ดาร์เรน แคมป์เบลล์ : นักวิ่งเหรียญทองโอลิมปิก ที่มีโลกอีกใบเป็นแก๊งอันธพาล

ดาร์เรน แคมป์เบลล์ : นักวิ่งเหรียญทองโอลิมปิก ที่มีโลกอีกใบเป็นแก๊งอันธพาล

ดาร์เรน แคมป์เบลล์ : นักวิ่งเหรียญทองโอลิมปิก ที่มีโลกอีกใบเป็นแก๊งอันธพาล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"มันเหมือนกับผมใช้ชีวิตอยู่ในโลกสองใบที่แตกต่างกัน" ดาร์เรน แคมป์เบลล์ กล่าว

"ผมมีโลกนี้ที่เป็นนักกรีฑา และมีอีกโลกกับเพื่อนของผม กับคนที่โตมาด้วยกัน พวกเขาปกป้องผม ผมจึงต้องปกป้องพวกเขา" 

เขาคือนักวิ่งประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักร ด้วยดีกรีเหรียญทองระดับยุโรปและระดับโลก รวมทั้งเหรียญทองในโอลิมปิก จนได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งจักรวรรดิอังกฤษชั้น MBE

 

อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่งเขากลับเป็นหนึ่งในสมาชิกชาวแก๊งหรือกลุ่มอันธพาล ซึ่งเป็นเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกัน และเคยเกือบเสียชีวิตจากการทะเลาะกันระหว่างแก๊งมาแล้ว

Main Stand ขอพาไปพบกับเรื่องราวของ ดาร์เรน แคมป์เบลล์ หนึ่งในนักวิ่งที่ดีที่สุดในสหราชอาณาจักร และโลกสองใบของเขา

เติบโตจากย่านเสื่อมโทรม

มีคนเคยบอกไว้ว่า "คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกเส้นทางของตัวเองได้" และชีวิตของ ดาร์เรน แคมป์เบลล์ ก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น เขาเกิดในย่านเซล เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ และเติบโตขึ้นมาในแฟลตเอื้ออาทร ด้วยการเลี้ยงดูของ มาร์วา ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว

อันที่จริง เขามีชื่อตอนเกิดว่า ดาร์เรน แกรนท์ ตามนามสกุลของพ่อ แต่การที่พ่อจากไปตั้งแต่เขายังไม่รู้ความ แถมกว่าจะได้พบกันครั้งแรกก็ปาเข้าไปตอนเขาอายุ 13 ปีแล้ว ทำให้ ดาร์เรน เอาคืนด้วยการเปลี่ยนมาใช้ แคมป์เบลล์ ซึ่งเป็นนามสกุลของแม่

 

"ผมบอกกับแม่ว่า วันหนึ่งผมจะโด่งดัง ผมไม่อยากให้พ่อได้รับคำชื่นชม" แคมป์เบลล์ บอกเหตุผลกับ BBC

"ถ้าพวกเขาพยายามจะอ้างเครดิตกับเรื่องนี้ เขาต้องบอกโลกว่าทำไมเราถึงนามสกุลไม่เหมือนกัน"


Photo : www.independent.co.uk

อย่างไรก็ดี ในตอนที่ยังไม่ถึงจุดนั้น พวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แถมด้วยความที่ มาร์วา เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ทำให้เธอต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูเขาและน้องสาว ซึ่งบางวันอาจจะต้องทำถึง 2-3 จ๊อบ

ด้วยเหตุนี้ มาร์วา จึงไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูกชายของเธอมากนัก และมันก็ทำให้ ดาร์เรน เป็นอิสระ เขามักจะใช้เวลาว่างไปจับกลุ่มมั่วสุมกับเด็กแถวบ้าน ก่อนจะขยายกลายเป็นแก๊งอันธพาล สร้างความรำคาญให้กับคนในละแวกนั้น

 

"ตอนแรกมันก็เป็นแค่กลุ่มเด็กในย่านนั้น โชคไม่ดีที่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ได้กลายเป็นแก๊งอันธพาล พวกเราเป็นพวกต่อต้านโลก เพราะมันคือวิธีการหาตัวตนของเรา" แคมป์เบลล์ อธิบาย


Photo : www.telegraph.co.uk

"ผมไม่ได้บอกว่าพวกเราเป็นเด็กเลว เพราะเราไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่เมื่อเราโตขึ้นก็ถูกลากเข้าไปในสิ่งต่าง ๆ อย่างง่ายดาย คุณกลายเป็นผลผลิตของสภาพแวดล้อม สิ่งที่คุณเห็นในแก๊งมีทั้ง ปืน มีด ยาเสพติด"

"เราตีกันบ่อยมาก หมายความว่าคุณต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองและเพื่อน ๆ มันพาเราไปสู่สิ่งนั้น ปกป้องกันและกัน และเราก็กลายเป็นแก๊ง จากนั้นมันก็บานปลาย"

มองจากภายนอก มันอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลก เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอในทุกที่บนโลก แต่สำหรับ แคมป์เบล นั้นต่างออกไป เพราะในตอนนั้นเขาก็เป็นนักกีฬาระดับประเทศแล้ว

โลกสองใบที่ต่างกัน 

แม้ว่า แคมป์เบลล์ จะมีชีวิตในวัยเด็กที่อัตคัด แต่เขาก็มีพรสวรรค์ในการเล่นกีฬาเป็นสิ่งทดแทน ด้วยรูปร่างที่กำยำ ทำให้เขาโดดเด่นทั้งฟุตบอลและกรีฑา และมีความฝันว่าวันหนึ่งเขาจะไปโชว์ฝีไม้ลายมือในโอลิมปิกให้ได้ 

จุดเริ่มต้นของความฝันเกิดขึ้นในปี 1984 เมื่อ แคมป์เบลล์ ได้เห็น คาร์ล ลูอิส นักกรีฑาผิวดำชาวอเมริกัน กวาด 4 เหรียญทองจากการแข่งขัน วิ่ง 100 เมตร วิ่ง 200 เมตร วิ่งผลัด 4x100 เมตร และกระโดดไกล ในโอลิมปิก ที่ลอสแอนเจลิส  

อันที่จริงในตอนนั้น เขาก็เป็นนักวิ่งอนาคตไกล เมื่อถูกแม่ส่งมาเรียนที่ Sale Harriers ซึ่งเป็นสถาบันฝึกนักกรีฑาโดยเฉพาะตั้งแต่ปี 1980 หลังได้เห็นผลงานอันน่าทึ่งของ ดาร์เรน ในกีฬาสีของโรงเรียน 


Photo : www.bbc.com

 

อย่างไรก็ดี แม้ว่าเส้นทางในชีวิตนักวิ่งของเขากำลังเบ่งบาน ด้วยแชมป์ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ แต่ชีวิตนอกลู่วิ่งของเขากลับค่อย ๆ จมดิ่งลงไปในด้านมืด ตอนอายุ 16 เขาเคยวางแผนกับเพื่อนเข้าไปงัดแงะผับแห่งหนึ่งในย่านนั้น 

"เรานั่งคุยกันในกลุ่ม แล้วคิดว่าจะหาเงินแบบเร็ว ๆ ได้อย่างไร" อดีตนักวิ่งเหรียญทองโอลิมปิกย้อนความหลัง 

"มีคนหนึ่งพูดถึงผับ มันไม่ได้อยู่แถวนั้น เราจะไปที่นั่นตอนเวลาเกือบปิดและเข้าไปขโมยในคืนนั้น สำหรับผม ฟังแล้วมันเป็นแผนที่บ้ามาก และตอนที่ผมขี่จักรยาน ผมก็มองหน้ามองฟ้า แล้วพูดว่า 'บอกผมหน่อย ผมควรทำไงดี'"

"หลังจากนั้นไม่นานจักรยานของผมก็ยางรั่ว นั่นเป็นสิ่งที่ฟ้าต้องการบอก เพราะที่จริงผมต้องเป็นคนพาเงินหนี เพราะผมเร็วที่สุด ตอนนั้นผมรู้สึกว่าไม่ควรทำต่อ" 

"ผมรู้สึกเสมอว่านั่นคือ 'ช่วงเวลาเปลี่ยนอนาคต' และผมก็รู้สึกโชคดีที่มันไม่เกิดขึ้น ชีวิตของผมอาจจะต่างไปอย่างสิ้นเชิง จนก้าวข้ามความกลัวแล้วทำครั้งที่สอง สาม สี่ และอีกมากมายอย่างง่ายดาย"

 

เขารู้ตัวว่าสิ่งที่เป็นอยู่ไม่ใช่เรื่องดีและพยายามออกไปจากจุดนั้น แต่คนเหล่านั้นก็คือเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกัน ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตแบบโลกสองใบ ที่โลกหนึ่งเป็นนักกรีฑาฝีมือดี ส่วนอีกโลกหนึ่งคือโลกของอันธพาล 


Photo : www.dailymail.co.uk

"มันเหมือนกับผมใช้ชีวิตอยู่ในโลกสองใบที่แตกต่างกัน" แคมป์เบลล์ อธิบาย

"ผมมีโลกนี้ที่เป็นนักกรีฑา และมีอีกโลกกับเพื่อนของผม กับคนที่โตมาด้วยกัน พวกเขาปกป้องผม ผมจึงต้องปกป้องพวกเขา" 

"ผมทำเหมือนกับว่าผมจะต้องสูญเสียอะไรอีกมากมาย แต่ผมก็ไร้เดียงสาเกินไปที่ยอมเสี่ยงกับอนาคต ผมไม่ได้มองชีวิตตัวเองแล้วคิดว่าอีกสองปีจะได้เป็นตัวแทนประเทศ" 

แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เปลี่ยนความคิดไปตลอดกาล

หวิดสิ้นชื่อ 

แคมป์เบลล์ ยังใช้ชีวิตแบบโลกสองใบต่อไปเรื่อย ๆ ด้านกรีฑาเขาทำผลงานได้อย่างโดดเด่น จนก้าวขึ้นไปติดทีมเยาวชนของสหราชอาณาจักร ก่อนจะคว้าเหรียญทองมาคล้องคอได้ถึง 2 เหรียญ ในกรีฑาเยาวชนชิงแชมป์ยุโรป ที่กรีซ ในปี 1991 


Photo : www.bbc.com | Darren Campbell

ส่วนชีวิตชาวแก๊ง ก็ยังดำเนินไปอย่างที่เคยเป็นมา เขามักจะใช้เวลาว่างหลังการฝึกซ้อมไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนชาวแก๊งที่ตอนนี้ขยายใหญ่ขึ้น หลังไปจับมือกับแก๊งอื่น หรือบางครั้งก็ยกพวกต่อยตีกับแก๊งฝั่งตรงข้ามอยู่เป็นประจำ 

แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เขาเกือบเหลือแค่ชื่อ เมื่อครั้งหนึ่งเขาดันไปเจอกับแก๊งคู่อริ ที่อาร์นเดล เซ็นเตอร์ ห้างสรรพสินค้าในเมืองแมนเชสเตอร์ แต่อีกฝั่งหนึ่งมีอาวุธ สิ่งที่เขาไม่มีติดตัวในขณะนั้น และกลายเป็นหนึ่งในประสบการณ์เฉียดตายที่สุดครั้งหนึ่งของเขา 

"มีคนของอีกแก๊งมาเจอผมและเพื่อนที่ร้านค้า เพื่อนของผมเคยต่อยกับอีกฝั่ง และพวกเขาก็เข้ามาหาเรื่องเรา" แคมป์เบลล์ ย้อนความหลังกับ BBC 

"พวกเขาพกมีดมาด้วย คนที่มีมีดพยามแทงผม ผมถอดเสื้อคลุมมารับ มีดจึงแทงโดนแต่เสื้อคลุม และโชคดีที่เราหนีได้" 

"การเป็นส่วนหนึ่งของแก๊ง ทำให้เราต้องต่อสู้อยู่เสมอ ซึ่งหมายความว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ที่อาจจะต้องตายอยู่บ่อย ๆ"

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ แคมป์เบลล์ หวาดหวั่น เขายังคงใช้ชีวิตอยู่กับชาวแก๊งเหมือนเดิม จนกระทั่งความตายของลูกบุญธรรมของแม่เขา และยังเป็นเพื่อนร่วมแก๊งที่มีชื่อย่อว่า "T" ซึ่งถูกยิงจนเสียชีวิต ทำให้เขาเริ่มเปลี่ยนความคิด 

"T เป็นสมาชิกของแก๊งที่อยู่ฝั่ง Moss Side" แคมป์เบลล์ เริ่ม

"เขาไม่ได้อยู่ย่านเดียวกับที่เราโตมา คำพูดหรือการกระทำก็ต่างออกไป และมักจะพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่มีการตีกันกับแก๊งอื่น แต่เดิมก็มีคนจะลอบฆ่าเขาอยู่แล้ว นั่นคือความเป็นจริง แต่เราก็ยังคงไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่าเขา" 


Photo : www.bbc.com

การเสียชีวิตของคนใกล้ตัว ทำให้ แคมป์เบลล์ กลับมาทบทวนอนาคตของตัวเองอีกครั้ง แม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องยากที่ต้องเอาตัวเองออกไปจากมิตรสหายที่ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาก็ต้องทำ เพราะไม่อย่างนั้น วันหนึ่งอาจจะเป็นตัวเขาเองที่เป็นคนนอนอยู่ในโลง

"มันยากมาก มันแสดงให้คุณเห็นว่าชีวิตที่แตกสลายเป็นอย่างไรและเร็วแค่ไหน ที่จะพรากใครบางคนไปจากชีวิตเรา สิ่งนี้นำผมไปสู่สถานการณ์ที่ผมต้องเลือก ไม่ว่าจะอยู่แมนเชสเตอร์หรือไม่ เพราะว่าแม่ของผมได้ยินมาแล้วว่า ผมอยู่ในรายชื่อคนที่เขาหมายหัว" 

"ตอนที่แม่ขอร้องให้ผมไปจากแมนเชสเตอร์ ผมก็รู้ว่า ผมต้องไปแล้ว"

ชีวิตใหม่ที่ไม่มีชาวแก๊ง 

นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ แคมป์เบลล์ ต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีเพื่อนร่วมแก๊ง แต่มันอาจจะเป็นเรื่องดี เมื่อมันทำให้เขามีเวลาฝึกซ้อมมากขึ้น ก่อนจะเฉิดฉายในศึกกรีฑาเยาวชนชิงแชมป์โลก 1992 ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ด้วยการคว้าเหรียญทองในรายการวิ่งผลัด 4x100 เมตร รวมถึงอีก 2 เหรียญเงิน ในรายการวิ่ง 100 และ 200 เมตร 

ผลงานที่โดดเด่น ทำให้ แคมป์เบลล์ ได้รับข้อเสนอมากมาย และตัดสินใจเลือกไปอยู่กับ มัลคอล์ม อาร์โนลด์ ที่เป็นโค้ชของ โคลิน แจ็คสัน นักกระโดดข้ามรั้วเหรียญเงินโอลิมปิก 1988 ซึ่งทำให้เขาต้องย้ายไปอยู่เมืองนิวพอร์ต ทางตอนใต้ของเวลส์  

เขามากินอยู่หลับนอนกับครอบครัวของโค้ชอาร์โนลด์ ที่เปลี่ยนเขาจากดาวเด่นสมัยเยาวชนมาเป็นนักกรีฑาอย่างเต็มตัว และได้รับใช้ทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรก หลังถูกเลือกติดทีม 4x100 เมตร สหราชอาณาจักร ในศึกชิงแชมป์โลก ที่เมืองชตุทท์การ์ท ประเทศเยอรมัน ในปี 1993 


Photo : planetradio.co.uk

อย่างไรก็ดี เขาโชคร้ายได้รับบาดเจ็บและไม่ได้ลงแข่ง ซึ่งมันก็สร้างความเจ็บปวดให้กับเขาเป็นอย่างมาก จนถึงขั้นลาออกจากวงการกรีฑาและหันเหไปเล่นฟุตบอล โดยผ่านการลงเล่นให้กับทีม พลีมัธ อาร์ไกล์ รวมไปถึงทีมนอกลีกอย่าง เวย์เมาธ์ 

แคมป์เบลล์ บอกว่าในตอนนั้นเขาจิตใจย่ำแย่อย่างหนัก จนถึงขนาดต้องพึ่งพายาเสพติดในช่วง 2 ปีนั้น แต่สุดท้ายเขาก็รู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด จึงตัดสินใจเลิกยา และหวนกลับมาซ้อมกรีฑาอีกครั้งในปี 1995 จนติดทีม 4x100 เมตร ผ่านเข้าไปเล่นในโอลิมปิก 1996 ที่แอตแลนตา ประเทศสหรัฐอเมริกา 

ทว่า ไม่มีปาฏิหาริย์สำหรับตัวเขา เมื่อทีมสหราชอาณาจักรทำไม้ตกในรอบรองชนะเลิศ หมดสิทธิ์เข้าไปชิงเหรียญทองอย่างน่าเสียดาย แต่ครั้งนี้ แคมป์เบลล์ ไม่เหมือนคราวก่อนแล้ว เขาใช้ความผิดหวังเป็นแรงผลักดันเพื่อก้าวต่อไป 

และมันก็ช่วยได้จริง ๆ เมื่อเขาทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจากการคว้าเหรียญเงินในการแข่งขันวิ่ง 100 เมตร ชิงแชมป์สหราชอาณาจักรในปี 1997 และเหรียญทองแดงวิ่งผลัด 4x100 ในศึกชิงแชมป์โลกในปีเดียวกัน 

ปี 1998 กลายเป็นปีทองของแคมป์เบลล์ เมื่อเขากลายเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุดในทวีปด้วยการคว้าเหรียญทอง 100 เมตร ในกรีฑาชิงแชมป์ยุโรป รวมถึง เหรียญทอง 4x100 เมตร ในรายการเดียวกัน และกีฬาเครือจักรภพ 

ก่อนที่ในปี 2000 ฝันของเขาก็เป็นจริง เมื่อสามารถคว้าเหรียญโอลิมปิกมาคล้องคอได้สำเร็จ หลังเข้าเป็นอันดับ 2 ในการแข่งขันวิ่ง 200 เมตร แม้ว่าในการวิ่ง 100 เมตร เขาจะได้แค่อันดับ 6 ในนัดชิงชนะเลิศก็ตาม 

"ผมยังจำตอนที่โทรหาแม่หลังได้เหรียญเงินโอลิมปิกได้ดี" แคมป์เบลล์ บอกกับ City A.M.

"ผมอยากให้เธอตกใจ แต่เธอก็แค่พูดว่า 'ฉันรู้ว่าแกต้องทำได้'" 

ทว่า นั้นเป็นแค่ปฐมบทเท่านั้น เมื่ออีก 4 ปีต่อมา แคมป์เบลล์ สร้างประวัติศาสตร์ คว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาครองจนได้ หลังทีมสหราชอาณาจักร เข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งในการแข่งขันวิ่งผลัด 4x100 เมตร โดยเฉือนชนะแชมป์เก่า สหรัฐอเมริกา ไปเพียงแค่ 0.01 วินาที

อย่างไรก็ดี ความสำเร็จในครั้งนี้ นอกจากพรสวรรค์และความสามารถแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ขับเคลื่อนเขาอยู่ข้างใน 

 

ไม่เคยลืมรากเหง้า 

อันที่จริง แคมป์เบลล์ ถือเป็นนักล่าเหรียญตัวยง เพราะนอกจากเหรียญทองในโอลิมปิกแล้ว เขายังเป็นเจ้าของเหรียญทองแดงวิ่ง 100 เมตร ในการแข่งขันชิงแชมป์โลก 2003 เหรียญทองวิ่งผลัด 4x100 เมตร ในกรีฑาชิงแชมป์ยุโรป 2006 และเหรียญเงินในรายการวิ่ง 100 เมตรของปี 2002 

เขาคือหนึ่งในนักวิ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของสหราชอาณาจักร และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งจักรวรรดิอังกฤษชั้น MBE ในปี 2005 แต่ภายใต้ความสำเร็จนี้ สิ่งที่เขาให้เครดิตมากที่สุดคือชีวิตในวัยเด็ก ที่เป็นเสมือนพลังพิเศษสำหรับเขา 

"ตอนที่ผมคว้าเหรียญทองโอลิมปิก ผมไม่ได้ฉลองกับทีมเพราะว่าน้ำตาผมไหลไม่หยุด ผมเหมือนกับเห็นภาพย้อนกลับไปในตลอดชีวิตของผม ทั้งสิ่งดี ๆ สิ่งแย่ ๆ รวมถึงสิ่งที่น่ากลัว" แคมป์เบลล์ กล่าวกับ BBC 

"ทุกอย่างมันเอ่อล้น และขอบคุณในความโชคดีที่ผมผ่านมันมาได้ และทำตามความฝันจนสำเร็จ" 

แคมป์เบลล์บอกว่า เขายังคงติดต่อกับเพื่อนสมัยเด็กและอดีตสมาชิกของแก๊งมาโดยตลอด ซึ่งพวกเขาก็กลายเป็นหนึ่งในแรงใจที่ทำให้เขาสู้ต่อจนก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดของวงการกรีฑาของสหราชอาณาจักร     


Photo : www.dailystar.co.uk

"น้ำตาเหล่านั้นไม่ใช่แค่สำหรับตัวผม พวกเขา (เพื่อนเก่า) อยู่กับผมมาโดยตลอด ความสำเร็จของผมก็คือความสำเร็จของพวกเขา นี่คือมุมมองของผม และเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงดีใจที่พวกเขาก้าวผ่านเส้นทางที่ผมผ่านมาได้" นักวิ่งที่รีไทร์ไปตั้งแต่ปี 2006 อธิบาย 

"พวกเขาอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จเหมือนผมในฐานะนักกีฬา แต่ผมก็เห็นพวกเขาประสบความสำเร็จในฐานะมนุษย์ เพราะผมรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่" 

"ผมรู้ว่าพวกเราโชคดีที่ผ่านมันมาได้ และยังยืนอยู่ตรงนี้" 


Photo : www.southwalesargus.co.uk

ในขณะเดียวกัน เขายังได้เขียนหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองชื่อว่า Track Record ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2020 เพื่อบอกเล่าเรื่องราวในอดีต และหวังเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนที่ท้อถอย 

แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้ลืมว่าตัวเขามาจากไหน 

"ผมรู้สึกว่ามันสำคัญมากที่จะไม่ปิดบังสถานที่ที่เราเกิดมา มันเป็นการแสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งในชีวิตนั้นเป็นไปได้ทั้งนั้น" 

"สำหรับชีวิต มันไม่เกี่ยวเลยว่าคุณจะเริ่มต้นจากตรงไหน แต่มันสำคัญว่าเราเข้าเส้นชัยที่ไหนมากกว่า" แคมป์เบลล์ ทิ้งท้าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook