My Liverpool ...โดย "มาร์ค-สุรเดช"

My Liverpool ...โดย "มาร์ค-สุรเดช"

My Liverpool ...โดย "มาร์ค-สุรเดช"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากยืดเยื้อคาราคาซังเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองมานานสองนาน ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็ยอมรับข้อเสนอและปล่อยตัว ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ดาวเตะดีกรีทีมชาติอังกฤษออกไปให้กับคู่แข่งร่วมพรีเมียร์ลีกอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยค่าตัว 49 ล้านปอนด์

ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล ก็ลงเตะเกมแรกในการมาเยือนเอเชียช่วงปรีซีซั่น ด้วยการเอาชนะทีม ทรู ออลสตาร์ ในศึกกระชับมิตรนัดพิเศษ ทรู ซูเปอร์ โทรฟี่ 4-0 ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ไปเมื่อคืนวันอังคารที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา

เราคงเริ่มคอลัมน์วันนี้กันด้วยเรื่องของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ก่อน หลังจากที่การตัดสินใจอำลาทีมของเขาสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายมาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และหลังจากยืนกรานจะเรียกค่าตัวอย่างที่ต้องการไปแล้ว

ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็ไฟเขียวปล่อยให้ดาวเตะทีมชาติอังกฤษรายนี้ย้ายไปร่วมทีมคู่แข่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นที่เรียบร้อยด้วยค่าตัวที่สูงถึง 49 ล้านปอนด์

สเตอร์ลิ่ง สร้างความรู้สึกอึดอัดใจให้กับแฟนลิเวอร์พูลจำนวนมากกับการลังเลการต่อสัญญาใหม่ ก่อนที่จะตัดสินใจขอย้ายทีมในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา

แม้ว่าทีมพร้อมจะปรับค่าเหนื่อยของเจ้าตัวให้สูงขึ้นแต่ สเตอร์ลิ่ง ก็บ่ายเบี่ยงที่จะเซ็นสัญญาฉบับใหม่ที่พร้อมจะทำให้เขาได้ค่าเหนื่อยที่ระดับ 100,000 ปอนด์และอายุสัญญาเพิ่มขึ้นอีก 5 ปี

ทว่า สเตอร์ลิ่ง ก็ปฏิเสธเพราะเขาเองก็ได้รับคำแนะนำจากเอเยนต์ส่วนตัวว่าควรจะย้ายออกไปอยู่กับทีมที่มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และนั่นจะยังทำให้เขามีโอกาสได้ค่าเหนื่อยที่สูงมากกว่าเลือกที่จะอยู่กับ ลิเวอร์พูล ต่อไปอีกด้วย

กับการที่สัญญาของเขายังเหลืออยู่กับ ลิเวอร์พูล อีกเกือบ 2 ฤดูกาลทำให้ทาง ลิเวอร์พูล ยืนกรานที่จะไม่ปล่อยเขาไปร่วมทีมไหนทั้งสิ้นหากไม่ได้ค่าตัวที่ต้องการที่ระดับราคาประมาณ 50 ล้านปอนด์

และยังขู่ที่จะจับดองไม่ให้ สเตอร์ลิ่ง ลงสนามไปตลอดอายุสัญญาที่เหลืออยู่ นับตั้งแต่คว้าตัว สเตอร์ลิ่ง มาอยู่กับทีมเมื่อปี 2010 ด้วยค่าตัวเพียง 600,000 ปอนด์เท่านั้น

ที่ผ่านมานั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือทีมที่แสดงความสนใจจริงจังที่สุดตลอดมาว่าต้องการจะได้นักเตะจอมเลื้อยผู้นี้ไปอยู่ในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม และหลังจากที่ยอมยกระดับข้อเสนอเพิ่มเป็น 49 ล้านปอนด์ ทำให้ท้ายที่สุด ลิเวอร์พูล ไฟเขียวให้การย้ายทีมครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี
 
ค่าตัว 49 ล้านปอนด์ในการย้ายทีมครั้งนี้ของ สเตอร์ลิ่ง ทำให้เกิดสถิติใหม่ขึ้นมาเมื่อเขากลายเป็นผู้เล่นชาวอังกฤษที่มีค่าตัวในการย้ายทีมสูงที่สุด

แต่หากถ้านับรวมนักเตะในสหราชอาณาจักรด้วยกันแล้ว สเตอร์ลิ่ง จะมีราคาแพงเป็นอันดับสอง เป็นรองเพียงแค่ แกเร็ธ เบล เมื่อตอนย้ายจากท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ในซัมเมอร์ของปี 2013 ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 85.3 ล้านปอนด์

เบื้องต้น ซิตี้ จะจ่ายค่าตัวดาวเตะวัย 20 ปีให้กับ ลิเวอร์พูล ก่อนเป็นเงิน 44 ล้านปอนด์และจะเพิ่มเติมให้ในภายหลัง ขณะเดียวกันอดีตทีมเก่าอีกรายของ สเตอร์ลิ่ง อย่าง คิวพีอาร์ ก็จะได้รับส่วนแบ่งในการย้ายทีมครั้งนี้ที่ประมาณ 20 เปอร์เซนต์

มีการเปิดเผยด้วยว่า ราฮีม สเตอร์ลิ่ง จะได้ไปสวมเสื้อหมายเลข 7 ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังจากที่เจ้าตัวย้ายสลับขั้วกันกับ เจมส์ มิลเนอร์ ที่ตัดสินใจย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล แบบไม่มีค่าตัว หลังจากไม่ค่อยได้ลงสนามมากอย่างที่ต้องการภายใต้การเล่นในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม

สำหรับผลงานในการลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีกที่ผ่านมาของ สเตอร์ลิ่ง นั้น เริ่มต้นในฤดูกาล 2012-13  โดยลงเล่นไป 24 เกม ทำได้ 2 ประตูกับ 2 แอสซิสต์ สร้างโอกาสในการยิงทั้งหมด 23 ครั้ง

ถัดมาในฤดูกาล 2013-14 สเตอร์ลิ่ง ได้ลงเล่น 33 เกมทำได้ 9 ประตู 5 แอสซิสต์ สร้างโอกาสในการยิงทั้งหมด 33 ครั้ง ขณะที่ในฤดูกาลล่าสุด 2014-15 นั้น เขาลงเล่นไป 35 เกม ทำได้ 7 ประตู 7 แอสซิสต์ และสร้างโอกาสในการยิงได้มากถึง 62 ครั้ง

ในส่วนของเกมที่ ลิเวอร์พูล เดินทางมาอุ่นเครื่องและลงเตะกับทีม ทรู ออลสตาร์ ไปเมื่อช่วงหัวค่ำของวันอังคารที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นเกมที่สนุกไม่น้อยทีเดียวหากไม่คิดมากในแง่ความแตกต่างของฝีเท้า, ระยะเวลาในการเตรียมตัวของ ลิเวอร์พูล หรือ กระทั่งการจัดทีมลงสนามในเกมนี้ของทางฝั่ง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

จากสกอร์ 4-0 ที่ออกมาใครที่ได้ชมเกมคงจะเห็นว่าคงจะไม่สามารถใช้วัดอะไรได้ว่าฟอร์มแบบนี้ของ ลิเวอร์พูล จะดีพอสำหรับการทำให้ตัวเองอยู่ในกลุ่มลุ้นพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือแม้กระทั่งความฝันที่จะลุ้นแชมป์ เพราะหากมองจากนักเตะทั้งหมดในปัจจุบันของ ลิเวอร์พูล แล้ว จะมีนักเตะที่เป็นนักเตะหนุ่มอยู่ค่อนข้างมาก

แน่นอนว่าความห้าว ความสด อาจจะเป็นสิ่งที่ดีจากการมีอายุเฉลี่ยของทีมค่อนข้างต่ำ แต่ประสบการณ์ ก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งไม่แพ้กันในการจะลุ้นความสำเร็จ ซึ่งคงต้องรอดูว่าในฤดูกาลนี้ ร็อดเจอร์ส จะสามารถบาลานซ์ทุกสิ่งออกมาได้ดีแค่ไหน

โดย "มาร์ค-สุรเดช สันติเลิศประภพ"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook