ดิเอโก ซิเมโอเน : อดีตแข้งแบดบอยปลุก แอตฯ มาดริด สู่ทีมเบอร์ 1 สเปนได้อย่างไร ?

ดิเอโก ซิเมโอเน : อดีตแข้งแบดบอยปลุก แอตฯ มาดริด สู่ทีมเบอร์ 1 สเปนได้อย่างไร ?

ดิเอโก ซิเมโอเน : อดีตแข้งแบดบอยปลุก แอตฯ มาดริด สู่ทีมเบอร์ 1 สเปนได้อย่างไร ?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แอตเลติโก มาดริด กลายเป็นแชมป์ของ ลา ลีกา สเปน ในฤดูกาล 2020-21 ได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการก้าวพ้นจากเงาของ บาร์เซโลนา และ เรอัล มาดริด เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี และคนที่พาทีม ตราหมี วิ่งชนความสำเร็จยังเป็นกุนซือคนเดิมอย่าง ดิเอโก ซิเมโอเน  

เฮดโค้ชชาวอาร์เจนไตน์คนนี้ คือคนที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลก ยิ่งกว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา หรือแม้แต่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ... จากฐานเงินเดือนนั้นเราจะตามไปดูกันว่า ซิเมโอเน ทำอะไรบ้างในแต่ละวัน และเขาทำให้ทีมที่เคยเป็นได้แค่ตัวตัดแต้มใน ลา ลีก้า กลายเป็นแชมเปี้ยน 2 สมัยได้เช่นไร ?

ติดตามกับ Main Stand ที่นี่

เราห้าว...และห้าวกับทุกเรื่อง 

สมัยที่ ดิเอโก ซิเมโอเน ยังเป็นนักเตะ เขาคือกองกลางสายฮาร์ดแมนคนหนึ่ง สไตล์การเล่นดุดัน พยายามทำลายเกมรุกคู่แข่ง และทำหน้าที่เป็นขุมพลังแดนกลางของทีม ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาเล่นให้กับ อินเตอร์ มิลาน, ลาซิโอ หรือ แอตฯ มาดริด 

นักเตะจากคาแร็คเตอร์ดังกล่าวมักจะเป็นคนที่ควบคุมยาก มีความเชื่อในแบบของตัวเอง หรืออาจจะมีพฤติกรรมแปลก ๆ ที่ไม่ค่อยยอมใคร พวกเขาถูกมองว่ามีความเป็นแบดบอยจากสไตล์การเล่นในสนาม ... และดูเหมือนว่า ซิเมโอเน ก็เป็นคนประเภทนั้น

พื้นฐานของ ซิเมโอเน เป็นคนที่ตรงไปตรงมาก มักจะพูดในบางสิ่งที่อาจจะไม่ถูกหูบางคน และนั่นคือแนวทางของเขานั่นคือ "เชื่อมั่นในแนวคิด และไม่สนคำวิจารณ์" ความตรงไปตรงมานี้เองได้ส่งทอดมาถึงวันที่เขาเปลี่ยนสถานะจากนักเตะมาเป็นกุนซือ ซิเมโอเน ไม่เคยปล่อยให้ใครใหญ่กว่าเขา ไม่ว่าลูกทีมจะใหญ่มาเบอร์ไหนเขาไม่สนเลยสักนิด กล่าวคือนักเตะคนนั้นจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากเขาแน่ หากนักเตะคนนั้นไม่แสดงความเป็นมืออาชีพออกมา 

ซิเมโอเน เริ่มต้นอาชีพกุนซือในลีกอาร์เจนตินาบ้านเกิด ซึ่งในลีกฟุตบอลอเมริกาใต้นั้นทุกคนรู้ดี นักเตะยังมิได้มีความเข้มข้นทางวินัยมากเหมือนกับในระดับลีกใหญ่ ๆ ของยุโรป เรามักจะได้ยินเรื่องเล่าของกลุ่มนักเตะจากบราซิล, อาร์เจนตินา และชาติต่าง ๆ ในละแวกนี้ โดยเฉพาะกลุ่มนักเตะอายุเยอะที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว และย้ายกลับมาเล่นยังบ้านเกิด พวกเขามักจะไม่ค่อยเชื่อในกฎและข้อห้ามของสโมสร

 

กฎแปลก ๆ มีให้เห็นเสมอ โรนัลดินโญ่ ขอทำสัญญาไม่ลงซ้อมหากวันใดที่เขาเมามาซ้อมไม่ไหวเมื่อช่วงบั้นปลายอาชีพของเขาที่ลีกบราซิล, โรนัลโด้ นาซาริโอ ชื่นชอบชอบการปาร์ตี้ในทุก ๆ คืน เขาเคยงัดกับโค้ช และประธานสโมสรก็หนุนหลังเขา และที่ ริเวอร์เพลท ก็มี อาเรียล ออร์เตกา ตัวรุกระดับตำนานทีมชาติอาร์เจนตินา และเคยเป็นอดีตเพื่อนร่วมทีมของ ซิเมโอเน ในอดีต ซึ่ง ออร์เตกา ก็คล้าย ๆ กับนักเตะดังในบั้นปลายที่กล่าวมา เขาไม่ค่อยดูแลร่างกายเท่าไหร่ เพราะเชื่อว่าตนเองได้ลงสนามทุกนัดอยู่แล้ว ด้วยทักษะที่เหนือกว่าใคร 

ออร์เตกา สนิทกับทั้งประธานสโมสร โรดอลโฟ ดอนโนฟริโอ ซึ่งเป็นคนนำพาเขากลับสู่ทีมในปี 2006 ก่อนที่ 1 ปีจากนั้น ซิเมโอเน จะได้การแต่งตั้งเป็นโค้ช ซึ่ง ออร์เตกา ก็รู้ดีว่าการมีโค้ชเป็นเพื่อนเก่าจะทำให้เขาสบายเหมือนเดิม หรืออาจจะยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำไป ... แต่ขอโทษที ซิเมโอเน ไม่ได้เป็นแบบนั้น 

ซิเมโอเน เป็นคนมีฝัน เขาลงเรียนโค้ชตั้งแต่ก่อนจะแขวนสตั๊ดด้วยซ้ำไป แม้การคุม ริเวอร์เพลท จะถือเป็นงานใหญ่เพราะนี่คือ 1 ใน 2 ของสโมสรที่ดีที่สุดในประเทศ แต่สำหรับ ซิเมโอเน เขาไม่ได้กะจะหากินแค่ในอเมริกาใต้เท่านั้น เขาอยากจะไปยังยุโรป ทำทีมที่ยิ่งใหญ่เป็นแชมเปี้ยน ดังนั้นก้าวแรก ๆ ของเขาจึงไม่ได้เป็นการมาเล่น ๆ  เขาจริงจังในการทำงาน ไม่มีการให้ความสัมพันธ์ในอดีตมาทำให้งานของเขาเสียระบบ 

เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงปี 2008 หลังจากที่  ริเวอร์เพลท คว้าแชมป์อย่างเป็นทางการแล้ว และเหลือโปรแกรมตกค้างอีก 1 นัด ซึ่งในเกมสุดท้ายนั้นทุกคนหวังว่าจะเห็น ออร์เตกา ที่จะกำลังจะอำลาทีมจะสวมเสื้อหมายเลข 10 รับถ้วยแชมป์กลางสนามพร้อมกับปลอกแขนกัปตันทีม ... ทว่า ซิเมโอเน ไม่อนุญาต เมื่อเขาพบกับ ออร์เตกา ก่อนเกมจะเริ่ม 1 วัน ซึ่งเป็นการซ้อมแท็คติกเซสซั่นสุดท้าย ก่อนเกมรับถ้วยแชมป์จะมาถึง

 

"ดิเอโก (ซิเมโอเน) ได้กลิ่นเหล้าจากลมหายใจของ ออร์เตกา หลังจากนั้นเขาก็รู้ทันทีว่ากัปตันทีม ริเวอร์เพลท ไม่ได้นอนเลยตลอดเมื่อคืนที่ผ่านมา" โค้ชของทีมรายหนึ่งเล่ากับ FourFourTwo 

จากนั้น ซิเมโอเน ก็เริ่มทำในสิ่งที่เด็ดขาดที่สุดในแบบที่วงการฟุตบอลอาร์เจนตินาไม่เคยเห็น เขาด่า ออร์เตกา และบอกว่า "นายจะไม่ได้ลงเล่นในเกมวันพรุ่งนี้"

"อย่าบ้าน่า โชโล่ (ฉายาของ ซิเมโอเน) อย่าทำแบบนี้กับฉันเลย เราคุยกันได้นะเพื่อน นายให้ฉันลงเล่นวันพรุ่งนี้เถอะ นั่นคือเกมสุดท้ายของฉันกับสโมสรแล้วนะโว้ย" ออร์เตกา ว่ากับโค้ช ซิเมโอเน ที่เป็นรุ่นพี่ของเขา 3 ปี 

"ไม่ ... มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย เบอร์ริโต (ฉายาของ ออร์เตกา) ฟังนะ ฉันมอบเสื้อหมายเลข 10 และปลอกแขนกัปตันให้นายก็เพราะว่าฉันอยากให้นายเป็นผู้นำของเรา นายคิดถึงทีมบ้างไหม ? ดูสารรูปแกวันนี้สิ ยังไงก็เล่นไม่ไหว แกไม่พร้อมหรอก"

"คำขอร้องของนาย ฉันให้ได้ดีที่สุดคือการดูน้อง ๆ ลงสนามอยู่บนม้านั่งสำรอง นายลงมารับถ้วยแชมป์กับทีมได้แน่นอน แต่นายจะไม่ได้ลงสนามในเกมนี้" ซิเมโอเน ว่าเช่นนั้น

 

"บ้าชิบ ... ถ้าฉันไม่ได้ลงเล่น ฉันจะไม่มาแข่งในวันนั้นเลยเสียดีกว่า" ออร์เตกา ตอบกลับ 

"แบบนั้นก็อย่ามา ฉันจะไปเป็นคนบอกกับทีมให้เดี๋ยวนี้เลย" ซิเมโอเน ว่าส่งท้าย 

นั่นคือก้าวแรกในการเป็นโค้ชของ ซิเมโอเน เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จตามเป้าที่ประธานสโมสรตั้งไว้ แต่นั่นยังไม่เท่ากับตัวตนและคาแร็คเตอร์ของเขาที่แสดงออกมา ... นักเตะ ริเวอร์เพลท ยืนยันเรื่องการทำงานอย่างมีวินัยและซ้อมอย่างจริงจัง 

ซิเมโอเน เรียกร้องความพยายามจากลูกทีมของเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พจนานุกรมการทำงานของเขาไม่มีคำว่า "ทำเป็นเล่น" เรื่องทุกอย่างมันง่ายมากที่จะเข้าใจ สำหรับลูกทีมของเขานั่นคือ "จงฟังในสิ่งที่เขาบอก จงปฏิบัติตามในกฎที่เขาได้วางเอาไว้"

 

ถ้าทำได้ ซิเมโอเน จะเคารพคุณกลับอย่างแน่นอน ... แต่ถ้าไม่ คุณเองก็ต้องรับกับการปฏิบัติจากเขาให้ได้เช่นกัน นี่คือก้าวแรกในการเป็นโค้ชของเขา โค้ชจอมห้าว ที่พร้อมจะห้าวกับทุกเรื่องและทุกคน

ก่อร่าง สร้าง และเสริมเขี้ยวเล็บ 

ไม่มีใครปฏิเสธหรอกว่าเกมฟุตบอลสมัยใหม่ หรือไม่ว่าจะสมัยไหน ๆ คุณภาพด้านทักษะและฝีเท้าของนักเตะมีส่วนต่อผลการแข่งขันในแต่ละเกมอย่างจริงแท้ และแน่นอน นักเตะเก่งบันดาลประตูและความมหัศจรรย์ได้ แต่มันจะดีกว่าไหมที่นักเตะเก่งคนนั้นไม่ได้เก่แค่ฝีเท้า ... พวกเขาจะต้องรับแรงกดดันให้ และมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งและลงสนามแต่ละนัดด้วยความมั่นใจว่า "วันนี้เราจะต้องชนะแน่นอน" 

นักเตะของ แอตฯ มาดริด นับตั้งแต่วันที่ ซิเมโอเน เข้ามาคุมทีม เราะจะพบได้ว่าเขาไม่ได้ทุ่มซื้อใครแบบบ้าคลั่ง นักเตะแต่ละคนที่ย้ายมาอยู่กับทีมออกจะเป็นนักเตะชื่อไม่คุ้นกับแฟน ๆ ที่ติดตามข่าวสารเลยด้วยซ้ำไป สิ่งที่ ซิเมโอเน ทำคือเข้าใจงบประมาณ หาคนที่ใช่ ฝีเท้าดีในระดับหนึ่ง แต่หัวใจต้องแกร่งมาก มากพอจนเชื่อว่าพวกเขาสามารถเอาชนะได้ทุกทีม แม้ว่าฝีเท้าจะเป็นรองก็ตาม

 

"ดิเอโก ซิเมโอเน เป็นคนแบบนั้นมาตลอด เขาเป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างอุ่นใจ ถ้าเปรียบกับทหารก็คงเหมือนกับผู้นำที่เราต้องการให้อยู่ในสงคราม" ปักซี่ เฟไรร่า เพื่อนร่วมทีมของเขาสมัยที่ยังเป็นนักเตะของ แอตฯ มาดริด กล่าว

"ซิเมโอเน เป็นโค้ชที่หลงใหลในเกมฟุตบอลมาก เขาปลูกฝังจิตวิญญาณของทีม จุดไฟให้มันดุเดือดถึงขีดสุด ผู้เล่นที่จะลงสนามจะต้องรู้สึกว่าเหมือนกำลังจะเดินเข้าสู่สรภูมิรบอย่างแน่นอน คุณคงจะเคยเห็นนักเตะของ แอตเลติ ทำตัวเป็นกำแพงมนุษย์กันมาแล้วใช่ไหมละ"

"พวกเขาพุ่งโหม่งสกัดในจังหวะอันตราย พยายามบล็อกลูกยิงของคู่แข่งอย่างสุดตัว พวกเขาเป็นกำแพงที่ทำให้แนวรุกของคู่แข่งไม่อาจเจาะเข้ามาได้เลย ความลับที่ทำให้แอตเลติเป็นกำแพงมนุษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือ พวกเขาไม่ได้ต่างคนต่างทำ พวกเขาเชื่อเหมือนกันทั้งทีม มีความสามัคคีอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งเหล่านี้ปรากฎให้พวกเราได้เห็นเสมอนั่นแหละ" ปักซี่ กล่าว 

นั่นคือส่วนของเกมรับที่ไม่ว่ายุคไหน ซิเมโอเน ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก หลายคนวิจารณ์ว่าเป็นอักลี่ฟุตบอลที่น่าเบื่อ แต่ ซิเมโอเน ไม่คิดเช่นนั้น เพราะการเล่นเกมรับคือ "เส้นทางสู่ชัยชนะในแบบที่เป็นไปได้ที่สุดสำหรับทีมของเขา" 

"ผมเล่นให้กับ ซิเมโอเน 9 ปี ผมบอกเลยว่าเราประสบความสำเร็จได้ก็เพราะว่าเขาทำให้นักเตะทุกคนเชื่อ นักเตะทุกคนต้องยอมตายเพื่อเขาให้ได้ก่อน หลังจากนั้นเราจะได้เห็นเองว่าเราสามารถแข่งกับทีมที่นักเตะดังกว่า แข็งแกร่งกว่าได้ ... เรามีความเชื่อมั่นอย่างมากในตัวของเขา เราพร้อมร่วมหัวจมท้ายกับเขา และเช่นเดียวกัน เขาก็พร้อมจะร่วมหัวจมท้ายไปกับคุณด้วย" 

"เขามีหน้าที่ชี้ทาง และเดินนำหน้าพวกเราไป นั่นคือวิธีที่ แอตฯ มาดริด บรรลุสิ่งต่าง ๆ ที่พวกคุณได้เห็นกัน" ดิเอโก โกดิน นักเตะกัปตันทีมคนโปรดของ ซิเมโอเน กล่าว 

แล้วอีกอย่าง ... คุณไม่อาจจะเรียกทีมของ ซิเมโอเน ว่าเป็นจอมอุดแสนขี้ขลาดได้เลย เพราะถึงแม้เด็ก ๆ ของเขาจะตั้งใจเล่นเกมรับกันทั้ง 11 คน แต่ "ทัศนคติ" ที่เขาใส่ให้ลูกทีมคือ ต่อให้เล่นแบบนี้ แต่สุดท้ายต้องเป็นผู้ชนะให้ได้ อย่างแรกนักเตะต้องเชื่อในแนวทางนี้ก่อน ทุกคนต้องปรับตัวตามสิ่งที่ ซิเมโอเน เชื่อ และหากพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อไหร่ เมื่อนั้นลูกทีมของเขาจะเข้าใจเองว่า "เราชนะได้ทุกทีม" 

โกเก้ กัปตันทีมชุดแชมป์ลีกครั้งล่าสุด ยอมรับว่าแม้ทีมของเขาจะเล่นเกมรับเป็นหลัก แต่ทุกคนเชื่อเสมอว่าทีมจะต้องทำประตูได้ หากมีสมาธิกับเกม และยึดติดกับคำสั่งของโค้ช ซิเมโอเน มากพอ

"โชโล่ บอกให้เราทำงานต่อไปแบบที่เคยเป็นมา เขาไม่เคยตั้งข้อสงสัยให้กับแผนการเล่นของตัวเอง หรือแม้แต่ตั้งข้อสงสัยในตัวพวกเราเลยแม้แต่วินาทีเดียว ... ทุกครั้งที่เราเล่นเกมรับ เขาเตือนสติเสมอ 'เชื่อมั่นในตัวเองเอาไว้ เดี๋ยวพวกนายก็ยิงได้' เขามักจะพูดเช่นนี้" กัปตันทีมชุดปัจจุบัน และเด็กปั้นของทีมตราหมีกล่าว 

แนวคิดแบบนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่ที่ ซิเมโอเน เป็นกุนซือของ แอตฯ มาดริด ในตอนแรก เขาซื้อนักเตะแต่ละคนด้วยความเชื่อว่านักเตะคนนั้นจะเปลี่ยนแปลงเป็นนักเตะที่ลงกับระบบทีมของเขาได้ เขาเคยซื้อ อองตวน กรีซมันน์ มาจาก เรอัล โซเซียดาด และ กรีซมันน์ ในตอนย้ายมาใหม่ ๆ ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมทีมจะต้องเล่นเกมรับมากมายขนาดนั้น และต้องเน้นเรื่องวินัยในการเล่นเกมรับแบบทั้งทีม ซึ่งตัวของ กรีซมันน์ ก็เหมือนนักเตะเกมรุกคนอื่น ๆ ชอบเล่นเกมบุก ชอบโจมตีฝ่ายตรงข้าม มากกว่าที่จะต้องคอยวิ่งไล่บอลแบบที่ ซิเมโอเน สั่งให้เขาทำ

"เป็นลูกทีมของ ซิเมโอเน นั้นต้องเตรียมตัวให้ดี เขาเป็นโค้ชที่เข้มงวดมาก ๆ เรื่องระเบียบวินัย ในพาร์ทของการฝึกและออกกำลังกาย เขาจ้ำจี้จ้ำไชผมหนักมาก และสิ่งนั้นเปลี่ยนผมไปอย่างสิ้นเชิง" 

"6 เดือนแรกในการเล่นกับ แอตฯ มาดริด ผมยอมรับว่าผมต้องดิ้นรนเป็นอย่างมาก แต่ผมเชื่อเขา ผมทำงานหนักทุกวัน และไม่นานนักผมก็กลายเป็นนักเตะตัวหลักของเขา" กรีซมันน์ ดาวเตะชุดแชมป์ ยูโรปา ลีก ฤดูกาล 2017-18 กล่าว

นักเตะของ แอตฯ มาดริด ในยุคของ ซิเมโอเน มีคาแร็คเตอร์เช่นนั้นเสมอ แม้ในวันที่พวกเขาย้ายเข้ามา พวกเขาจะยังงงและสับสนกับแนวทางของโค้ช แต่สุดท้าย ซิเมโอเน เปลี่ยนพวกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า 

เปลี่ยนจากนักเตะโนเนมให้กลายเป็นนักเตะแถวหน้า เปลี่ยนจากผู้เล่นเกรดรองให้กลายเป็นผู้เล่นที่สามารถเอาชนะได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนเสือเฒ่าที่หลบมาเลียแผลใจอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ ให้กลับมาเป็นกองหน้าที่มีไฟลุกโชน และมีสายตานักฆ่าเหมือนกับหนุ่ม ๆ ทุกคนเปลี่ยนแปลงได้ภายใต้ความเชื่อมั่นต่อโค้ชของเขา 

เขี้ยวเล็บของนักเตะ แอตฯ มาดริด เป็นสิ่งทุกคนเคยเห็นเสมอ เล่นเกมจิตวิทยา เข้าหนักรุนแรง เล่นเกมรับอย่างแข็งขัน และเป็นตัวแสบเมื่อได้โอกาสสวนกลับ ถ้าหากเป็นมวยทรงมวยในแบบ ซิเมโอเน คือมวยที่มีน้ำอดน้ำทนสูง การ์ดแน่น คางแข็งอย่างกับเหล็ก แถมยังมีชั้นเชิงในการชิงจังหวะชกกลับด้วยหมัดอันหนักหน่วงอีกด้วย

หัวใจของฟุตบอล 

หัวใจของฟุตบอลสำหรับ ซิเมโอเน คืออะไร ? ... เขาเคยกล่าวว่า ถ้าไม่รู้จักตัวเองให้ดีก็อย่าออกไปสู้จะดีกว่า เขารู้ข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ แอตฯ มาดริด มี ทีมไม่ได้มีเงินมากเท่า และไม่ได้มีนักเตะมาตรฐานสูงเท่ากับนักเตะของ บาร์เซโลนา หรือ เรอัล มาดริด ที่เป็นคู่แข่งร่วมลีก ดังนั้น ถ้าจะทำให้ทีมได้แชมป์ เขาเองก็ต้องรู้จักนักเตะของเขาให้ดีที่สุด 

"ความแตกต่างระหว่าง เรา ... เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า คืองบประมาณราว 400 ล้านยูโร" เขาเคยว่าไว้ 

เก่งที่สุดตรงไหน เอาส่วนนั้นออกมาโชว์ ด้านไหนที่อ่อนที่สุด จงเก็บซ่อนมันเอาไว้อย่าให้ใครได้เห็น นั่นคือแนวทางของเขาเสมอมาจนกระทั่งวันนี้ 

"ถ้าถามนักเตะหลาย ๆ คนพวกเขาจะบอกว่า ผมอยากจะเล่นเหมือนกับ บาร์เซโลนา ... นั่นเรื่องปกติ พวกเขามีฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเราไม่ใช่ บาร์เซโลนา และเราจะไม่ทำตามพวกเขาเพื่อให้เป็นแบบนั้น" ซิเมโอเน กล่าวถึงปรัชญาของเขา

"ใครก็ชอบบอลคอนโทรล (ควบคุมเกม เล่นเกมรุกมากกว่าเกมรับ) แต่สำหรับผม ผมคิดว่ามันไม่ใช่ทั้งหมด ผมว่ายิ่งครองบอลมากเท่าไหร่ ทีมตรงข้ามที่เล่นเกมรับก็เล่นง่ายขึ้นเท่านั้น... อย่าเข้าใจผิดล่ะ การครองบอลเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อเป็นฝ่ายครองบอลแล้ว ต้องทำให้มีประสิทธิภาพ ครองบอลอย่างมีจุดมุ่งหมาย  ต้องทำให้ทีมคู่แข่งตั้งขบวนไม่ทัน จับจังหวะไม่ถูก ต้องโงหัวไม่ขึ้น ต้องทำให้พวกเขาทรมานสุดที่ต้องไล่บอลกันโดยไม่รู้จุดจบ" เขากำลังพูดถึงคุณภาพนักเตะในเกมรุกที่ต้องมีสูงมากจึงจะทำตามที่เขากล่าวมาได้ ซึ่งเขายอมรับ แอตฯ มาดริด ของเขายังไม่ถึงขั้นนั้น 

"ผมคิดถึงทีมวันละ 25 ชั่วโมง ไม่ใช่ 24 ชั่วโมงอย่างที่คุณเข้าใจ ... หลายปีมาแล้วผมได้รับรู้ว่าโค้ชที่ดีจะต้องเก็บส่วนที่อ่อนแอที่สุดเอาไว้ และเอาจุดแข็งที่มีมาเป็นแนวรบแถวหน้าแทน เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของทีมไม่ใช่ตัวบุคคล" 

"ผมทำให้ทีมของผมเกิดการแข่งขันกันจากภายใน เพราะการแข่งขันในทีมทำให้นักเตะในทีมของคุณแข็งแกร่งขึ้น ได้เห็นจุดอ่อนและความผิดพลาดของตัวเองโดยมีคนที่นำหน้าคุณเป็นเงาสะท้อน ถ้าพวกเขาปรับปรุงตัวเองได้ พวกเขาก็พร้อมจะเป็นผู้ชนะ"

นอกจากแท็คติกและแนวคิดในการฝึกซ้อมและซึมซับวิธีเล่นแบบ "ซิเมโอเน บอล" แล้ว สิ่งที่ ซิเมโอเน ทำให้ทีมของเขาโดดเด่นได้เสมอคือ การทำให้ลูกทีมเขาเป็นพวกเล่นดีเมื่อถึงเกมใหญ่ ซิเมโอเน พยายามทำให้ลูกทีมของเขาขาไม่สั่น ทำผลงานออกมาเป็นปกติ และมีสมาธิกับการทำงานได้เสมอ บาเยิร์น มิวนิค, ลิเวอร์พูล, บาร์เซโลน่า หรือ เรอัล มาดริด คือทีมลูกทีมมของ ซิเมโอเน เชือดมาแล้วทั้งนั้น 

"จะเกมใหญ่เกมเล็ก เด็ก ๆ ของผมก็รู้ว่าพวกเขาต้องทำอะไร เมื่อเกมสำคัญ ๆ มาถึง โดยเฉพาะเกมฟุตนัดชิงชนะเลิศ หรือเกมตัดสินแชมป์ แค่พวกเขาเดินมาห้องแต่งตัว พวกเขาก็รู้แล้วว่าผมจะพูดอะไร ... พวกนายไม่ได้มามาเพื่อชูถ้วยแชมป์ แต่พวกนายมาเพื่อลงสนามและเอาชนะพวกเขาให้ได้ ผมบอกพวกเขาแบบนี้เสมอ" ซิเมโอเน กล่าว 

"ในฟุตบอล ลา ลีกา ร้อยปีดีดักมันก็จะมีอะไรไม่ต่างกันมากมายนักหรอก แชมป์จะตกเป็นของ เรอัล มาดริด หรือ บาร์เซโลนา เสมอ พวกเขามีทีมที่ยอดเยี่ยม มีมาตรฐานสูงเกินกว่าจะมาตายน้ำตื้น และหลุดจากการลุ้นแชมป์ ... ดังนั้นความคิดเห็นของผมเป็นเช่นเดิมเสมอไม่เปลี่ยนแปลง ทัศนคติคือกุญแจสำคัญ การจัดการกับความรู้สึกในการแข่งขัน คือกุญแจที่ไขประตูสู่ชัยชนะ" 

ฤดูกาล 2020-21 ที่ แอตฯ มาดริด ของ ซิเมโอเน จบลงด้วยตำแหน่งแชมเปี้ยนนั้น ทีมตราหมีเดินหน้าจนคว้าถ้วยแชมป์แบบแทบจะม้วนเดียวจบ ซึ่งมันเป็นหลักฐานที่ยืนยันแนวคิดของเขาได้เป็นอย่างดี 

ทีมของมีนักเตะที่พร้อมจะทำตามทุกอย่างที่เขาบอก ทีมของพวกเขามีกฎที่ทุกคนให้ความเคารพ ทีมของเขามีแนวทางการเล่นในแบบที่เหมาะสมกับคุณภาพของตัวเองที่สุด และทีมของเขามีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง รับมือกับสถานการณ์กดดันได้ดีเสมอ แม้จะต้องโดนไล่จี้ไล่ตาม แต่สุดท้าย ซิเมโอเน ก็ประคองลูกทีมเข้าเส้นชัยได้อย่างสวยงาม 

โค้ชจากอเมริกาใต้น้อยคนนัก ที่จะได้รับการยกย่องว่าเป็นพวกจอมแท็คติกหรือนักจิตวิทยาอย่างที่ ซิเมโอเน เป็น และเรื่องนี้มันก็ไม่ใช่ความบังเอิญ เพราะคือผู้ชนะที่ก้าวหลุดจากรอบนั้นตั้งแต่วันแรกที่คิดจะเป็นโค้ช เขาคาดหวังถึงสิ่งที่ดีกว่า และทำได้ทุกอย่างเพื่อชัยชนะเสมอ ... 

"ทุก ๆ นัดมันเหมือนการเดินลงสนามเพื่อท้าเผชิญกับความตาย และเด็ก ๆ ของผมไม่เคยกลัวมันเลยสักนิด ผมรู้สึกราวกับว่าผมอยู่กับพวกเขามาทั้งชีวิต ผมรู้ว่าเด็ก ๆ ของผมรักสโมสร บรรยากาศรอบตัวมันทำให้เราเป็นแบบนั้นเสมอ แค่มองตาก็รู้ใจ เหมือนกับเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว"

"ความสามารถและเทคนิคคือเรื่องสำคัญสำหรับนักฟุตบอลที่ดี แต่แฟน ๆ จะตอบแทนนักเตะที่พยายามเพื่อพวกเขาเท่านั้น ... ความพยายามคือเวทมตร์ที่นำพวกเราไปสู่ความสำเร็จ" ซิเมโอเน ว่าเช่นนั้นถึงลูกทีมชุดแชมเปี้ยนของเขา 

ถ้าคุณเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด คุณเองก็จะรับรู้ได้ทันทีว่า ไฟในตัวของ ดิเอโก ซิเมโอเน นั้นลุกโชนขนาดไหน เขาไม่ใช่แค่โค้ชที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก แต่เราสามารถเรียกเขาว่าหนึ่งในโค้ชที่ดีที่สุดในรอบทศวรรษเลยก็ว่าได้ 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook