เสือใต้ไม่อยู่ใน “บุนเดสลีกา”

เสือใต้ไม่อยู่ใน “บุนเดสลีกา”

เสือใต้ไม่อยู่ใน “บุนเดสลีกา”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มาถึงตอนนี้ลีกใหญ่ในยุโรปก็กลับมาเตะครบหมดแล้วในฤดูกาลใหม่ หลังจากลีกเมืองเบียร์ “บุนเดสลีกา เยอรมัน” รูดม่านเปิดฉากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่แล้ว

ถือว่าไม่เซอร์ไพรส์สำหรับตัวเต็งอย่าง พี่เสือ “บาเยิร์น มิวนิค” ที่ถล่ม “แวร์เดอร์ เบรแมน” ขาดลอย 6-0 ในนัดเปิดสนาม ภายใต้การคุมทีมของกุนซือคนใหม่ อย่าง “คาร์โล อันเชล็อตติ” ที่อิมพอร์ตเข้ามาเพื่อเป้าหมายในฟุตบอลบิ๊กเอียร์ของยุโรปอย่าง “ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก” เพียงอย่างเดียว

ความสำเร็จในยุคของกุนซือคนก่อนอย่าง “เป็ป กวาดิโอร่า” ในการคว้าแชมป์ลีก 3 ปีติด ถ้าเป็นทีมอื่นหรือกุนซือคนอื่นอาจจะถือว่าเป็น “ความยิ่งใหญ่” แต่สิ่งที่ผู้บริหารของทีมจากแคว้นบาวาเรียต้องการได้รับมากกว่านั้น คือการเป็นเจ้ายุโรป หลังจากเข้าถึงรอบรองชนะเลิศมา 3 ปีติด

จากขุมกำลังนักเตะที่ถือว่าเป็นระดับหัวกะทิของแต่ละชาติมารวมกัน ไม่ว่าจะยอดกองหน้า “โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้” มิดฟิลด์ชั้นยอดทั้ง “อาเยน ร็อบเบน” “ฟร้อง ริเบรี่” สองปีกตัวเก่งที่อยู่กับทีมมานาน

หรือตัวใหม่ๆอย่าง “อาร์ตูโร่ วิดัล””ดักลาส คอสต้า” “ซาบี้ อลองโซ่” รวมทั้งแนวรับที่ได้กองหลังดีกรีทีมชาติเยอรมัน “มันธ์ ฮุมเมิ่ลส์” เข้ามาอีก

มาถึงตอนนี้คำว่า “บุนเดสลีกา” อาจจะไม่มีความหมายสำหรับทีมอีกต่อไปแล้ว เพราะการได้แชมป์มาตั้งแต่ปี 2012 จนถึงตอนนี้ (4 สมัย) ย่อมทำให้คุณค่าของคำว่า “แชมป์ลีกสูง” ลดน้อยลงในมุมมองของทีม

อีกทั้งนโยบายการซื้อนักเตะจากทีมคู่แข่งร่วมทีมด้วยข้อเสนอที่มิอาจจะปฏิเสธไม่ได้ ทำให้เมื่อมีทีมที่เก่งขึ้นมาเหมือนจะมาต่อกรได้สูสีก็มักจะ “สมองไหล” จากการซื้อของบาเยิร์นเอง

โดยเฉพาะในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา จากตัวอย่างของ “ดอร์ทมุนด์” เสียผู้เล่นมากมายทั้ง “มาริโอ เกิตเซ่” (ตอนนี้กลับไปอยู่ดอร์ทมุนด์แล้ว) “โรเบิร์ต เลวานดอสกี้” หรือรายล่าสุด “มัทธ์ ฮุมเมิ่ล” ไม่นับทีมอื่นอย่าง “มานูเอล นอยเออร์” ที่ดึงมาตอนที่ “ชาลเก้” เก่งขึ้นมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

ล่าสุด “คาร์โล อันเชล็อตติ” นายใหญ่ของทีมออกมาพูดถึงเป้าหมายในฤดูกาลนี้ นั่นก็คือ “แชมเปี้ยนลีก” เพียงอย่างเดียว หลังจากครั้งสุดท้ายที่ทีมได้คือฤดูกาล 2012/2013 ในยุคของ “จุปป์ ไฮย์เกส” ซึ่งการซื้อตัวต่อจากนี้ของทีมน่าจะมุ่งไปที่ตัวเก่งจากลีกต่างชาติมากกว่า

รวมทั้งนักเตะจากอเมริกาใต้ที่เอาไว้ต่อกรกับสองบิ๊กจากสเปนที่มองว่าเป็นคู่แข่งจริงๆ อย่าง “มาดริด” และ “บาร์เซโลน่า” หรือกระทั่ง “แอตฯ มาดริด” ที่ทั้ง 3 ทีมเป็นสาเหตุว่าทำไมทีมถึงไปไม่ถึงฝั่งในรายการนี้

แถมทีมคู่แข่งอย่าง “ดอร์ทมุนด์” “ชาลเก้” “มึนเช่นกลัดบัค” ที่ดูเหมือนจะขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับพี่เสือ ก็ยังไม่สามารถขึ้นมาเทียบรุ่นได้ ทำให้ความรู้สึกของลีกกลายเป็นการผูกขาดของพี่เสือ และมาลุ้นทีมอื่นว่าใครจะเป็นรองแชมป์

อย่างไรก็ตามจุดแข็งของบุนเดสลีกา คือการที่แต่ละทีมเวลาเจอกันมักจะสู้กันสูสีด้วยสไตล์ที่มีการปะทะกันไม่น้อยกว่าฟุตบอลอังกฤษ

รวมทั้งการที่ไม่มีเรื่องแท็กติคเข้ามามากมายเหมือนบอลอิตาลีที่มักจะหยุดเกมอยู่บ่อยครั้ง ที่สำคัญเป็นลีกที่มักจะได้เห็น “ดาวรุ่ง” ฝีเท้าดีหลายคน เนื่องจากระบบพัฒนาเยาวชนของทุกทีมให้ความสำคัญกับนักเตะท้องถิ่น

สุดท้ายฟุตบอลแชมเปี้ยนลีก ฤดูกาลนี้ ในรอบแบ่งกลุ่ม ที่ต้องเจอกับ “แอตฯมาดริด” ถือว่าเป็นบททดสอบสำคัญของทีม ว่าไหวไหม กับฟุตบอลรายการเดียวของทีมในปีนี้ครับ

โดย แบงค์ พิพัช

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook