สกู๊ป : "เก็บตกยูโร 2016"

สกู๊ป : "เก็บตกยูโร 2016"

สกู๊ป : "เก็บตกยูโร 2016"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปิดฉากลงไปเรียบร้อย ตั้งแต่เมื่อคืนวันอาทิตย์ (10 ก.ค.) ที่ผ่านมา สำหรับฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2016 ที่สร้างความชื่นมื่นให้กับแฟนบอลของทีมแดนขนมฝอยทอง "โปรตุเกส" กับการคว้าแชมป์รายการเมเจอร์แรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขา

จากนี้ไป สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในศึกยูโร 2016 ก็คงเหลืออยู่เพียงแค่ "ความทรงจำ" จะเป็นความทรงจำในด้าน "บวก" หรือว่าด้าน "ลบ" เป็นความทรงจำในด้าน "ดี" หรือว่า "เลวร้าย" ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกที่จะจดจดของแต่ละคน

วันนี้ ลองมาดูสิ่งที่ถือว่าเป็น "ที่สุด" ในส่วนที่เกิดจาก "ความรู้สึก" ของผม ไม่ใช่เป็นการเรียบเรียง หรือเทียบเคียงจากตัวเลขสถิติที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ลองไปติดตามดูกันครับ

ยอดเยี่ยมที่สุด : ทีมชาติโปรตุเกส กับการก้าวไปเป็นแชมป์เมเจอร์แรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขา แม้จะถูกค่อนขอดว่าเป็น "แชมป์น่าเบื่อ" แต่ในเมื่อพวกเขาคือทีมที่ได้ชู "โทรฟีย์" ก็สมควรแล้วกับคำว่า ยอดเยียมที่สุด

ย่ำแย่ที่สุด : ทีมชาติอังกฤษ กับความคาดหวังสูงมากของพวกเขาในทัวร์นาเมนท์นี้ ที่สุดท้าย ต้องร่วงเพียงแค่รอบ 16 ทีม ด้วยน้ำมือของชาติที่มีประชากรแค่ 3 แสนเศษๆ

อย่าง ไอซ์แลนด์ ซึ่งความจริงแล้ว ไม่ใช่แค่แพ้ ไอซ์แลนด์หรอก แต่ทีมสิงโตคำราม เล่นด้วยฟอร์มที่ "น่าผิดหวัง" ในทุก ๆ นัดตลอดทัวร์นาเมนท์นั่นแหละ

เซอร์ไพรส์ที่สุด : ทีมชาติเวลส์ กับทัวร์นาเมนท์เมเจอร์แรกของพวกเขา นับตั้งแต่เวิลด์คัพปี 1958 ที่สามารถทะลุเข้าไปจนถึงรอบรองชนะเลิศได้ ด้วยขุมกำลังผู้เล่น ที่ไม่อาจจะไปเทียบกับชาติคู่แข่งอื่น ๆ เลยด้วยซ้ำไป

พัฒนาที่สุด : ทีมชาติไอซ์แลนด์ จากทีมระดับสมันน้อยของทวีป พวกเขาแสดงให้เห็นว่า จะเป็นคู่แข่งที่ชาติอื่น ๆ ห้ามมองข้ามเป็นอันขาดจากนี้เป็นต้นไป

การผ่านเข้ารอบคัดเลือกด้วยการล้มทีมอย่าง เนเธอร์แลนด์ ถือว่าไม่ธรรมดา แต่การผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายนี่ซิ ที่ต้องปรบมือให้

ผิดหวังที่สุด : ทีมเจ้าภาพ "ฝรั่งเศส" ที่อาจจะโชว์ฟอร์มไม่ดีสักเท่าไหร่นับตั้งแต่นัดแรก ๆ แต่พวกเขาก็ทำผลงานดีขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งปราบแชมป์โลกอย่าง "เยอรมนี" ได้ในรอบตัดเชือก

แถมในรอบชิงฯ ยังมีโอกาสเหนือกว่าคู่แข่งมากมายนัก แต่สุดท้าย กลับต้องเป็นเพียงแค่ "ผู้ผิดหวัง"

ทีมยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนท์ : ตลอด 51 นัดของศึกยูโร 2016 กับการติดตามดูฟอร์มการเล่นของบรรดาขุนพลแข้งทั้งหลาย ลองไปดูกันว่า ใคร? กันบ้าง ที่ควรจะเป็น 1 ใน 11 ขุนพลแห่งศึกยูโร 2016 กัน

ผู้รักษาประตู : รุย พาทริซิโอ

นายทวารของทีมแดนฝอยทอง "โปรตุเกส" โชว์ฟอร์มซูเปอร์เซฟถึง 7 หนในนัดชิงชนะเลิศ ถือเป็นอีก 1 เหตุผลสำคัญที่ทำให้ โปรตุเกส คว้าแชมป์ ยังไงไม่มีใครดีกว่าเขาแน่นอน

กองหลัง (ระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็ก) : เปเป , จอร์โจ คิเอลลินี , เจอโรม บัวเต็ง

เปเป ปราการหลังจอมเก๋าของโปรตุเกส ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาสำคัญกับทีมมากขนาดไหน การได้เปเป กลับมาลงเล่นในนัดชิงฯ ทำให้แนวรับทีมฝอยทองแกร่งทั่วแผ่น จนรับมือกับเกมรุกของทีมฝรั่งเศสได้อย่างสบายๆ

จอร์โจ คิเอลลินี ยอดปราการหลังของทีมแดนมะกะโรนี โชว์ฟอร์มได้คงเส้นคงวามาตลอดกับทีมชาติ และสโมสรต้นสังกัด จึงไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใดที่จะถูกเลือกเข้ามา

แม้จะมีช็อตทำแฮนด์บอลจนเสียจุดโทษแบบไม่ควรจะเป็น ในรอบ 8 ทีมกับอิตาลี แต่นัดอื่นๆ ที่เหลือนั้น เจอโรม บัวเต็ง คือหัวใจสำคัญในเกมรับของทีมอินทรีเหล็ก "เยอรมนี" โดยแท้จริง

เห็นได้จากจำนวนประตูทั้งทัวร์นาเมนท์ ที่ เยอรมนี เสียไปแค่ 3 ประตูเท่านั้นเอง

มิดฟิลด์ตัวรับ : โทนี่ โครส , อารอน แรมซีย์

โทนี่ โครส คือทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นคนคุมจังหวะในแดนกลางของทีมแชมป์โลก ที่ทำให้การครองบอลของเยอรมนี เหนือกว่าทุกชาติในทัวร์นาเมนท์นี้

อารอน แรมซีย์ ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความขยัน มุ่งมั่น ทุ่มเทของเขา การวิ่งไล่เชื่อมเกมแบบไม่รู้จักเหนือเหนื่อยของมิดฟิลด์อาร์เซอล เป็นอีกเหตุผล ที่ทำให้ทีมชาติเวลส์ ทะลุเข้าถึงรอบตัดเชือก

มิดฟิลด์ตัวรุก : แกเร็ธ เบล , อองตวน กรีซมันน์ , เรนาโต ซานเชส

แกเร็ธ เบล ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาคือ "ทุกสิ่งทุกอย่าง" ของทีม "มังกรแดง" เวลส์ โดยแท้ จะเห็น เบล ไปในทุกพื้นที่ของสนาม เพื่อช่วยผลักดัน กระตุ้นเพื่อนร่วมทีมเวลส์ จนร่วมแรงร่วมในกันทะลุสู่รอบรองฯ

อองตวน กรีซมันน์ กับ 6 ประตู ที่ทำได้ในทัวร์นาเมนท์นี้ พร้อมรางวัลรองเท้าทองคำ และนักเตะยอดเยียมของทัวร์นาเมนท์ เป็นเหตุผลสนับสนุนที่ต้องอยู่ในทีมนี้แน่นอน

เรนาโต ซานเชส เจ้าหนูวัย 18 ปี แต่โชว์ฟอร์มเกินฝีเท้า กลายเป็นอีก 1 พลังแฝงของทีมชาติโปรตุเกส ที่ประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์ไปครอง การทำเกมรุกที่ดุดัน ทั้งการจ่ายบอล

และหาพื้นที่ในการเข้าทำของ ซานเชส เป็นเรื่องที่หลายๆ สโมสรต้องอิจฉา บาเยิร์น มิวนิค แน่ๆ ที่ได้เพชรงามเม็ดนี้ไป

กองหน้า : คริสติอาโน โรนัลโด

นี่คือทัวร์นาเมนท์ที่ยิ่งใหญ่ ทัวร์นาเมนท์ที่ทำให้ดาวเตะวัย 31 ปีผู้นี้ ก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลกอย่างสมภาคภูมิ เขาอาจจะไม่ได้มีส่วนร่วมในสนามในนัดชิงชนะเลิศ

แต่ คำพูดของ โรนัลโด ในระหว่างพักครึ่ง บวกกับคำพูดที่ไปกระตุ้น เอแดร์ ฮีโร่ในนัดชิงของทีมฝอยทอง ก็เป็นอีกหนึ่งความยอดเยี่ยมของดาวเตะผู้นี้โดยแท้

ผู้จัดการทีม : แฟร์นันโด ซานโตส

การพาทีมที่อยู่ในระดับแค่ "ม้ามืด" แถวที่สองหรือสาม ไปเป็นแชมป์ยุโรปได้ ยังไงก็ต้องยกความดีความชอบให้กับ ซานโตส ด้วยแบบเต็มๆ

ครับ จะถูกใจ หรือ ตรงใจกับทุกท่านหรือไม่ ก็ตามสบายนะครับ ยังไงก็ขอขอบคุณที่ติดตามกันมาโดยตลอดในช่วงเดือนเศษๆ ที่ผ่านมา

จากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป "ซอยสามัคคี" ก็คงจะกลับคืนสู่สภาวะ "ปกติ" ทื่เขียนเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่น่าสนใจรายวันครับ ขอเชิญติดตามกันต่อไป

ขอบพระคุณอย่างสูงเอาไว้ ณ ที่นี่ด้วยเด้อ

คอลัมน์ หน้า 4 ซอยสามัคคี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook