เมื่อกองกลางเริ่มแพงกว่ากองหน้า : "Maestro" ตำแหน่งใหม่ที่ใช้ตัดสินเกมในโมเดิร์นฟุตบอล

เมื่อกองกลางเริ่มแพงกว่ากองหน้า : "Maestro" ตำแหน่งใหม่ที่ใช้ตัดสินเกมในโมเดิร์นฟุตบอล

เมื่อกองกลางเริ่มแพงกว่ากองหน้า : "Maestro" ตำแหน่งใหม่ที่ใช้ตัดสินเกมในโมเดิร์นฟุตบอล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตลาดซื้อขายซัมเมอร์ 2022-23 เป็นไปอย่างเร้าใจ นักเตะอย่าง เออร์ลิง ฮาลันด์ และ ดาร์วิน นูเญซ กลายเป็น 2 กองหน้าที่เปิดหัวตลาดได้อย่างน่าตื่นเต้น

อย่างไรก็ตาม ราคาค่างวดของนักเตะระดับดาวยิงผู้การันตี 30 ประตูต่อฤดูกาลอย่าง ฮาลันด์ กลับมีราคาที่ถูกว่ากองกลางดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสอย่าง ออเรเลียง ชูอาเมนี ที่ย้ายไป เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวรวมแอดออน 100 ล้านยูโร และคนที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พยายามไล่ล่าด้วยค่าตัวไม่แตกต่างกันอย่าง เฟรนกี เดอ ยอง  

ยิ่งเวลาผ่านไป นักเตะตำแหน่งเชิงรับก็ยิ่งถูกมองเห็นแล้วเริ่มมีมูลค่ามากขึ้น และหนึ่งในหัวใจของฟุตบอลปัจจุบันคือตำแหน่งที่เกิดใหม่อย่าง Maestro

และนี่คือเรื่องราวของยอดบอลสมองเหล่านี้ ติดตามได้ที่ Main Stand

ฟุตบอลที่มีแบบแผน 

ฟุตบอลก็เหมือนสิ่งต่างๆบนโลกใบนี้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง มีวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าเสมอ 

เทรนด์ของฟุตบอลที่เป็นมาโดยตลอดหากว่ากันถึงสักช่วง 10 ปีที่แล้ว เราจะได้เห็นนักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกมักมาจากตำแหน่งที่เล่นเกมรุกแทบทั้งหมด พิจารณาจาก 10 นักเตะถูกซื้อตัวด้วยราคาแพงที่สุดในโลก ณ เวลานี้ 9 ใน 10 คนเป็นนักเตะตำแหน่งกองหน้าหรือไม่ก็กองกลางตัวรุก โดยมี ปอล ป็อกบา คนเดียวเท่านั้นที่สอดแทรกมาด้วยราคารวม 105 ล้านยูโร ในวันที่เขาย้ายจาก ยูเวนตุส มาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวสถิติโลก ณ ปี 2016 

1ทว่าหากย้อนกลับมาในช่วง 5-6 ปีหลัง นักเตะตำแหน่งที่อยู่โหมดเกมรับกลายเป็นนักเตะที่มีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันมีนักเตะกองหลังที่แพงระดับ 50 ล้านยูโรขึ้นไปถึง 10 คน โดยมี 4 จาก 8 คนที่มีราคาระดับ 70 ล้านยูโรขึ้นไป ได้แก่ แฮร์รี แมคไกวร์, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, ลูกาส์ แอร์กน็องเดซ และ มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์ ซึ่งทุกดีลที่กล่าวมาเกิดขึ้นหลังปี 2018 หรือย้อนหลังกลับไปไม่เกิน 5 ปีทั้งสิ้น 

Bleacher Report สื่อกีฬาเจ้าดังเคยเขียนบทความที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เรื่องดังกล่าวคือวิวัฒนาการของฟุตบอล เนื่องจากนักเตะเกมรุกมักจะถูกมองเป็นดาวเด่นเสมอ พวกเขาสร้างความตื่นตาตื่นใจ ตัดสินเกมได้ และเรียกร้องความสนใจรวมถึงความสนุกจากแฟนๆ ตลอดจนการถ่ายทอดสด ได้ดีกว่านักเตะอย่าง กองหลัง, ผู้รักษาประตู หรือ มิดฟิลด์ตัวรับ 

แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ในวันที่รูปแบบและวิธีการเล่นฟุตบอลขยับขึ้นไปอีกก้าว แม้บทบาทพระเอกบนหน้าสื่อจะยังเป็นของผู้เล่นเกมรุกเหมือนเดิม แต่วิธีการเล่นได้เปลี่ยนไปแล้ว ทีมระดับแถวหน้าของโลกเปลี่ยนแนวคิดว่านักเตะคนเดียวจะต้องแบกทั้งทีมเอาไว้ พวกเขาเชื่อมั่นในระบบมากกว่า

การเล่นเกมรุกไม่ใช่หน้าที่ของนักเตะคนใดคนหนึ่ง เช่นเดียวกับการเล่นเกมรับที่ต้องเริ่มตั้งแต่กองหน้า ซึ่งทีมแรกๆที่ทำให้สไตล์ดังกล่าวเป็นที่รู้จักในโลกคือ บาร์เซโลน่า ในยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่ถือกำเนิดในช่วงต้นยุค 2010s ที่พวกเขาเอานักเตะทั้งทีมขึ้นมายืนในแดนคู่ต่อสู้ ครองบอลด้วยความแน่นอน เสียบอลยาก แต่เมื่อเสียบอลเมื่อไหร่ พวกเขาจะเริ่มไล่เอาคืนทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ต่อบอลมาถึงแดนของตัวเอง 

2วิธีการแบบ บาร์เซโลน่า เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ผ่านมา 5 ปี 10 ปี จนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน เมื่อยอดทีมของโลกต่างพยายามเล่นวิธีรับตั้งแต่แดนบนกันทั้งนั้น บาเยิร์น มิวนิค ของ ฮันซี่ ฟลิค, ลิเวอร์พูล ของ เยอร์เกน คล็อปป์, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา คือรายชื่อทีมที่ยึดมั่นในวิธีการที่เป็นเหมือนกับลายเซ็นของพวกเขา

ณ จุดนี้ ไม่ได้หมายความว่าฟุตบอลที่ตั้งรับในแดนหรือเน้นการสวนกลับไม่ใช่ทีมที่จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ "ส่วนใหญ่" ของทีมที่ไปถึงตำแหน่งแชมป์ลีกหรือแชมป์ยุโรป พวกเขายึดมั่นในวิถีของเกมรุกและโมเดิร์นฟุตบอลดังที่กล่าวมา

ดังนั้น เมื่อคุณใช้ผู้เล่นทั้งทีมยกเว้นผู้รักษาประตูขึ้นไปยืนในแดนคู่ต่อสู้ คุณจำเป็นต้องมีผู้เล่นเกมรับที่ไม่ได้เก่งแค่เกมรับเหมือนในอดีตอีกแล้ว การเข้าปะทะหนักหน่วง โหม่งบอลเก่งๆ เล่นเป็นตัวเตะตัวหวดคู่แข่ง ไม่เพียงพออีกต่อไป

นักเตะเกมรับจะต้องมีทักษะการครองบอลที่ใช้ได้ในระดับหนึ่ง สามารถผ่านบอลได้ดี มีทักษะการเล่นเป็นทีม และเข้าใจเกมในระดับที่ทำได้โดยอัตโนมัติ คุณสมบัติเหล่านี้คือสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับผู้เล่นเชิงรับในฟุตบอลสมัยใหม่ และเมื่อคุณภาพของนักเตะเหล่านี้เพิ่มขึ้น พวกเขาก็มีความสำคัญต่อเกมมากขึ้น ราคาของพวกเขาจึงขยับสูงขึ้น เรียกว่าเป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ในเชิง Demand และ Supply เพราะผู้เล่นที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบมีไม่มาก ถ้าอยากได้ก็ต้องจ่ายสูงกันหน่อย ดังคำที่ว่า "เกมรุกที่ดีจะทำให้คุณชนะ แต่เกมรับที่ดีจะทำให้คุณเป็นแชมป์"  

3เช่นเดียวกัน เมื่อเทรนด์ฟุตบอลเปลี่ยนไป ตำแหน่งของนักฟุตบอลก็มีวิธีเล่นที่แปลกไปจากเดิมดังที่กล่าวไปข้างต้น ทว่าบางตำแหน่งนั้นแทบจะหาไม่เจอในฟุตบอลปัจจุบันแล้ว อาทิ กองกลางตัวรับประเภทฮาร์ดแมน หรือ เพลย์เมกเกอร์ "เบอร์ 10" ธรรมชาติ ซึ่งจากข้อสังเกตนี้คุณจะพบว่า นักเตะทั้ง 2 ตำแหน่งที่กล่าวมาเป็นนักเตะประเภทที่ไปสุดแค่ทางเดียว กล่าวคือมีหน้าที่เกมรับเกิน 90% หรือมีหน้าที่เล่นเกมรุกเกิน 90% ของเกม 

และเมื่อทั้ง 2 ตำแหน่งเป็นผู้เล่นตำแหน่งแดนกลางที่หายไป นักเตะกองกลางแบบใหม่จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา นักเตะประเภทนี้มีศัพย์เฉพาะเรียกว่า "Maestro" ซึ่งแปลตรงตัวว่า "ศาสตราจารย์ในทางดนตรี" เปรียบได้กับผู้ควบคุมจังหวะการเล่นของทั้งทีม ว่าง่ายๆ นักเตะในตำแหน่งที่เกิดใหม่นี้คือกระดูกสันหลังของฟุตบอลยุคใหม่เลยก็ว่าได้

กำเนิด Maestro 

Maestro คือการผสมกันระหว่างมิดฟิลด์ตัวรับกับมิดฟิลด์ตัวทำเกมในเวลาเดียวกัน พวกเขายืนอยู่หน้ากองหลังของตัวเอง พวกเขาเป็นผู้เริ่มแจกจ่ายบอลไปยังตำแหน่งต่างๆในเกมรุก และในขณะเดียวกัน พวกเขายังต้องช่วยไล่และแย่งบอลในเวลาที่ฝั่งตรงข้ามมีบอลอยู่กับเท้าด้วย 

4"ผู้เล่นในแบบของ Maestro มีหน้าที่สำคัญมาก พวกเขาแทบจะได้บอลมากที่สุดในทีม ฟุตบอลที่ออกจากเท้าของพวกเขาก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะมันมีความเสี่ยงมากที่จะเสียบอลให้คู่ต่อสู้ และในทางตรงกันข้าม มันเปลี่ยนรับให้เป็นรุกได้ในทันที" แอนดรูว์ เมอร์เรย์ นักเขียนอิสระเขียนในบทความของนิตยสาร FourFourTwo 

"ผู้เล่นพวกนี้จะมีเวลาเพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้นเมื่อพวกเขาได้บอล ในเสี้ยววินาทีนั้น พวกเขาจะต้องเปลี่ยนสถานการณ์ที่คับขันให้กลายเป็นสถานการณ์ที่ได้เปรียบให้กับทีม ทักษะเหล่านี้คือสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง พวกเขาต้องเคลื่อนไหวอย่างสมบูรณ์แบบเพื่อเปลี่ยนจังหวะการเล่นให้กับทีมให้ได้ พวกเขาเหล่านี้อ่านสถานการณ์ทั้งการยืนตำแหน่งของทีมตัวเองและอ่านสถานการณ์ของเกมไปพร้อมๆกัน"

แค่คุณได้อ่านข้างต้นก็คงนึกออกบ้างแล้วว่าผู้เริ่มเทรนด์นี้ให้กับโลกฟุตบอลแบบเห็นภาพชัดๆมีอยู่ 2 คน คนแรกคือ อันเดรีย ปีร์โล และอีกคนคือ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ มิดฟิลด์ทีมชาติอิตาลีและสเปนตามลำดับ ทั้ง 2 มีคุณสมบัติครบเครื่อง เหมาะกับการเป็นต้นแบบที่ทำให้ทุกคนเห็นภาพได้ดีที่สุด โดย บุสเก็ตส์ นั้นเคยให้สัมภาษณ์ถึงตำแหน่งดังกล่าวว่า

5"หน้าที่ของผมนั้นมีความเข้มข้น คุณต้องคิดคำนวณเยอะและรวดเร็ว ซึ่งต้องใช้เซนส์ด้านฟุตบอลและสมาธิอย่างแท้จริง ส่วนหนึ่งของบทบาทผมคือการรับส่งระหว่างแนวรับและแนวรุกเพื่อให้แน่ใจว่าลูกบอลไหลเดินทางไปได้ดีและรวดเร็ว"

"บ่อยครั้งที่คุณเป็นตัวกลางระหว่างแบ็กโฟร์กับมิดฟิลด์ ดังนั้น คุณก็ต้องเล่นเกมรับด้วย ผมพยายามประกบตัวและเพรสซิงไปในคราวเดียว เพื่อจะได้แยกกองหน้าของฝ่ายตรงข้ามออกจากกองกลางของพวกเขา ตำแหน่งนี้ต้องเสียสละตัวเองอย่างมากเพื่อผลสำเร็จของการแข่งขัน"

กระดูกสันหลังของความสำเร็จ 

จากที่นักวิจารณ์และตัวนักเตะอธิบายถึงตำแหน่ง Maestro เราจะได้เห็นว่าพวกเขาต้องมีคุณสมบัติต่างๆมากมายรวมไว้ในคนๆเดียว และเราจะเห็นได้ว่า ทีมไหนที่มี Maestro ดีๆ ทีมนั้นก็มักจะมีถ้วยรางวัลเป็นเครื่องยืนยันว่า กระดูกสันหลังของทีมตำแหน่งนี้ แม้จะเป็นตำแหน่งที่เกิดใหม่ แต่ก็สำคัญกับทีมอย่างที่สุดไม่แพ้ตำแหน่งอื่นๆ

ยิ่งฟุตบอลยุคปัจจุบันที่วัดกันด้วยความเฉลียวฉลาด วิสัยทัศน์ และการทำงานหนักของกองกลาง คุณจะยิ่งได้เห็นนักเตะประเภทนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีสไตล์ที่อาจจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่นักเตะเหล่านี้ล้วนมีหน้าที่หลักคล้ายๆกัน นั่นคือ ควบคุมจังหวะเกมให้ทีมได้เปรียบในทุกๆครั้งที่พวกเขาไล่บอล 

6Maestro ยุคใหม่ๆที่เห็นภาพได้ชัดมากอีกคนคือ โรดรี้ นักเตะชาวสเปนของ แมนฯ ซิตี้ ที่เป็นมิดฟิลด์เชิงรับคนเดียวในแผงแดนกลางของทีมแต่กลับเอาอยู่สบายๆ แมนฯ ซิตี้ ครองบอลต่อเกมระดับมากกว่า 60-70% เป็นประจำ ซึ่งเรื่องนี้ Sky Sports เคยเขียนบทความอธิบายความสำคัญของ โรดรี้ ในทีม แมนฯ ซิตี้ ว่า นี่คือนักเตะที่สำคัญระดับเดียวกับที่ เควิน เดอ บรอยน์ "เอซ" ของทีมเป็นเลยทีเดียว

"ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกวิ่งใส่กันอย่างดุเดือด แต่คุณดู โรดรี้ ทำสิ เขาหาตำแหน่งที่ดีให้ตัวเองได้เสมอ เวลาที่เขาได้บอลมันดูเหมือนกับเขามีเวลาเหลือเฟือให้เขาเลือกว่าจะทำอะไร" แกรี เนวิลล์ ที่เป็นกูรูของสกาย เริ่มอธิบายการเล่นของ โรดรี้ 

ขณะที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ก็ให้คำจำกัดความมิดฟิลด์ในแบบ Maestro กับฟุตบอลยุคปัจจุบันว่า "มิดฟิลด์ตัวรับไม่จำเป็นต้องวิ่งไล่ล่าบอลทั้งเกมหรอกถ้าคุณปักอยู่ตรงนั้นแล้ว ผมขอเปรียบเหมือนกับการนั่งบนรถยนต์คันหนึ่ง พวกเขาเหมือนคนที่นั่งเบาะหลัง แต่พวกเขาก็สามารถชนรถคันอื่นได้โดยอาศัยคนขับ (เปรียบเทียบกับนักเตะเกมรุกที่ต้องช่วยเล่นเกมรับ)"  

7เมื่อทุกคนพร้อมใจกันเล่นเกมรับ Maestro จะได้ใช้สิ่งที่พวกเขาถนัดที่สุดเมื่อบอลมาถึงเท้า นั่นคือ การใช้มุมมอง เซนส์บอล และการจ่ายบอลแจกจ่ายบอลไปทั่วสนาม พวกเขาจะทำให้ทีมกดคู่ต่อสู้แบบโงหัวไม่ขึ้น นี่คือสิ่งที่ทำให้ฟุตบอลสมัยใหม่ต้องการนักเตะประเภทนี้เป็นอย่างยิ่ง 

ดังนั้น เราจะย้อนกลับมาที่ตลาดซื้อขาย ณ ปัจจุบัน ออเรเลียง ชูอาเมนี นักเตะที่เล่นในตำแหน่ง "เบอร์ 6" ในวัยแค่ 21 ปี มีราคา 100 ล้านยูโร, เฟรนกี เดอ ยอง ที่มีข่าวกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็อาจจะได้ย้ายทีมเป็นหนที่ 2 ติดต่อกันด้วยค่าตัวระดับ 80 ล้านยูโรเป็นอย่างน้อย 

เพราะฟุตบอลคือกีฬาที่ต้องอาศัยการเอ็นเตอร์เทนคนดูไปพร้อมๆกับความสำเร็จด้านผลการแข่งขัน หากคุณอยากจะบุกไปข้างหน้า คุณต้องมีคนที่สามารถทำให้คุณแน่ใจได้ว่าจะเอาบอลไปให้ทีมเล่นเกมบุกได้ตลอดทั้งเกม กองกลางคนที่สามารถแยกกองหน้าฝั่งตรงข้ามออกจากกองกลางได้  

8เห็นได้ชัดว่าความสำคัญของกองกลางประเภทนี้กำลังถูกมองเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่แปลกอะไรที่นักเตะในตำแหน่งแดนกลางกำลังมีราคาที่สูงขึ้น และนักเตะในตำแหน่งนี้เริ่มออกจากร่มเงาของตัวรุกพร้อมได้รับคำชมเป็นของตัวเอง

หากอยากจะเป็นยอดทีม คำถามแรกที่ทุกสโมสรต้องถามคือ "คุณสามารถเอาชนะในแดนกลางได้หรือยัง?" 

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ เมื่อกองกลางเริ่มแพงกว่ากองหน้า : "Maestro" ตำแหน่งใหม่ที่ใช้ตัดสินเกมในโมเดิร์นฟุตบอล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook