"เวย์น รูนี่ย์" : ดาวรุ่งมหัศจรรย์โลกลูกหนังที่เจอคำวิจารณ์ตั้งแต่เด็กจนบั้นปลายอาชีพ

"เวย์น รูนี่ย์" : ดาวรุ่งมหัศจรรย์โลกลูกหนังที่เจอคำวิจารณ์ตั้งแต่เด็กจนบั้นปลายอาชีพ

"เวย์น รูนี่ย์" : ดาวรุ่งมหัศจรรย์โลกลูกหนังที่เจอคำวิจารณ์ตั้งแต่เด็กจนบั้นปลายอาชีพ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เล่นชุดใหญ่ให้กับ เอฟเวอร์ตัน ตอนอายุ 16 ปี ยิงประตูสุดสวยและถูกมองว่าเป็นดาวรุ่งที่ดีที่สุดในรอบ 20 ปี เอาเมื่ออายุ 17 ปี ก่อนย้ายทีมด้วยค่าตัวดาวรุ่งสถิติโลกตอนอายุ 18 ปี และเป็นนักเตะกำลังหลักของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึง ทีมชาติอังกฤษ ตั้งแต่ตอนนั้น

นี่คือกราฟความมหัศจรรย์ของ เวย์น รูนี่ย์ เมื่อครั้งอายุยังไม่พ้นวัยทีน.. เด็กหนุ่มชาวเอฟเวอร์โตเนี่ยน โตมากับการถูกสื่อจับตาทุกฝีก้าว แล้วเขาก็ดันมีเรื่องคาวๆ เรื่องฉาวๆ ให้สื่อได้เล่นข่าวเป็นประจำ แต่ที่สุดแล้ว เขาคือนักเตะอังกฤษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์

ยิ่งกว่าฝีเท้า คือการรับมือกับชื่อเสียง และการเล่นกับสื่ออังกฤษที่ขึ้นชื่อว่า "เอาให้ตาย".. ก่อนจะกลายเป็นสุดยอดแข้ง รูนี่ย์ จัดการกับคำวิจารณ์และพลังของสื่อสายดำอย่างไร?      

ติดตามได้ที่นี่

ฆ่าดาวรุ่ง ความสำเร็จของสื่ออังกฤษ? 

ในบรรดาวงการสื่อฟุตบอลของประเทศต่างๆบนโลกใบนี้ สื่ออังกฤษ ถือว่าเป็นสื่อที่ชอบเขียนข่าวให้มีผลกระทบกับนักเตะในประเทศของพวกเขามากที่สุด ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเตะอังกฤษ หรือนักเตะต่างชาติที่เล่นในพรีเมียร์ลีก หากว่าคุณกำลังผลงานดีติดลมบน ใครๆก็พูดถึงคุณในฐานะยอดนักเตะ เมื่อนั้นพวกสื่อจะเริ่มรุมทึ้งและขุดทุกแง่มุมของคุณออกมาจนหมด.. ถ้าคุณโชคร้าย เคยทำอะไรไม่ดีและมีหลักฐานทิ้งไว้จนพวกเขาหาเจอ สิ่งนั้นจะถูกนำเสนอผ่านข่าวพาดหัวหน้า 1 ทันที แม้เรื่องจะผ่านมานานนมเป็น 10 ปีก็ตาม 

1

สื่ออังกฤษ คือต้นตำรับการขายข่าวคาว การทำข่าวเจาะไปยังชีวิตนักเตะดังๆ หรือนักเตะที่กำลังจะดัง พวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่ได้กลับมา ภายใต้การสร้างความกดดันและแง่ลบในสภาพจิตใจของนักเตะ คือยอดขายและเรตติ้ง ซึ่งพวกเขาต้องแข่งกันกับสื่ออีกหลายๆฉบับที่มีเป้าหมายเหมือนกัน 

สำหรับนักเตะดาวรุ่งเองก็หนีไม่พ้น ยิ่งดาวรุ่งชาวอังกฤษที่เก่งขึ้นมาในระยะสั้นๆ ถือว่าเป็นอีก 1 เมนูจานโปรดของเหล่าสื่ออังกฤษ พวกเขามักจะยกย่องนักเตะคนนั้นเกินความจริง เพราะรู้ดีว่าคนอ่านชอบเสพข่าวแบบนี้.. บางครั้งดาวรุ่งคนนั้นๆก็เก่งจริง แต่บางทีสื่อก็เขียนข่าวไปก่อนแล้ว ทั้งๆที่เด็กคนนั้นเพิ่งลงสนามได้แค่ไม่กี่เกม 

สื่อมักจะเขียนข่าวกับดาวรุ่งประมาณว่า "xxx เป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม มีคุณสมบัติทุกอย่างที่พร้อมจะโตขึ้นมาเป็นนักเตะระดับโลก".. และถ้าเด็กคนนั้นเริ่มไม่ได้ลงสนาม พวกเขาจะทำเรื่องให้ยุ่งขึ้นไปอีก ด้วยการเลือกไปโจมตีโค้ชที่ไม่ใช้งานนักเตะคนดังกล่าว ซึ่งที่สุดแล้ว ปลายทางคือความกดดันที่ถาโถมใส่เหล่านักเตะผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะทั้งสิ้น 

ล่าสุดไม่นานมานี้ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ในสมัยที่คุมทีมเชลซี โดนสื่อวิจารณ์ทุกวันเกี่ยวกับการไม่ยอมให้ คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย นักเตะวัย 18 ปี (ในขณะนั้น) ของทีมลงสนามเป็น 11 ตัวจริง ซึ่งสุดท้าย ซาร์รี่ ก็ยอมรับว่า สื่ออังกฤษกับการเล่นข่าวที่ไม่สนอนาคตเด็ก คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้นักเตะหลายคนหลุดวงโคจรกลางคัน 

"คัลลัม อยู่ในสายตาผมเสมอ ผมดูเขาอยู่ตลอดนั่นแหละ แต่ที่สำคัญที่สุดคือพวกคุณ (นักข่าว) ต้องเพลาๆเรื่องการกดดันนักเตะหนุ่มชาวอังกฤษให้น้อยลงบ้าง"  

"เอาจริงนะ ผมแทบไม่เคยเห็นนักเตะวัย 18 ปี คนไหนเป็นนักเตะตัวหลักของทีมระดับท็อปเลย นักเตะอย่าง คัลลัม หรือนักเตะอังกฤษในวัยเดียวกับเขาหลายๆคน ควรได้เวลาในการปรับปรุงและพัฒนาตัวเอง ในขั้นตอนนี้มันสำคัญนะ (การไม่ถูกสื่อกดดัน) ถ้าเขาไปถูกทาง เราจะได้เห็นพวกเขาเป็นนักเตะระดับท็อปตอนอายุ 22-23 ปี"

"แต่ถ้าพวกเขาเติบโตมาไม่เป็นเช่นนั้น ผมก็คิดว่ามันเป็นเพราะพวกคุณนั่นแหละ ที่เอาชื่อของพวกเขาไปใส่บนพาดหัวข่าวมากเกินไป" ซาร์รี่ ว่าไว้ 

2

สื่ออังกฤษเขียนข่าวเชิงสรรเสริญแต่ผิดเวลาไปเยอะ เพราะพวกเขาเขียนตั้งแต่นักเตะลงเล่นแค่ไม่กี่เกมเท่านั้น และทุกครั้งที่มีข่าวแบบนี้ออกมา มันทำให้เกิดความกดดัน และปัญหาก็ส่งผลกับผู้เล่นเอง 

ตัวอย่างของนักเตะที่ได้รับการยกย่องว่าจะไประดับโลกตั้งแต่ยังเด็กในพรีเมียร์ลีก แต่สุดท้ายไปไม่ถึงฝันและไปได้ไม่ไกลกว่าที่อวยมีมากมาย หากนับเฉพาะยุคมิลเลนเนียมเป็นต้นมา สามารถยกตัวอย่างได้เพียบ.. 

ลุค ชอว์ ลงเล่นให้ เซาธ์แฮมป์ตัน ไปไม่ถึง 30 เกม พวกเขาบอกว่าคือแบ็กซ้ายระดับโลกที่จะยืนตัวจริงให้ทีมชาติอังกฤษไปอีก 10 ปี, แจ็ค วิลเชียร์ โดดเด่นตั้งแต่อายุ 18 ปี เล่นได้ดีสุดกับการเล่นให้ โบลตัน วันเดอเรอร์ส หลังผ่านการช่วยทีมหนีตกชั้น และสื่อบอกว่าเขาจะเป็น "นิว ชาบี" นี่ยังไม่ร่วมพวกที่ถูกบอกว่าเก่งตั้งแต่อายุ 15-16 ปี ได้รับคำยกย่องตั้งแต่ยังไม่ได้เล่นให้ทีมชุดใหญ่อย่าง ธีโอ วัลค็อตต์ และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ซึ่งที่สุดแล้วก็ไม่มีใครไปได้ถึงระดับที่สื่อตั้งเป้าหมายไว้สักคน 

อย่างไรก็ตาม ในกระแสของสื่ออันเชี่ยวกราด ย่อมมีผู้ว่ายทวนกระแสและเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้.. เวย์น รูนี่ย์ คือหนึ่งเดียวที่ไปได้จนสุดทาง กวาดความสำเร็จมากมาย เขาโดนสื่อคาดหวังแบบหมายหัวไว้ตั้งแต่อายุ 16 ปี แต่ รูนี่ย์ สามารถรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ จนก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับไอคอนในแบบที่นักเตะอังกฤษคนอื่นๆทำไม่ได้ คำถามคือ อะไรที่ทำให้เขาแตกต่างและเอาชนะสื่ออังกฤษจอมรุมทึ้งได้กันแน่?

อยู่กับคนที่ถูกคน 

เวย์น รูนี่ย์ ก้าวขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ให้กับ เอฟเวอร์ตัน ทีมบ้านเกิดและทีมที่เชียร์ในวัยเด็กตั้งแต่อายุ 16 ปี หลังจากนั้นเขาสร้างความมหัศจรรย์มากมาย และสื่อก็เริ่มทำงานของพวกเขา เรื่องราวของ รูนี่ย์ ในฐานะอนาคตของชาติผุดผ่านหน้าสื่อทุกวัน แต่น่าแปลกที่ข่าวยิ่งเยอะ รูนี่ย์ ก็ยิ่งทำอะไรที่มันเกินเด็กไปมากมาย สุดท้ายในปี 2004 เขากลายเป็นนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยราคา 32 ล้านปอนด์ เป็นนักเตะอายุไม่เกิน 20 ปีที่ค่าตัวแพงสุดของโลก ณ เวลานั้น

3

รูนี่ย์ ลงเล่นให้ทีมปีศาจแดงนัดแรกในเกมกับ เฟเนร์บาห์เช่ และสามารถซัดแฮตทริกได้ จากนั้นเขาก็กลายเป็นอาหารจานโปรดของสื่อในทันที รูนี่ย์ คือดาวรุ่งที่เล่นฟุตบอลด้วยความก้าวร้าวไม่กลัวใคร มีอยู่เกมหนึ่งในปี 2005 ที่ ยูไนเต็ด พบกับ โบลตัน ในเกมนั้น รูนี่ย์ เอามือตบหน้า ทาล เบน ฮาอิม กองหลังของ เดอะ ทรอตเตอร์ส แล้วพูดว่า "อะไรของมึง? ไอ้ถุงขี้!" 

กล้องถ่ายทอดสดจับภาพได้ และมีการอ่านปากของ รูนี่ย์ อย่างชัดเจน ในช่วงเวลานั้นเขาโดนด่าเรื่องพฤติกรรมที่จองหองอวดดีเกินอายุ รูนี่ย์ เองก็ไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่โชคดีที่เขาอยู่ภายใต้การดูแลของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน.. เขาไม่เคยด่านักเตะตัวเองผ่านหน้าสื่อ ทว่าในฉากหลังนั้น ว่ากันว่ามันคือสิ่งที่ตรงกันข้าม  

"เราคงต้องถามคุณหน่อย กับเหตุการณ์ที่ เวย์น รูนี่ย์ ไปตบหน้าของนักเตะ โบลตัน ทำไมเขาทำอะไรที่น่าเกลียดขนาดนั้น?" นักข่าวเริ่มถามอย่างมีนัยยะ ขณะที่ เฟอร์กี้ ก็ตอบกลับอย่างใจเย็นว่า

"ก็เพราะว่าเขาคือ เวย์น รูนี่ย์ และนี่คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด.. ใช่ เขาทำมันจริง และผมสามารถเข้าใจได้ว่าเราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่สิ่งที่คับข้องใจของผมคือ ทำไมคุณพูดถึงมุมนี้อย่างเดียว? นักเตะของ โบลตัน แกล้งทำเป็นเจ็บ และลงไปนอนถ่วงเวลาอยู่ 2-3 นาที ดังนั้น ผมคิดว่าผมรับได้กับที่เขาทำอย่างนั้นนะ" เฟอร์กี้ ตอบซื้อใจ รูนี่ย์ แต่นักข่าวไม่ยอม ซักไซ้ต่อไปว่า 

"ถามจริง คุณรับได้ที่เขาตบหน้าคนอื่นเหรอ?" พวกเขาถาม เฟอร์กี้ อีกครั้ง และนั่นทำให้ เฟอร์กี้ เลิกใจเย็นอีกต่อไป

"จะถามไปหาพระแสงอะไร? ถามไปพวกคุณก็ไม่เอาเรื่องเหตุผลไปเขียนอยู่แล้ว พวกคุณแม่งตอแยกับ เวย์น รูนี่ย์ เพราะว่าเขาตบหน้าคนอื่น โดยที่ไม่สนห่าอะไรเลยว่า ในเกมนั้นมันเกิดเรื่องบัดซบอะไรขึ้นบ้าง? พวกคุณแม่งเล่นงานเขายิ่งกว่าที่ เอฟเอ สั่งแบนเสียอีก"

"ผมรู้ พวกคุณจะเอาเขาไปเขียนว่าเป็นพวกขี้โกง มันเป็นแบบนั้นมาเสมอนั่นแหละ คิดอะไรไม่ออก พวกคุณจะเขียนข่าวถึง เวย์น รูนี่ย์ แล้ว เบน ฮาอิม เขาไล่หวดทั้งเกมแถมยังตอแหลนอนถ่วงเวลายั่วประสาททั้งวันล่ะ? ทำไม รูนี่ย์ ต้องเป็นคนรับกรรมอยู่คนเดียวด้วยวะ?" ป๋าตอกกลับ

"เพราะเขาดังกว่าเหรอ? ขำตายห่าล่ะ เขาก็คนธรรมดาเหมือนกับทุกๆคนนั่นแหละ เขาอายุ 19 ปีนะ พระเจ้า พวกคุณอยากจะให้เขาเป็นวีรบุรุษของชาติเหรอ? จะมารีดเลือดจากเขาให้หมดตัวหรือยังไง? จำไว้ให้ดีๆ.. เขา อายุ 19 ปีนะ โอเค๊?" 

4

ฟังดูเหมือน เฟอร์กี้ ระเบิดอารมณ์เกินเหตุ และเอาใจนักเตะของเขาเกินไป แต่มันมีนัยยะแอบซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ เพราะหลังจากด่านักข่าวเละเทะเป็นเวลา 30 วินาทีด้วยใบหน้าแดงก่ำ ความเป็นรุ่นใหญ่ของ เฟอร์กี้ สร้างความกดดันอบอวลห้องสื่อในบัดดล แต่เผลอแวบเดียว เขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นธรรมดาเรียบเฉย และถามสื่ออีกครั้งว่า "เอาล่ะ ทีนี้ใครมีคำถามอะไรอีกมั้ย?" 

แดเนี่ยล เทย์เลอร์ นักข่าวของ The Athletic ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น สมัยที่เจ้าตัวยังทำงานให้กับ The Guardian วิเคราะห์ในภายหลังว่า นี่คือเกมจิตวิทยาของ เฟอร์กี้ เขาทำให้สื่อทุกคนเกรง เขาสร้างประเด็นใหม่ขึ้นมา จากนั้นข่าวของ รูนี่ย์ ก็หายไป กลายเป็นข่าว เฟอร์กี้ ตบะแตกแทน นอกจากนี้ การระเบิดอารมณ์ยังซ่อนความหมายบางอย่างให้กับสื่อที่อยู่ในการสัมภาษณ์วันนั้นด้วย 

"เขาต้องการให้คนอื่นๆเริ่มคิดว่า วันหลังถ้าจะถามอะไรต้องทบทวนคำถามนั้นก่อนดีๆ เพราะกฎมีอยู่ว่า สื่อจากค่ายไหนถามคำถามที่ไม่เหมาะสมจะโดนแบนไม่ให้เข้าห้องแถลงข่าว ดังนั้น สื่อก็เริ่มกลัวที่จะถามคำถามเกี่ยวกับ รูนี่ย์"

"เฟอร์กี้ รู้ดีว่า รูนี่ย์ มีความกระหายและไม่รู้จักพอ แต่สำหรับเรื่องของการถูกกดดันผ่านหน้าสื่อนั้น ต่อให้เป็นนักเตะที่เก่งแค่ไหน ด้วยวัยที่ยังเด็กมาก ไม่มีใครพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งเหล่านี้" เทย์เลอร์ เขียนในบทความของเขา 

หลังจากคำถามของ เฟอร์กี้ ที่บอกว่า "มีใครจะถามอะไรอีกมั้ย?".. ไม่มีนักข่าวคนใดยกมือ การแถลงข่าววันนั้นถือเป็นอันสิ้นสุด ก่อนจะออกจากห้อง เฟอร์กี้ พูดว่า "จบแล้วใช่มั้ย? โอเค ทีนี้พวกคุณออกไปได้ การแถลงข่าวจบแล้ว พวกคุณทำให้ผมเสียอารมณ์นะ รู้ไว้ด้วย วิเศษมาก ขอบใจทุกๆคน"  

5

เวย์น รูนี่ย์ คือเพชรเม็ดงามที่ เฟอร์กูสัน รู้อยู่แก่ใจว่า ด้วยความเป็นเด็ก หากปล่อยให้สื่อเล่นงาน รูนี่ย์ โดยที่เขาไม่กางปีกปกป้อง เรื่องมันอาจจะเตลิดไปกันใหญ่ เขาต้องการให้ท้าย รูนี่ย์ ไปจนถึงช่วงเวลาหนึ่งที่เด็กคนนี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ดูแลตัวเองได้ ดังนั้น ไม่ว่าสื่อจะมอง รูนี่ย์ เป็นปีศาจหรือเป็นนักเตะนอกรีตอย่างไร? สำหรับ เฟอร์กี้ แล้ว เขาจะออกหน้ารับแทนอย่างเต็มใจ 

"เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ เราต้องดูแลเขาให้ดีในช่วงเวลาที่เขากำลังจะเปลี่ยนจากเด็กผู้ชายเป็นลูกผู้ชาย เพราะเขาคือนักฟุตบอลตัวจริงที่มุ่งมั่น ความหิวกระหายที่ไม่มีที่สิ้นสุดคือสิ่งที่เขาต้องรักษามันไว้ให้ได้" เฟอร์กูสัน กล่าว 

ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากนั้น รูนี่ย์ โดน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จัดหนักเรื่องพฤติกรรมขนาดไหน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เมื่ออยู่หน้าต่อหน้ากล้องและไมโครโฟน "รูนี่ย์ ถูกเสมอ" นี่คือกฎของ เฟอร์กี้ ในวันที่ รูนี่ย์ ยังมีอายุในช่วงวัยทีนเอจ

จัดการกับทุกเรื่องด้วยความเป็นตัวเอง

เคล็ดลับการอยู่รอดภายใต้ความกดดันของสื่อ ไม่ว่าจะอวยเกินจริง หรือโดนด่าเกินงาม ของ เวย์น รูนี่ย์ คือการตั้งทัศนคติว่า "ไม่มีอะไรต้องกลัว" เพราะมันคือธรรมชาติของสื่ออังกฤษที่เป็นแบบนี้มานานนมเกินแก้ไขได้ ข่าวฉาวขึ้นหน้า 1 ส่วนข่าวการทำดีเพื่อสังคมจะอยู่ในกรอบเล็กๆที่มองแทบไม่เห็น นั่นคือความจริงของชีวิต เวย์น รูนี่ย์ 

6

รูนี่ย์ เคยมีข่าวฉาวๆในชีวิตเกิดขึ้นเพียบ อย่างการโดนจับได้ว่าแอบไป "ซื้อกิน" รวมถึงเรื่องการเที่ยวดึกจนเช้าในระหว่างเข้าแคมป์ทีมชาติอังกฤษ และวิธีรับมือสื่อของเขาในวันที่ เฟอร์กี้ ปล่อยให้เขารับผิดชอบเองนั้นมีหลายแบบ หนึ่งคือ รูนี่ย์ มักจะตอบคำถามกับสื่อแบบสั้นๆ ไม่ได้พูดอะไรยืดยาว เพราะการพูดมากเกินไป มักจะโดนสื่อนำไปบิดเบือน  

ไม่ว่าข่าวที่มีจะมากขนาดไหน แต่การรับมือกับสื่อนั้นยอดเยี่ยม รูนี่ย์ ในช่วงวัยรุ่นแทบไม่มีช่วงใดที่ฟอร์มตกเลย เขาโฟกัสเรื่องในสนามได้ชัดเจนมาก เฟอร์กี้ ยอมรับว่าความชื่นชอบในตัว รูนี่ย์ ที่สำคัญที่สุดคือ รูนี่ย์ เป็นคนที่ไม่กลัวความจริง มีนักเตะไม่กี่คนที่กล้าต่อปากต่อคำกับ รอย คีน หรือแม้กระทั่งเถียงกับ เฟอร์กี้ ในห้องแต่งตัว ที่สำคัญที่สุด รูนี่ย์ ไม่เคยอยากโดดเด่นบนหน้าสื่อ เขาไม่เคยวุ่นวายเรื่องทรงผม และไม่กลัวเรื่องการปรากฏตัวสื่อแม้ตัวเองจะอยู่ในสภาพที่ไม่หล่อเป๊ะ เขาเคยออกรายการโทรทัศน์ในแบบที่ใส่รองเท้าแตะมาแล้ว 

ในงานการกุศลของสโมสรที่ชื่อว่า United for UNICEF รูนี่ย์ โดนสื่อล็อกตัวและเริ่มอำด้วยมุกตลกของคนหัวล้าน ก่อนจะถามรูนี่ย์ว่า "เคล็ดลับในการมีชีวิตอยู่ในขณะที่หัวล้านคืออะไร?" ซึ่ง รูนี่ย์ ที่ความจริงวิตกกับเรื่องดังกล่าวอย่างหนักถึงขั้นต้องไปปลูกผมไม่ตอบอะไรสักคำ เพียงแต่เขาจ้องหน้านักข่าวคนนั้นและทำสายตาที่เย็นชา ปล่อยให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตัดสินกันเอง   

เหนือสิ่งอื่นใด คือภรรยาของเขา คอลีน รูนี่ย์ เป็นประเด็นสำคัญอีกอย่างของเรื่อง ตัวของ คอลีน เองไม่เคยออกมาสาวไส้ให้กากิน อย่างที่ได้กล่าวไป หลายครั้ง รูนี่ย์ มีข่าวคาวเรื่องรักๆใคร่ๆ แต่เธอที่คบกับ รูนี่ย์ มาตั้งแต่วัยรุ่นยังคงยืนหยัดเคียงข้างเขาอยู่เสมอ และบอกกับสื่อในเชิงที่ว่า ช่วงเวลาที่ รูนี่ย์ ซื้อกินนั้น ทั้งคู่อยู่ในช่วงเวลาที่ห่างกันสักพัก 

7

"คอลีน เลือกจะเคียงข้าง รูนี่ย์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นั่นคือสิ่งที่น่าชื่นชมมาก เธอแข็งแกร่งและปกป้องเด็กๆ รวมถึงครอบครัวของเธออย่างดุเดือด นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ชีวิตของ รูนี่ย์ ง่ายขึ้นเยอะ" ลิซซี่ คันดี้ เพื่อนสนิทของ คอลีน กล่าว

รูนี่ย์ มักเป็นตัวของตัวเองเสมอ และเลือกพูดแต่สิ่งดีๆในฐานะทีมมากกว่าตัวเอง ในวันที่เขายิงประตูสวยๆได้ รูนี่ย์ จะแบ่งปันคำสรรเสริญไปให้กับเพื่อนร่วมทีม เขาพยายามไม่อวดดี แต่มั่นใจ ตอบคำถามตามความสามารถของตัวเอง แต่ก็ไม่ลืมที่จะถ่อมตัวอยู่เสมอ 

เมื่อโตขึ้น เวย์น รูนี่ย์ ก็รับมือกับสื่อเก่งขึ้น ไม่ว่าจะมีไมโครโฟนและกล้องหรือไม่ พฤติกรรมของเขาก็เหมือนเดิม รูนี่ย์ ก้าวข้ามความกดดันจากสื่อได้ เขาระแวดระวังคำพูดเป็นอย่างดี หากไม่มีการล้ำเส้นของสื่อจริง รูนี่ย์ มักจะพูดเรื่องราวชีวิตและข่าวแง่ลบของตัวเองน้อยมาก มีแต่เรื่องในสนามเท่านั้นที่เขาจะเปิดปากให้สัมภาษณ์เท่าที่จำเป็น ซึ่งหากวัดกันแต่เรื่องในสนามนั้นต้องยอมรับว่า ย้อนกลับไปในสมัยที่เขาพีกๆ สื่อก็แทบไม่มีอะไรมาเล่นงานเขาได้เหมือนกัน 

8

ทุกวันนี้ เวย์น รูนี่ย์ กลายเป็นตำนานไปแล้ว เขาผ่านคำวิจารณ์และข่าวร้ายมากมาย จนที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรนัก เขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 5 ครั้ง, เอฟเอคัพ 1 ครั้ง, ลีกคัพ 3 ครั้ง, แชมเปียนส์ลีก, ยูโรปาลีก และ สโมสรโลก อย่างละ 1 ครั้ง คว้าทุกแชมป์ที่ลงแข่งขันในสมัยที่อยู่กับ ยูไนเต็ด พร้อมทั้งเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมปีศาจแดงและทีมชาติอังกฤษอีกด้วย 

สิ่งที่ง่ายต่อการรับมือกับสื่อที่สุดสำหรับ รูนี่ย์ คือเล่นในสนามให้ดีในระดับยอดเยี่ยมจนไร้การจับผิดและวิจารณ์ใดๆ และถ้าหากมีใครคิดจะวิจารณ์ขึ้นมาจริงๆ ก็จงทำใจว่ามันคือเรื่องธรรมดาของสื่อและชีวิตนักฟุตบอลชื่อดัง.. สิ่งเดียวที่จะก้าวข้ามได้ คือปล่อยผ่านและกลับไปทำซ้ำ นั่นคือใช้ฟอร์มในสนามกลบทุกเรื่องไปโดยปริยาย

9

รูนี่ย์ ค่อยๆเติบโตขึ้น เรียนรู้ที่จะจัดการกับตัวเองในฐานะนักฟุตบอลชื่อดังโดยที่ไม่เสียความเป็นตัวของตัวเอง และเหนือสิ่งอื่นใด คือการมีคนรอบข้างที่ช่วยให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้นเยอะ องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ รูนี่ย์ คือหนึ่งเดียวในนักเตะดาวรุ่งของอังกฤษที่โดนสื่อรุมทำข่าวทุกวินาที แต่สุดท้ายเขาปล่อยให้เรื่องเหล่านั้นจบลงแค่บนหน้ากระดาษเท่านั้น

10

"สื่ออังกฤษแม่งปัญญาอ่อน พวกเขาบินมาโปรตุเกสเพื่อตามถ่ายรูปผมและครอบครัว" นี่คือคำที่เขาเคยด่า ปาปาราซซี่ ที่ตามแอบถ่ายรูปครอบครัวเขาในช่วงพักร้อนที่ชายหาดในประเทศโปรตุเกส 

ดีมาดีกลับ ร้ายมาก็นิ่งไว้ แต่ถ้าล้ำเส้นเมื่อไหร่ก็จัดหนัก.. นี่คือสไตล์ของ เวย์น รูนี่ย์ อย่างแท้จริง

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ "เวย์น รูนี่ย์" : ดาวรุ่งมหัศจรรย์โลกลูกหนังที่เจอคำวิจารณ์ตั้งแต่เด็กจนบั้นปลายอาชีพ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook