"มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น" : แชมป์โลก F1 ผู้ยึดมั่นในคติ "คนต้องแรงกว่ารถ"

"มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น" : แชมป์โลก F1 ผู้ยึดมั่นในคติ "คนต้องแรงกว่ารถ"

"มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น" : แชมป์โลก F1 ผู้ยึดมั่นในคติ "คนต้องแรงกว่ารถ"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วงการ F1 ได้แชมป์โลกคนใหม่สดๆ ซิงๆ ไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อ มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น นักขับชาวดัตช์ปาดหน้า เซอร์ ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์โลก 7 สมัย ไปอย่างเร้าใจ

มีมุกตลกที่สามารถทำความเข้าใจว่าการแข่งเมื่อคืนวานนั้น "เร้าใจ" ขนาดไหน ให้คุณนึกภาพว่ามันเป็นการแข่งขันฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก.. อาร์เซน่อล (ทีมที่แฮมิลตันเป็นสาวก) นำอยู่ 3-0 แต่เมื่อถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บ บาร์เซโลน่า (หนึ่งในทีมที่เวอร์สแตพเพ่นเชียร์ อีกทีมคือ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น) กลับยิง 4 ประตูและพลิกกลับมาชนะอย่างเหลือเชื่อ

บนชัยชนะที่หาโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก นักแข่งที่บางวันก็ได้ฉายา "Mad Max" บางวันก็ "Super Max" บันดาลแชมป์ให้กับตัวเองและทีม เรดบูล ได้อย่างไร? และผู้ที่กระทำความแชมป์อย่างโหดเหี้ยมครั้งนี้เป็นใคร? มาจากไหน? และผ่านอะไรมาบ้าง?

ติดตามได้ที่ Main Stand

เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ 

ว่ากันว่าสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลมากๆต่อการเลี้ยงดูเด็กสักคน เพราะในช่วงวัยดังกล่าวพวกเขาจำจากสิ่งที่เห็นมากกว่าการทำความเข้าใจจากสิ่งที่พูด ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า ลูกคือกระจกสะท้อนตัวตนของพ่อแม่ ซึ่ง มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น เองก็เป็นเช่นนั้น 

1ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวนักแข่งรถ 100% โยส เวอร์สแตพเพ่น พ่อของเขาชาวดัตช์ (มักซ์เลือกสัญชาติในการแข่งตามพ่อ) เคยเป็นอดีตนักขับระดับ F1 มาก่อน เคยเป็นเพื่อนร่วมทีมกับตำนานอย่าง มิชาเอล ชูมัคเกอร์ แชมป์โลก 7 สมัย ขณะที่ โซฟี แม่ของเขาเป็นชาวเบลเยียม ก็เคยเป็นนักแข่งรถประเภทโกคาร์ทในช่วงวัยรุ่น เคยดวลกับนักแข่ง F1 อย่าง เจนสัน บัตตัน, แยน แม็กนุสเซ่น, จานคาร์โล ฟิซิเคลล่า และ ยาร์โน่ ทรูลลี่ มาแล้ว

เราคงไม่ต้องลงรายละเอียดกันเยอะว่า "DNA การเป็นนักขับ" ถูกส่งต่อมายังลูกชายของพวกเขาได้อย่างไร? ยิ่งเมื่อ มักซ์ เติบโตมาพร้อมกับสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับรถแข่งรอบๆตัว ยิ่งไม่ต้องสืบเลยว่า นี่คือเส้นทางที่มีคนเลือกให้เขาแล้ว และเขาก็เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ด้วย 

"ตั้งแต่ 2 ขวบครึ่ง เราก็ได้รู้ว่าเขาเป็นเด็กที่หมกมุ่นกับเรื่องรถมากๆ เราเคยซื้อของขวัญวันเกิด 2 ขวบให้มักซ์เป็นจักรยาน 4 ล้อ หลังจากนั้น 3 วัน มักซ์ให้ผมถอดมันออกเหลือแค่ 2 ล้อ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือเขาปั่นเสียหลักจนหัวโขกกำแพง" โยส ผู้เป็นพ่อกล่าว 

นั่นคือตัวอย่างของปฐมบทแห่งแชมป์โลก ทุกอย่างที่มีล้อ เคลื่อนที่ได้ แม้จะมีหรือไม่มีเครื่องยนต์ก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจ มักซ์ ได้เสมอ และทุกสิ่งที่เขาอยากได้ รถทุกแบบที่เขาอยากลอง ที่บ้านของเขามีกำลังซื้อหามาได้ทั้งสิ้น นี่คือเรื่องราวของสิ่งที่เรียกว่า โอกาส ที่ยิ่งนานวันเข้าความเข้มข้นของความหลงใหลก็สูงขึ้น จากที่เคยอยากปั่นในสวนหลังบ้านก็เริ่มจะออกไปแข่งกับคนอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่าพ่อและแม่ของเขายินดีที่จะมอบประสบการณ์เหล่านี้ให้เต็ม 100% 

2"ถ้าไม่มีพ่อ ผมไม่มีทางมาถึงจุดนี้ได้เลย หลังจากพ่อรีไทร์กับ F1 พ่อทุ่มทุกอย่างให้ผมและเตรียมทุกสิ่งที่ผมต้องการเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมโตมากับพ่อ เขาเป็นช่างซ่อมรถโกคาร์ท ขับรถขนโกคาร์ทจากเนเธอร์แลนด์พาผมเดินทางไปแข่งทั่วยุโรป" มักซ์ เล่าถึงอดีตที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็นเขาในทุกวันนี้

เพราะความรักอย่างเดียวหรือที่ทำให้พ่อคนนี้ทำตามทุกสิ่งที่ลูกต้องการ? พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกไปเสียหมด โยส ไม่เคยบังคับและวางเส้นทางให้กับ มักซ์ แบบชี้นิ้วสั่ง เขาเล่าว่าเขาส่งเสริมลูกชายและลงทุนทุกอย่างแบบไม่กลัวเจ๊ง ก็เพราะทุกๆวันที่ มักซ์ โตขึ้น ขยับประเภทของรถสูงขึ้น มักซ์ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีแค่ใจรักอย่างเดียว แต่ยังมีพรสวรรค์อีกด้วย

"ถ้า มักซ์ ไม่มีพรสวรรค์ ผมไม่มีทางเทหมดหน้าตักกับเขาแน่นอน โกคาร์ท ราคาแพงมากๆ ถ้าจะไปให้ถึงระดับแข่งขันสากลจะทำเป็นเล่นไม่ได้เลย คุณต้องฝึกหนักจริงๆเพื่อไปถึงจุดนั้น"

"แต่ถ้าเทียบกับเด็กวัยไล่ๆกัน มักซ์ เหนือกว่าคนอื่นๆมาก เขาสามารถแข่งกับเด็กที่อายุมากกว่า 2-3 ปีได้เลย เขาไม่เคยกลัวเลยว่าใครจะตัวใหญ่หรืออายุมากกว่า เขายินดีมากและต้องการจะชนะเสมอ สิ่งเหล่านี้ติดตัวเขามาโดยธรรมชาติ" 

3สิ่งที่เกิดขึ้นหลังเข้าสู่วัยทีนเอจคือ โยส พา มักซ์ ไปที่อิตาลีทุกสัปดาห์ ไปดูการแข่งขัน ไปดูโรงงานผลิต ไปรู้จักทุกๆอย่างที่แชมป์โลกควรรู้ ศึกษาเรื่องเครื่องยนต์และอุปกรณ์แทบทุกชิ้น

ลูกจริงจังกับสิ่งที่ทำ พ่อสนับสนุนแบบทุ่มหมดหน้าตัก ทุกอย่างจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วและประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะในการแข่งขันโกคาร์ท หรือ ฟอร์มูล่า 3 จนกระทั่งวงการรถแข่งของเนเธอร์แลนด์เรียก มักซ์ เพอร์สแตพเพ่น ว่า "เด็กอัจฉริยะ" เขาคว้าแชมป์แทบทุกรุ่น และเมื่อลุยมาจนถึงตอนนี้ก็เหลือแค่ ฟอร์มูล่า วัน เท่านั้น..

นี่คื่อของจริงที่ มักซ์ จะต้องเจออัจฉริยะที่มีเส้นทางคล้ายๆกับเขาทั้งนั้น และถ้าจะเป็นแชมป์ "คุณต้องระห่ำ" พอ ซึ่งเขาได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว

Mad Max 

เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มเต็มตัว มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น ก็ต้องก้าวไปอีกระดับ เขาเข้าทดสอบร่วม เรดบูล จูเนียร์ ทีม หรือโปรแกรมปั้นดาวรุ่งของทีมเรดบูล หนึ่งในมหาอำนาจแห่งวงการ F1 โดยใช้รถ Formula Renault 3.5 แม้ไม่มีตัวเลขและสถิติตอนนั้น แต่ว่ากันว่าชื่อเสียงของเด็กหนุ่มชาวดัตช์ดังไปถึงหูทีม เมอร์เซเดส ที่ถึงกับส่งสัญญามาทาบทามเขาเลยทีเดียว 

4อย่างไรก็ตาม มักซ์ เลือกที่จะอยู่กับ เรดบูล ซึ่งดูจากเส้นทางแล้วมีโอกาสไปถึงการได้ลงแข่ง F1 เร็วกว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม นี่คือทางเลือกที่ถูกต้องทีเดียว เพราะทีมไม่ดองเขาไว้เลย หลังจากเซ็นสัญญาได้ปีเดียว มักซ์ ได้รับเลือกจาก สคูเดอเรีย โทโรรอสโซ่ (อัลฟาเทารี่ ในปัจจุบัน) ทีมน้องของ เรดบูล ให้ลงแข่งขัน F1 ครั้งแรกในปี 2015 ด้วยวัย 17 ปี 166 วัน ทำลายสถิติของ ไฆเม่ อัลเกซัวรี่ เจ้าของสถิติเดิม (ซึ่งลงแข่งให้ โทโรรอสโซ่ เช่นกัน) ถึงเกือบ 2 ปี 

อย่างที่ได้กล่าวไว้ นี่คือเวทีจริง ไม่มีสลิง ไม่ใช้สตันต์ พรสวรรค์อย่างเดียวไม่มีทางพอ มันต้องใช้การคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ และประสบการณ์ควบคู่กันไปด้วย 

สนามแรกในชีวิตของการเป็นนักแข่ง F1 ที่ประเทศออสเตรเลีย มักซ์ พยายามจะโชว์ตัวตนของเขาออกมา เขาเร่งความเร็วของรถเต็มพิกัด เพื่อไล่บี้ทำคะแนนอย่างไม่บันยะบันยัง เรียกได้ว่าเหยียบส่งตลอดทาง จนเครื่องยนต์ขัดข้องและต้องออกจากการแข่งขันในวันนั้น แต่สนามต่อมาที่ประเทศมาเลเซีย เจ้าตัวก็สามารถเก็บคะแนนสะสมได้สำเร็จเป็นครั้งแรก

5ความระห่ำยังปรับไม่ได้ ในช่วงแรกของ F1 มักซ์ มีปัญหาเรื่อง "คนแรงกว่ารถ" เขาซิ่งจนรถมีปัญหา ต้องออกจากการแข่งขันไปหลายสนาม ขณะเดียวกันเจ้าตัวก็ขึ้นชื่อในเรื่องจังหวะเสียบแซงไม่ยั้งจนก่ออุบัติเหตุอีกไม่น้อย โดยเฉพาะการสอยท้าย โรแมง โกรส์ฌอง จนรถตัวเองพุ่งเสียบกำแพงเต็มๆ ในการแข่งที่โมนาโก เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ มักซ์ โดนโทษปรับกริดสตาร์ท 5 ตำแหน่งในสนามต่อมา พร้อมเสียงวิจารณ์จาก เฟลิเป้ มาสซ่า นักแข่งมากประสบการณ์ว่า มักซ์ เป็น "ตัวอันตราย"

แต่กับวัย 17 ปี ณ ตอนนั้น แค่นี้ก็ถือว่าเรียกเสียงฮือฮาจากคนทั้งวงการได้แล้ว นี่คือเด็กหนุ่มที่ห้าวกับทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องรถหรือเรื่องการปะทะคารม จบปี 2015 มักซ์ กลายเป็นนักแข่งที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถทำแต้มได้ใน F1 ด้วยสถิติ 17 ปี 180 วัน นอกจากนี้ยังคว้ารางวัลประจำปี 2015 อย่าง Rookie of the Year (รุกกี้ยอดเยี่ยมแห่งปี), Personality of the Year (บุคคลแห่งปี) และ Action of the Year (ช็อตเด็ดแห่งปี) ในจังหวะการแซง เฟลิเป้ นาสเซอร์ ในการแข่งที่ประเทศเบลเยียม

6ฉายา "Mad Max" ถือกำเนิดขึ้นอย่างเต็มตัว เด็กหนุ่มที่ไม่กลัวที่จะแซงใครแม้ในมุมที่ยากที่สุด มีข้อเรียกร้องมากมายเพื่อต้องการให้รถของเขาแรงขึ้น และในขณะเดียวกัน เรื่องมนุษย์สัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานก็ยังสามารถบริหารให้ไปควบคู่กันได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ทุกคนในทีมเต็มใจทำเพื่อเขาเป็นอย่างมาก 

โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่กลางปี 2016 ที่เขาถูกดันขึ้นชุดใหญ่ สู่ทีม เรดบูล ก็ยังมีการซุบซิบกันว่า เขาเป็นลูกรักของทีมและได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการ.. ซึ่งทุกวันนี้ คำตอบมันก็ชัดแล้วว่า ทำไมทีม เรดบูล จึงเลือกที่จะเชื่อในตัวของ มักซ์ ณ เวลานั้น

เขาอาจจะเป็นคนที่คุยง่ายสบายๆ แต่เมื่อถึงโหมดต้องเอาจริงกับการแข่งขัน มักซ์ จะจริงจังเป็นอย่างมาก เพราะเขาอยากจะเป็นที่ 1 เท่านั้น ดังนั้นจึงหา "ทีมเมต" หรือเพื่อนร่วมทีมที่ต้องลงสนามด้วยกันยาก

7ขออนุญาตอธิบายเพิ่ม ในการแข่ง 1 สนาม ทีม F1 จะส่งนักขับของตัวเองลงแข่ง 2 คน หากมือ 1 มีหน้าที่ทำความเร็วให้ได้ที่ดีที่สุดและเข้าเส้นชัยให้ไวที่สุด มือ 2 ก็จะมีหน้าที่เปรียบเสมือน "วิงแมน" หรือลูกคู่ที่ต้องคอยซัปพอร์ตมือ 1 ให้บรรลุเป้าหมาย รวมถึงหากมือ 1 พลาดท่าก็ต้องพร้อมรับบทแบกทีมแทน

แต่ปัญหาของ เวอร์สแตพเพ่น อยู่ตรงนี้เอง เพราะความอยากเป็นที่ 1 ของเขาทำให้ เรดบูล มีปัญหาในการหาทีมเมต คนที่เร็วพอกันก็อยู่กับเขาไม่ได้ เพราะต่างก็ชิงดีชิงเด่นกันในการเป็นมือ 1 เหมือนกรณีของ แดเนียล ริคชิอาร์โด แต่หากทีมตัดสินใจเลือกคนมาเพื่อเป็นมือ 2 ให้อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่ก็มักตาม มักซ์ ไม่ทัน จนไม่สามารถสนับสนุนมือ 1 อย่าง มักซ์ ได้ เช่นกรณีของ ปิแอร์ แกสลี่ย์ และ อเล็กซ์ อัลบอน จนในฤดูกาล 2021 เรดบูล ต้องไปคว้าตัว เซอร์จิโอ เปเรซ นักแข่งที่เร็วไม่ต่างจาก มักซ์ แต่ยินดีรับบทมือ 2 มาร่วมทีม

เรียกได้ว่า เวอร์สแตพเพ่น นั้นแม้นอกสนามจะไนซ์ขนาดไหน แต่เมื่อลงแข่งเขาเหมือนศิลปินที่เอาใจยาก แต่ก็อย่างที่ได้กล่าวไว้ เรดบูล ยอมเอาใจเขา เพราะทุกคนในทีมเชื่อมั่นว่า มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น จะกลายเป็นแชมป์โลกได้ในอนาคต 

"มักซ์ มีความหยาบกระด้างและบ้าระห่ำเหมือนกับ โยส พ่อของเขา แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ได้ความเก่งในการเข้าสังคมและมนุษย์สัมพันธ์มาจากแม่ของเขาด้วย เขาจึงเป็นตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่อย่างสมบูรณ์แบบ" ฟริตส์ ฟาน อเมอร์สฟอร์ด (Frits van Amersfoort) อดีตเจ้าของทีมสมัยที่ มักซ์ ขับอยู่ใน F3 กล่าว 

"ถ้า มักซ์ ใจดีเกินไปในระดับเดียวกับแม่ของเขา เขาก็ไม่มีทางเป็นนักแข่งที่ดีได้ เช่นเดียวกันถ้าเขาเหมือนกับพ่อของเขามากเกินไป เขาก็จะจบการแข่งขันด้วยน้ำตามากกว่าชัยชนะ" 

ผ่านไปแต่ละปี สิ่งที่มีเพิ่มขึ้นจากเดิมคือประสบการณ์และความนิ่ง มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น ใช้คำว่าลูกรักของทีมได้อย่างคุ้มค่า เพราะ เรดบูล สามารถพึ่งพาเขาได้เสมอ หากไม่ชนหรือรถมีปัญหาเสียก่อนก็มักมีอันดับดีๆเมื่อจบการแข่งขันได้เป็นประจำ

8ขณะเดียวกัน มักซ์ ก็โดนวิจารณ์ว่าสไตล์การขับของเขาจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ จนถึงขั้นที่ฝ่ายจัดการแข่งขันเรียกเข้ามาพูดคุยครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่องการขับที่ดุดันของเขาว่าควรลดลงจากเดิม โดยอีกหนึ่งครั้งที่เป็นไฮไลท์ คือการแข่งที่ประเทศเบลเยียมปี 2016 ที่ มักซ์ ทั้งเสียบในตั้งแต่โค้งแรกจนชนใส่ คิมี่ ไรโคเน่น นักขับทีม เฟอร์รารี่ แถมทำให้ เซบาสเตียน เวทเทล อีกหนึ่งนักขับทีมม้าลำพองโดนชนไปด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ยังไปบล็อก ไรโคเน่น จนรถของอีกฝ่ายได้รับความเสียหายอีก ซึ่งวีรกรรมครั้งแล้วครั้งเล่านี้เอง ทำให้สหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ หรือ FIA ต้องออกกฎใหม่ว่า นักแข่งที่จะได้รับใบอนุญาตลงแข่ง F1 หรือ "Super License" จะต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้ความกังวลก็คือ เวอร์สแตพเพ่น ไม่เคยใช้สไตล์ของเขาสร้างความวินาศสันตะโรในสนามแข่งอย่างที่ใครกลัว เหนือสิ่งอื่นใดคือ เขาตอกย้ำว่าความดุดันคือคำตอบที่จริงแท้สำหรับเขา ตำนานเกิดขึ้นในการแข่งที่ประเทศบราซิล หลังจากก่อเหตุที่เบลเยียมไม่นาน สนามนั้นฝนตกหนัก เวอร์สแตพเพ่น เสียหลักจนรถหมุน แต่ยังสามารถเซฟรถจากการฟาดกำแพงเอาไว้ได้ แถมยังเหยียบคันเร่งไม่หยุด จนเขาไต่ขึ้นมาจากอันดับ 16 จนมาจบในอันดับที่ 3 อย่างน่าเหลือเชื่อ 

9คริสเตียน ฮอร์เนอร์ หัวหน้าทีม เรดบูล ถึงกับต้องบอกว่า "นี่คือการซิ่งที่ดีที่สุดที่เขาเคยเห็นมาในการแข่งขัน F1" เลยทีเดียว 

จากนั้นฉายา Mad Max ก็เริ่มถูกถกกันขึ้นใหม่อีกครั้ง กลายเป็น "Super Max" ซึ่งบอกถึงพัฒนาการของเขาได้เป็นอย่างดี แต่วันไหนฉายาใดจะถูกเรียกขาน ก็ขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นเจ้าตัวจะปล่อยร่างไหนออกมาในการแข่งขัน

แชมป์โลกสไตล์ Super Max 

มักซ์ อาจจะเคยชนะมาหลายสนามและขึ้นโพเดียมมาก็ไม่น้อย แต่ในตำแหน่งแชมป์โลกเขายังไม่เคยไปถึงเสียที เนื่องจากมีนักแข่งมือ 1 ของโลกที่ชื่อ เซอร์ ลูอิส แฮมิลตัน เจ้าของแชมป์โลก F1 มากที่สุด (ร่วมกับ มิชาเอล ชูมัคเกอร์) 7 สมัย ชาวสหราชอาณาจักร ขวางทางอยู่นั่นเอง 

อย่างไรก็ตาม รถแข่งก็เหมือนกับกีฬาทุกชนิด นานวันเข้าคลื่นลูกใหม่ก็จะเข้ามาท้าทายเสมอ และสำหรับ แฮมิลตัน.. มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น คือคนคนนั้น

10นี่คือมวยถูกคู่ จะบอกว่า ขิงก็ราข่าก็แรง ก็คงใช้คำนี้ได้ เพราะนักแข่งทั้งสองมีความแบดแบบฉลาดแกมโกงแฝงอยู่ มีความกล้าบ้าระห่ำ มีรถที่ดี และที่สำคัญคือ พวกเขาล้วนมีฝีมือในระดับอัจฉริยะไม่แพ้กัน 

วันเวลาของ แฮมิลตัน เดินทางเข้ามาถึงช่วงปลายด้วยวัย 36 ปี ขณะที่ เวอร์สแตพเพ่น กำลังขึ้นรุ่นสุดขีดด้วยวัย 24 ปี และตัวของ มักซ์ เองก็สั่งสมประสบการณ์จนเรียกได้ว่าสุกงอมพอดี ก่อนที่สนามแรกของศึก F1 ชิงแชมป์โลกปี 2021 จะเริ่มขึ้น 

มักซ์ เริ่มประกาศสงครามจิตวิทยาหลังจากเขาถูกนักข่าวของ ESPN ถามว่า "คุณคิดว่า ลูอิส แฮมิลตัน มีวิธีการขับที่เปลี่ยนไปหรือไม่ในปีนี้?" ซึ่ง เวอร์สแตพเพ่น ตอบว่า "ใช่ ถูกต้อง เขาเปลี่ยนไปมากเลย.. แต่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงนะ" นั่นคือจุดเริ่มต้นของสังเวียน 2021 ที่ร้อนแรงตามที่เกิดขึ้น 

ทั้งสองคนต่างไม่มีใครยอมใครและมีเรื่องราวที่ต้องเกี่ยวพันกันในแทบทุกสนาม เริ่มจากสนามแรกที่ประเทศบาห์เรน มักซ์ โชว์ลีลาในตำนานของถนัด "แซงแบบปาดหน้า" ใส่ แฮมิลตัน จนขึ้นไปรั้งอันดับ 1 ได้สำเร็จ ทว่าหลังแซงได้จังหวะนั้นทางทีม เรดบูล ตัดสินใจให้ มักซ์ คืนตำแหน่งเพื่อป้องกันการถูกลงโทษ เนื่องจากจังหวะที่แซงนั้นเป็นจังหวะที่รถของ มักซ์ หลุดเขตของสนามแข่ง หากไม่คืนตำแหน่งจะถูกลงโทษย้อนหลัง.. แม้สนามนั้น แฮมิลตัน จะชนะ แต่ มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น ก็ส่งสัญญาณเตือน "เซอร์ ลูอิส" ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

11ความเข้มข้นเพิ่มดีกรีในแต่ละสนาม แต่ละคน แต่ละทีม ต่างก็เอาดีกรีที่ซุกซ่อนไว้ออกมาวัดกัน เช่นในสนามที่ประเทศสเปน ทีม เมอร์เซเดส เรียก เซอร์ ลูอิส เข้าพิทสองครั้ง เพราะเชื่อมั่นในรถที่เครื่องแรงและวิ่งกับยางเนื้อแข็งได้ดี ว่าจะทำให้พวกเขาเอาชนะความเร็วของรถทีม เรดบูล ของ เวอร์สแตพเพ่น ที่เข้าพิทแค่ครั้งเดียวได้ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แฮมิลตัน แซง เวอร์สแตพเพ่น จนชนะ 

หลังจากโดนหักเหลี่ยมเรื่องการเข้าพิท เวอร์สแตพเพ่น และ เรดบูล ก็โชว์ "พิท มาสเตอร์คลาส" ที่ใช้แทคติกเดียวกับที่เคยโดนเล่นงานในสเปนมาย้อนรอยใส่ในการแข่งที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อบวกกับทีมงานเจ้าของความเร็วระดับสถิติโลก ผลลัพธ์คือชัยชนะของ เวอร์สแตพเพ่น 

จากที่วัดกันด้วยเหลี่ยมก็เริ่มมีการวัดกันด้วยกำลังมากขึ้น ในสนามที่ประเทศสหราชอาณาจักร มักซ์ โดนรถของ เซอร์ ลูอิส เกี่ยวยางเบียดหลุดออกจากสนามแข่ง ก่อนจะชนเข้ากับกองยางด้วยแรงที่มากถึง 51G จนทำให้ มักซ์ ต้องออกจากการแข่งขัน แต่โชคยังดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร 

ก่อนที่ทั้งคู่จะมีเหตุได้ปะทะกันอีกครั้งในการแข่งที่ประเทศอิตาลี เมื่อการเข้าพิทที่ช้าผิดวิสัยของทั้งทีม เรดบูล และ เมอร์เซเดส ทำให้ มักซ์ ที่เข้าพิทก่อน ต้องมาเจอกับ เซอร์ ลูอิส ตอนออกจากพิทพอดี และความที่ไม่ยอมใคร สุดท้ายก็ลงเอยที่รถของ เวอร์สแตพเพ่น ขึ้นไปเกยรถของ แฮมิลตัน บนบ่อกรวด ทำให้ไม่จบการแข่งขันกันทั้งคู่

12ทุกคนเริ่มจับตาการฟาดฟันของ มักซ์ และ เซอร์ ลูอิส มากขึ้นเรื่อยๆ ประเด็นดราม่าก็มากขึ้นตาม ลามปามไปถึงการเชือดเฉือนระหว่างทีม.. ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เรดบูล ตัดสินใจทำ อันเดอร์คัท (เรียกรถเข้าพิทก่อนคู่แข่ง) กับรถของ มักซ์ เพื่อใช้ความเร็วกับยางที่ใหม่กว่าชิงความได้เปรียบ จน เมอร์เซเดส ต้องเรียก ลูอิส เข้าพิทตาม สุดท้าย มักซ์ ได้รับชัยชนะ จนมาถึงสนามรองสุดท้ายที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่ทั้งนักขับและทีมต่างงัดกันอุตลุต ทั้งลีลาการขับที่มีการเบียด ปะทะเป็นระยะ รวมถึงหัวหน้าทีมอย่าง คริสเตียน ฮอร์เนอร์ ของ เรดบูล และ โตโต้ โวล์ฟฟ์ ของ เมอร์เซเดส ที่ฟ้อง FIA ตลอด 

ที่สุดแล้วหลังผ่านมา 21 สนาม ทั้ง เวอร์สแตพเพ่น และ แฮมิลตัน ทำคะแนนรวมได้ 369.5 คะแนนเท่ากัน ทุกอย่างต้องตัดสินในสนามสุดท้ายที่อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

แม้ เวอร์สแตพเพ่น จะคว้าตำแหน่งโพล ได้ออกสตาร์ทหัวแถว แต่สถานการณ์เช่นนี้ดูจะเข้าทาง แฮมิลตัน ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่า และในตอนแรกก็เป็นเช่นนั้น เมื่อ เซอร์ ลูอิส ที่ออกตัวจากอันดับ 2 แซงขึ้นนำได้ตั้งแต่โค้งแรก แถมยังใช้ความเก๋า ชิงความได้เปรียบในจังหวะที่ มักซ์ จะแซงกลับ ทำให้ตัวเองยังรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้

13เวลาผ่านไป แม้ทีม เรดบูล จะงัดทุกแผนที่มีมาใช้ ทั้งการเรียก มักซ์ ทำอันเดอร์คัทเข้าพิทก่อน, สั่งให้ เซอร์จิโอ เปเรซ มือสองของทีมลากใช้ยางตั้งแต่ตอนออกสตาร์ท พยายามยื้อ เซอร์ ลูอิส ที่เข้าพิทแล้วออกมาตามหลังไว้ให้นานที่สุด เพื่อที่ มักซ์ จะตามมาใกล้พอ รวมถึงสถานการณ์ในการแข่ง ที่รถ อัลฟ่า โรเมโอ ของ อันโตนิโอ จิโอวินาซซี่ มีปัญหา ต้องจอดรถไว้ข้างทาง จน เวอร์ชวล เซฟตี้คาร์ ออก (กรณีนี้ เซฟตี้คาร์จะไม่ออกมาวิ่ง แต่นักขับต้องลดความเร็วลงจากเดิม 40% รักษาระยะห่างที่มีอยู่ไว้ และห้ามแซง) ทีม เรดบูล เรียก มักซ์ มาเข้าพิทอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนใส่ยางชุดใหม่ ในช่วงที่จะเสียเวลาจากการเข้าพิทน้อยกว่าปกติ แต่หลังจากทั้งหมดที่กล่าวมา มักซ์ ก็ยังทำได้แค่ตาม เพราะรถ เมอร์เซเดส ของ เซอร์ ลูอิส ยังแรงพอที่จะทิ้งคันอื่นๆไว้ข้างหลังเช่นเดิม

ในขณะที่ทุกคนแทบจะคิดว่า เซอร์ ลูอิส แฮมิลตัน คงคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 8 มากที่สุดตลอดกาลแต่เพียงผู้เดียวนั้น เหตุการณ์พลิกผันก็มาเกิดขึ้นในช่วงท้ายของการแข่งขัน เมื่อ นิโคลัส ลาติฟี่ นักขับทีม วิลเลี่ยมส์ ปะทะกับ มิค ชูมัคเกอร์ นักขับทีม ฮาส และลูกชายของ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ จนรถของ ลาติฟี่ ฟาดเข้ากับกำแพง คราวนี้ เซฟตี้คาร์ต้องออกมาวิ่ง รถแข่งทุกคันต้องวิ่งตาม และช่องว่างเวลาที่ เซอร์ ลูอิส ทำไว้กับ มักซ์ ก็หายไปในทันที

14ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ต้องวัดใจ โอกาสทองของทีม เรดบูล และ เวอร์สแตพเพ่น เกิดขึ้นแล้ว ทีมเรียกเข้าพิททันที เพื่อเปลี่ยนยางอีกชุด ใส่ยางเนื้อนิ่มที่ไว้ทำเวลากับความเร็วเต็มพิกัดโดยเฉพาะ ซึ่งการตัดสินใจนั้นได้จังหวะพอดี เร็วกว่าที่ทีม เมอร์เซเดส กับ แฮมิลตัน จะได้ทำอะไร และ FIA ที่มีกรณีการตัดสินน่ากังขากับการไม่ให้ เซอร์ ลูอิส ต้องคืนอันดับในรอบแรก ก็มาทำในสิ่งที่ชวนให้กังขาอีกครั้ง กับการยื้อให้รถที่โดนน็อกรอบต้องวิ่งตามหลัง แฮมิลตัน อยู่เสียนาน กว่าจะยอมให้แซงก็รอบรองสุดท้าย แต่ที่สุดแล้วมันก็ทำให้ เวอร์สแตพเพ่น ได้ในสิ่งที่ต้องการ คือการจ่อหลัง แฮมิลตัน ก่อนเข้ารอบสุดท้าย

รอบสุดท้าย สิ่งที่แฟนกีฬาความเร็วอยากเห็นก็เกิดขึ้น แฮมิลตัน ดวลกับ เวอร์สแตพเพ่น รอบเดียวตัดสินว่าใครจะเป็นแชมป์โลก.. ด้วยยางที่ใหม่และมีการยึดเกาะดีกว่า กับความระห่ำของ เวอร์สแตพเพ่น ที่สุดแล้วเขาก็แซง แฮมิลตัน รวมถึงป้องกันตำแหน่งได้แบบใสสะอาด ไม่มีการปะทะจนเข้าเส้นชัย

15มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น คว้าแชมป์โลก F1 ฤดูกาล 2021 เป็นแชมป์โลกคนที่ 34 ในประวัติศาสตร์การแข่งขัน และเป็นชาวดัตช์คนแรกที่คว้าแชมป์โลก

"โอ้ พระเจ้า" เวอร์สแตพเพ่น พูดผ่านวิทยุสื่อสาร "แม่งโคตรจะสุดยอด พวกเรามาทำแบบนี้กันอีก 10-15 ปีเถอะ" เขากล่าวในแนวทางที่เชื่อว่ายุคสมัยของเขามาถึงแล้ว 

สไตล์คนแรงกว่ารถอาจจะทำให้เขาเจ็บมาเยอะ โดนต่อว่าก็แยะ แต่สุดท้ายเมื่อทุกอย่างถูกขัดเกลาด้วยประสบการณ์และความ "จัดให้ตามคำขอ" ของทีม ในที่สุด สไตล์คนแรงกว่ารถของ มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น ก็เปลี่ยนให้เขาคว้าแชมป์โลกที่รอคอยได้สำเร็จ 

สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่เกิดขึ้นเลยหากเขาไม่แน่วแน่พอที่จะรับความกดดันที่เกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งการปรับสไตล์ของตัวเองตามคำเตือนของคนอื่นๆ และแน่นอนที่สุด หากเขาไม่ทำตัวให้พร้อมชนะอยู่ตลอดเวลา ต่อให้รถของ แฮมิลตัน ชน เขาก็อาจจะกลับมาเป็นที่ 1 ไม่ได้ด้วยซ้ำ 

ทุกอย่างเกิดขึ้นบนทัศนคติที่มองหาชัยชนะตลอดเวลาไม่ว่าจะตามหลังไกลแค่ไหน และนี่คือแชมป์โลกในแบบของ "Super Max" 

16"พวกเราคือชาวดัตช์ เราไม่ชอบแชมป์โลกที่อบอุ่นและอ่อนโยน เราต้องการคนดิบเถื่อนที่สู้เพื่อมัน และ เวอร์สแตพเพ่น ก็เป็นแบบนั้น" ฟริตส์ ฟาน อเมอร์สฟอร์ด อดีตลูกพี่เก่าของ มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น เคยว่าไว้เมื่อ 5 ปีก่อน 

..และตอนนี้มันเกิดขึ้นจริงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อัลบั้มภาพ 16 ภาพ

อัลบั้มภาพ 16 ภาพ ของ "มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น" : แชมป์โลก F1 ผู้ยึดมั่นในคติ "คนต้องแรงกว่ารถ"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook