศสอายุน้อยไปร่วมทีม แต่สำหรับ มาร์กเซย นี่คือการทรยศของเด็กที่อยู่กับสโมสรมายาวนาน ... 

"การทรยศครั้งนี้มันช่างสวยสดงดงามจริง ๆ มาติเยอ ฟลามินี่ มอบให้ผมอย่างสาสมใจเลยทีเดียว" โฮเซ่ อาญิโก้ กุนซือของ มาร์กเซย ในเวลานั้นกล่าวอย่างโกรธแค้น ขณะที่ อาร์เซนอล จ่ายค่าชดเชยให้กับพวกเขาเพียงแค่ 480,000 ปอนด์ เท่านั้น 

Photo : Reuters

ช่วงเวลากับ อาร์เซน่อล ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ ฟลามินี่ ไม่ว่าใครจะมองเขาอย่างไร นี่คือการเลือกที่เด็ดขาดและมีแต่แง่บวกเกิดขึ้น อาร์แซน เวนเกอร์ เลือกใช้งานเขาในฐานะตัวจริงแทบจะในทันที ซึ่ง ฟลามินี่ ก็พัฒนาตัวเองในฐานะตัวตัดเกมได้อย่างรวดเร็ว เขาจับคู่กับ เชส ฟาเบรกาส ในแดนกลาง และถือเป็น 1 ในคู่มิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก ณ ช่วงเวลาปี 2005-2008 โดยเฉพาะในปี 2006 ที่ ฟลามินี่ ได้เป็นตัวหลักและพา อาร์เซน่อล เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก

 

อย่างไรก็ตาม เขาไม่เลือกจะสานต่ออนาคตกับ อาร์เซนอล เป็นอีกครั้งซึ่ง ฟลามินี่ เลือกย้ายทีมแบบที่ถูกทีมเก่ามองว่าทรยศ เขาอยู่กับทีมจนหมดสัญญา และย้ายไปอยู่กับ เอซี มิลาน แบบไม่มีค่าตัว 

ในวัย 24 ปี เขาเป็นชายหนุ่มวัยแรกรุ่น เขาเซ็นสัญญากับทีมที่มี เปาโล มัลดินี่, อันเดรีย ปิร์โล่, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ และ โรนัลดินโญ่ ที่สำคัญคือค่าจ้างของเขามากเสียจนคนในวัยเดียวกันได้แต่ฝันถึง การย้ายทีมเพื่อยกระดับตัวเองครั้งนี้ซ้ำรอยเดิมเกือบทั้งหมด ต่างกันอย่างเดียว นั่นคือจุดเริ่มต้นช่วงเวลาขาลงของเขา ... เขายังหนุ่ม ควรจะไปได้ไกลกว่านี้ แต่เมื่อไป มิลาน แม้จะมีแชมป์ เซเรีย อา ในฤดูกาล 2010-11 แต่ทุกคนรู้ดีว่า ฟลามินี่ ที่ มิลาน ไม่ใช่ ฟลามินี่ คนเดิมที่เคยเป็นห้องเครื่องของ อาร์เซนอล   

Photo : Sky Sports

ฟลามินี่ อยู่กับ มิลาน จนหมดสัญญา เขาย้ายกลับมาที่ อาร์เซนอล แต่ไม่ดีเหมือนเคย จากนั้นก็โดนอาการบาดเจ็บรบกวน และเริ่มกลายเป็นนักเตะพเนจร ย้ายเข้าไปอยู่กับ คริสตัล พาเลซ ด้วยค่าเหนื่อยที่ลดลง และสุดท้ายย้ายไปที่ เกตาเฟ่ ด้วยค่าเหนื่อยที่ลดลงจากมิลาน ประมาณ 10 เท่า (จาก 140,000 เหลือราว ๆ 12,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์) จนในที่สุดแล้ว ฟลามินี่ ก็ประกาศแขวนสตั๊ดโดยที่แทบไม่มีใครถามถึง ... ข่าวการแขวนสตั๊ดของเขาแทบไม่โผล่บนหน้าสื่อ จนกระทั่งอีกไม่กี่ปีต่อมา มีข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับเขาเกิดขึ้น ว่ากันว่าหลังแขวนสตั๊ด เขากลายเป็นอภิมหึมามหาเศรษฐีไปแล้ว ...  

เมื่อมีข่าวหลุดออกมา นักข่าวตามหาตัวเขาให้ควั่กเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาเป็นนักเตะเสียอีก แต่เรื่องนี้มันเป็นมายังไง แล้วจริงหรือเปล่าที่เขารวยขนาดนั้น ?

ปรากฏตัวอีกครั้งในมาดใหม่ 

"อดีตดาวเตะ อาร์เซนอล ทำเงิน 30,000 ล้านปอนด์จากธุรกิจส่วนตัวของเขา" สำนักข่าวอย่าง The Sun โพสต์พาดหัวเกี่ยวกับชีวิตหลังค้าแข้งของ ฟลามินี่ พวกเขาเล่ากันว่าตอนนี้ ฟลามินี่ รวยเละเทะเนื่องจากทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงาน 

ทุกคนตามหาตัว ฟลามินี่ เพื่อต้องการถามว่าความจริงแล้วเป็นอย่างไร มีรายงานจากสื่อที่เชื่อถือได้อย่าง Goal และ The Guardian บอกเล่าว่า ตอนนี้เขารวยจากธุรกิจพลังงานจริง ภายใต้ชื่อบริษัทว่า GF Biochemicals (GFB) และเรื่องที่น่าแปลกใจคือ บริษัทของเขาก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2008 แล้ว   

Photo : The Mirror

ความสุดยอดของเรื่องนี้คือระหว่างที่ ฟลามินี่ ไปอยู่ มิลาน เขาได้รู้จักกับคนคนหนึ่งที่ชื่อว่า ปาสคาล กรานาต้า นักธุรกิจชาวอิตาเลียน และทั้งสองคนมีแนวความคิดตรงกันว่า ณ เวลานั้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการรักษ์โลกกำลังจะมา และในช่วงเวลาเดียวกัน มีสารเคมีที่ชื่อ "กรดเลวูลินิก" (Levulinic Acid) ซึ่งกรดนี้ได้รับการยอมรับจากระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา ให้เป็น 1 ใน 12 สารเคมีสำหรับอนาคต ที่จะมีศักยภาพใช้ทดแทนน้ำมันได้

 

"ผมเป็นพวกหัวโบราณรักษ์โลก ผมกังวลกับปัญหาโลกร้อนเสมอ ซึ่งช่วงนั้นผมได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับกรดเลวูลินิก ที่ทางอเมริกาเชื่อว่าจะสามารถนำมาใช้แทนน้ำมันเบนซินได้แบบ 100%" ฟลามินี่ เล่าจุดเริ่มต้นทั้งหมด

BBC สื่อระดับโลกอธิบายที่มาของกรดเลวูลินิกว่า ถูกสร้างจากชีวมวล เช่นหญ้าหรือเศษไม้ จากนั้นจะนำไปผ่านกรรมวิธีหลอมละลายเป็นเชื้อเพลิงร่วมกับพลาสติกเพื่อเปลี่ยนเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจุดนี้ถ้าไม่ใช่คนในวงการวิทยาศาสตร์และเคมีคงนึกไม่ออก แต่ช่างมันไม่เป็นไร เอาเป็นว่านี่คือพลังงานสำรองในอนาคต แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว 

ฟลามินี่ ไม่ได้คิดค้นมันขึ้นเพียงคนเดียวและหยิบมันมาทำธุรกิจง่าย ๆ อย่างนั้น บริษัทของเขาทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีจาก มหาวิทยาลัยปิซา และ มหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคแห่งมิลาน เพื่อช่วยผลิตพลังงานทางเลือกนี้ออกมา 

Photo : AS

"ในตอนนั้น ผมและปาสคาลสนใจปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่แล้ว และเราก็อยากทำบางสิ่งบางอย่างให้มันจริงจัง ดังนั้นเราเดินทาง ศึกษา และพูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์หลายแห่ง เพื่อรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มาพัฒนาไบโอเทคโนโลยีนี้" ฟลามินี่ กล่าวกับ BBC

 

สิ่งที่ได้จากกรดเลวูลินิกที่เป็นพลังงานทดแทนคือ มันจะสามารถลดปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และปัญหาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย

ธุรกิจนี้ไม่ได้เผยตัวผ่านสื่อเลย จนกระทั่งเมื่อปี 2015 เพราะที่สุดแล้ว ข่าวลือว่าเขาร่ำรวยก็เกิดตามมา รวม ๆ แล้วบริษัท GFB ใช้เวลาถึง 7 ปี กว่าจะเริ่มทำเงินจนมีตัวเลขที่น่าเหลือเชื่อ และส่งให้เขาเป็นหนึ่งในอดีตนักเตะที่รวยที่สุดในโลก 

Photo : GF Biochemicals

หากเปรียบเทียบช่วงเวลาการเปิดบริษัทเคมีของ ฟลามินี่ จนถึงช่วงเวลาที่บริษัทของเขาเริ่มมีชื่อเสียง คุณจะสังเกตได้ว่ามันสัมพันธ์กับเทรนด์รักษ์โลกแบบพอดิบพอดี ซึ่งจุดนี้อาจเป็นจุดบรรจบกันระหว่างธุรกิจที่สำเร็จ กับความนิยมของคนส่วนใหญ่ เรียกง่าย ๆ ว่าเขากำลังทำในสิ่งที่ "แมส" หรือเข้ากับกระแสของโลก ดังนั้นไม่แปลกที่มันจะทำกำไรมากมาย 

ว่ากันว่าข่าวลือนั้นเดินทางได้ไวกว่าความจริง หลังจากธุรกิจของ ฟลามินี่ ได้รับการเปิดเผย ก็มีหลายข่าวลือและสิ่งที่เขียนถึงบริษัทของเขามากมาย ว่ากันว่าบริษัทของเขาทำเงินระดับหมื่นล้านปอนด์ บางที่บอก 3 หมื่นล้าน และบางเจ้าบอกว่าทะยานไปถึง 5 หมื่นล้านปอนด์ ข่าวลือนี้ทำให้คนเชื่ออยู่หลายปี จนกระทั่ง ฟลามินี่ ต้องออกมาเปิดเผยเองว่า "บางครั้งคนเราต้องพูดความจริงบ้าง" เขาปฎิเสธเรื่องนี้แบบแมน ๆ ว่า 3-5 หมื่นล้านปอนด์นั้น เขียนกันไปเองทั้งนั้น  

Photo : Twitter | Bio-based Industries Consortium

"การแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องนั้นเป็นเรื่องสำคัญ" ฟลามินี่ บอกกับ L'Equipe

"หลายสิ่งหลายอย่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมได้อ่าน เรื่องจริงคือผมไม่มีเงิน 3 หมื่นล้านปอนด์ในธนาคารของผมหรอกนะ และเงินนั้นก็ไม่ได้สอดคล้องกับมูลค่าบริษัทผมด้วย" 

นี่มันเกือบจะเป็นเรื่องลวงโลกและเรื่องโอละพ่อไปแล้ว แต่ความจริงแล้วบริษัทของ ฟลามินี่ นั้นเกี่ยวข้องกับตัวเลข 3 หมื่นล้านปอนด์ เพราะนั่นคือตัวเลขมูลค่ารวมทางตลาดพลังงานทดแทนที่บริษัทพวกเขาตั้งเป้าไว้ ไม่ใช่เงินทั้งหมดที่เขามี 

Photo : Seven Hills

"ด้วยเทคโนโลยีที่เราพัฒนาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นั่นคือมูลค่ารวมของตลาดที่เราต้องการ" ฟลามินี่ ให้สัมภาษณ์แบบมาดนักธุรกิจเต็ม 100% แทบไม่เหลือมาดนักเตะพลังม้าในแดนกลางอีกเลย แล้วอย่างนั้น รายได้ของบริษัทของเขามีมากเท่าไหร่ ? ... 

Goal เคยสัมภาษณ์ ฟลามินี่ และพวกเขาบอกว่าข้อมูลแบบ 100% นั้นหายาก แต่การประมาณจากข้อมูลที่มีบนโลกออนไลน์ ว่ากันว่า บริษัทของเขามีมูลค่า 20 ล้านปอนด์ หรือน้อยกว่าข่าวลือที่มีมากกว่า 1 พันเท่า นั่นคือข้อมูลก่อนที่บริษัทของเขาจะทดลองพลังงานแทนได้สำเร็จ ซึ่งข้อมูล ณ ปัจจุบันในปี 2020 เปิดเผยว่ามูลค่าของบริษัท GFB ไปไกลถึง 1 พันล้านปอนด์แล้ว 

แม้จะเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าข่าวลือว่าไว้เยอะมาก แต่ 1 พันล้านปอนด์ ถือเป็นตัวเลขที่สุดยอดมากสำหรับนักฟุตบอลที่หันหน้าไปทางธุรกิจ และเมื่อมีคนถามว่าทำไมเขาจึงประสบความสำเร็จบนเส้นทางนี้ เขาตอบได้คำเดียวว่า "แพชชั่น" คือสิ่งที่นำพาเขามาไกลกว่าที่ตัวเองคิดไว้เยอะเลยทีเดียว

จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด 

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายคน ไม่ว่าจะรายเล็กหรือรายใหญ่ ไม่ว่าจะไทยหรือเทศ หลายคนมักต้องตอบคำถามนี้บ่อย ๆ กับคำถามที่ว่า "เคล็ดลับของความสำเร็จนั้นคืออะไร ?" พวกเขาเหล่านั้นมักจะตอบตรงกันว่า "ทั้งหมดเริ่มต้นจากความชอบ" 

ฟลามินี่ อาจจะเป็นหมาล่าเนื้อสมัยเป็นฟุตบอล แต่ความทรงจำวัยเด็ก คือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดนี้ ทำไมเขาถึงหันมาทำเรื่องพลังสะอาดและพลังงานทดแทน เหตุผลเดียวคือ เพราะเขาให้ความสำคัญ กังวล และ อยากแก้ปัญหาเรื่องสภาวะโลกร้อนมาเนิ่นนานแล้ว

Photo : The Guardian

"ต้องขอโทษด้วยที่ข่าวว่าผมรวยหลายหมื่นล้าน แต่ธุรกิจนี้ผมไม่ได้มีจุดเริ่มต้นด้วยการคาดหมายว่าผมจะร่ำรวยเลย" ฟลามินี่ กล่าวเริ่ม

"ครอบครัวของผมมาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ แถบเทือกเขา คอร์ซิกา ในฤดูหนาวเราจะเหลือประชากรในหมู่บ้านแค่ 80 คนเท่านั้น ถ้าคุณเติบโตมาในที่แบบผม คุณจะถูกพร่ำสอนให้เคารพและอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ผมผูกพันกับธรรมชาติมาตลอดตั้งแต่อายุน้อย ๆ แล้ว"

"เมื่อเติบโตอีกหน่อยผมได้ใกล้ชิดกับทะเล ผมเห็นปัญหาของโลกหลายอย่าง เช่นเรื่องของ พลาสติก มันมีเยอะแยะเต็มไปหมด ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งตระหนักได้ว่า มนุษย์เรากำลังเดินบนเส้นทางที่ผิด"

"ผมก็เป็นแบบนี้เสมอมา อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และกังวลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม กับสภาวะโลกร้อนมาตลอด"  

Photo : Twitter | Mathieu flamini

แม้จะเป็นนักฟุตบอล แต่ ฟลามินี่ ที่มีรายได้ราวปีละ 6 แสนปอนด์หลังหักภาษี ก็ไม่เคยหยุดกังวลเรื่องนี้ได้ นั่นคือต้นเรื่องที่ทำให้เขาหาหุ้นส่วนในอิตาลีเพื่อทำธุรกิจนี้ เขาอาจจะไม่มีความรู้ แต่การศึกษาช่วยให้เขาเข้าใจ และรู้ถึงโอกาสที่จะแก้ไขปัญหาของโลกให้ถูกต้อง 

"การศึกษาปัญหานั้นคืออะไรที่สำคัญมาก สิ่งที่ผมและบริษัทของผมคิดและศึกษานั้นคือความหวังของผม ความหวังในการส่งโลกที่ถูกต้องให้กับกลุ่มคนรุ่นต่อไปขับเคลื่อนมันอย่างที่ควรจะเป็น" ฟลามินี่ ที่นอกจากจะเป็นนักธุรกิจแล้ว ยังเป็นนักเขียนอิสระเกี่ยวกับเรื่องสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ ว่าไว้ 

จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ แค่นี้นำมาสู่ธุรกิจระดับหมื่นล้าน ทุกวันนี้บริษัทของ ฟลามินี่ เติบโตขึ้นจริงไม่ได้มีแค่ข้อมูลในโลกออนไลน์ ในปี 2016 เขาซื้อหุ้นจากบริษัท Segetis ที่เป็นเป็นผู้ผลิตอนุพันธ์ของกรดเลวูลินิกในตลาดสหรัฐอเมริกา และถือครองสิทธิบัตรเกี่ยวกับพลังงานแทนกว่า 250 รายการ ขณะที่ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาได้กลายเป็นหุ้นส่วนของบริษัท American Process Inc. บริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานทดแทนขนาดใหญ่อีกด้วย 

Photo : Twitter | Mathieu flamini

ถึงตอนนี้หากมีใครถามว่า บริษัทของเขามีทรัพย์สินระดับหมื่นล้านปอนด์จริงหรือไม่ เขาคงไม่ต้องปฏิเสธอีกแล้ว เพราะมีการยืนยันจากเว็บไซต์เกี่ยวกับธุรกิจ verdict.co.uk ว่า ตอนนี้บริษัทของ ฟลามินี่ ได้รับการประเมินว่าจะอยู่ในตำแหน่งที่มีโอกาสดีในการครองตลาดกรดเลวูลินิก มูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้นี้ 

จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ได้ และบางครั้งการมองโลกเพื่อหวังจะแก้ปัญหาส่วนรวม ก็สามารถนำมาซึ่งผลตอบแทนที่เกินคาด เหมือนกับคำที่ว่ากันว่า "ยิ่งให้ ยิ่งได้" เพราะตอนนี้ ฟลามินี่ และบริษัทของเขากำลังได้รับมัน 

"คนเราไม่ต้องหวังที่จะเปลี่ยนแปลงโลกหรือฝันใหญ่ขนาดนั้นหรอก ทุกคนสามารถสร้างผลกระทบแง่บวกให้กับชุมชนของตัวเองได้ ด้วยการเริ่มทำสิ่งเล็ก ๆ ที่มีประโยชน์กับส่วนรวม คุณทำสิ่งเล็ก ๆ อย่างต่อเนื่อง คุณจะได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นแบบคาดไม่ถึง" 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook