ใครจะหยุด “เรือใบ”!?

ใครจะหยุด “เรือใบ”!?

ใครจะหยุด “เรือใบ”!?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในขณะที่ อาร์เซน่อล เริ่มกลับเข้าฝั่ง, แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มจะหาจุดลงตัวเจอเช่นเดียวกับ ลิเวอร์พูล ที่ยังคงเดินหน้าฆ่าฟันคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง

แต่หากจะพูดถึงทีมที่สุด “คงเส้นคงวา” และทำให้ศัตรูผวาดผวามากที่สุดในตอนนี้...คงไม่มีใครเกิน “เรือใบสีฟ้า” อีกแล้ว!

ถึงตรงนี้ 6 นัดผ่านไปสถิติจารึกเอาไว้ว่าลูกทีมของ เป็ป กวาร์ดิโอล่า เก็บชัยได้ 6 แมตช์เรียบวุธพร้อมกับกดไป 18 ตุงอีกทั้งยังเสียแค่ 5 ดอกขณะที่การชิงชัยดำเนินมาได้ไม่กี่เกม...โหดกว่านี้มีอีกไหม!?

หลังจากที่เพิ่งพบกันมาหมาดๆในเกม “อีเอฟแอล คัพ” เมื่อกลางสัปดาห์ ในที่สุดไม่ต้องรอการล้างแค้นกันให้ไกล เกมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา สวอนซี ได้พบกับคู่ต่อกรหน้าเดิมอย่าง แมนฯ ซิตี้ เป็นครั้งที่2ในรอบ 4 วันโน่นเลย

เกมนี้ “หงส์ขาว” พกความแค้นจากแมตช์ที่แล้วมาแบบเต็มเปี่ยมโดยเรียก กิลฟี่ ซิเกิร์ดสสัน และ เฟร์นานโด ญอเรนเต้ คืนสู่ตัวจริงอีกครั้ง

ฝั่งทีม “เรือใบเศรษฐี” เรียกขุมกำลังชุดหลักกลับมาถึง 10 คนโดย มีแข้งอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง คอยสร้างสรรค์ แต่ที่สำคัญและน่าทำให้ชาว “แมนคูเนี่ยน” เฮกันลั่นก็คือดาวยิงเบอร์หนึ่งอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่ พ้นโทษแบนจาก 3 เกมก่อนกลับมาเรียบร้อยแล้ว


ที่ผ่านมาเราอาจได้เห็นความยอดเยี่ยมของ “เคเลชี่ เอียนนาโช่” ที่ทดแทนการจากไปของ “กุน” ได้เป็นอย่างดี ทว่าในเกมล่าสุดนี้ดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์ได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วนะครับว่า ระดับโลกก็คือ “ระดับโลก” อยู่วันยังค่ำ

ต่อให้ เอียนนาโช่ จะร้อนแรงขนาดไหน ทว่าฉับพลันที่ “กุน” คัมแบ็คกลับมายืนหน้าเป้าเหมือนดั่งเดิม.... “อิมแพ็ค” ที่เกิดขึ้นในเกมนี้ช่างมหาศาล และ อันตรายขึ้นกว่าครั้งที่มีแข้งวันเดอร์คิดชาวไนจีเรียยืนปั่นป่วนเสียอีก

อันที่จริงก็ใช่ว่าเกมนี้ทีม “หงส์ขาว” จะทำได้ไม่ดี ในวันที่ปัญหาถาโถม และ รุมเร้า ตลอดทั้งเกมโดยเฉพาะครึ่งเวลาแรก สวอนซี สู้ขาดใจ และ เพรสซิ่ง จนบีบให้ ซิตี้ เองก็ออกบอลพลาดหลายครั้งเหมือนกัน

เกมนี้ ฟรานเชสโก้ กุยโดลิน ปรับหมากแท็คติกจากนัดที่แล้วด้วยการถอยร่นเกมรุกลงมาช่วยตั้งรับในแดนตนเองพร้อมโต้กลับยามขุนพลผู้มาเยือนพลาดพลั้งซึ่ง “ก็ได้ผล” แมนฯ ซิตี้ เองก็เริ่มมีเป๋และออกลูกลนลานในครึ่งเวลาแรก


แดนกลางอย่าง เลียม บริตตัน คอยยืนปักหลังอยู่สองเซนเตอร์อย่าง ไมค์ ฟาน เดอร์ ฮอร์น และ ฆอร์ดี้ อามัต ที่ไม่ขยับ และ เคลื่อนไหวไปไหนแบบโฉ่งฉ่างพร้อมกับดันแบ็คอย่าง ไคล์ นอห์ตัน และ อังเคล แรนเกล ดันเกมขึ้นสูง

อย่างไรก็ตามในขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย... ก็เป็นอีกครั้งครับที่ “จุดโทษ” ทำลายอรรถรสของเกม ท่อนแขนของ ฟาน เดอร์ ฮอร์น ที่ฟาดเข้าใส่หน้าของ เควิน เดอ บรอยน์ อาจจะดูไม่รุนแรงทว่าก็มีน้ำหนักพอที่จะทำให้สถานการณ์ของทีมนั้นลำบาก

หลังจากผู้ตัดสินใจเป่าให้เป็นจุดโทษ กุน อเกวโร่ ก็จัดการสังหารสไตล์ “ปาเนนก้า” แบบเหนือชั้นพร้อมกับพลิกโฉมหน้าของแมตช์นี้ให้เปลี่ยนไปแบบสิ้นเชิง


จากที่สถานการณ์สุดอึดอัด เกมรุกของ “เรือใบสีฟ้า” กลับมาเล่นแบบมั่นอกมั่นใจมากขึ้น และ การถอด กุนโดกาน ออกจากสนามก็ยิ่งทำให้การสร้างสรรค์ของเกมนั้นลื่นไหล

ไม่ใช่ว่าอดีตมิดฟิลด์ ดอร์ทมุนด์ ผู้นี้ฉายฟอร์มได้ไม่ดี ทว่าบางครั้งการที่มีตัวรุกมากไปอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ และ ดาบิด ซิลบา ก็ทำให้แดนกลาง ซิตี้ ขาดสมดุลและเล่นซ้อนไลน์กัน ดังนั้นการที่ เป็ป ตัดสินใจส่ง แฟร์นานโด ลงสู่สนามทำให้แผงมิดฟิลด์ของเรือใบสีฟ้าดูลงตัว และประสานงานกันลื่นไหลกว่าเดิม

เมื่อเกมเปิดเช่นนี้ยิ่งเล่นก็ยิ่งเข้าทางอาคันตุกะกระทั่งประตูที่สามก็บังเกิดหลังจาก สวอนซี ไร้ทางเลือกต้องดันสองฟูลแบ็คขึ้นสูงก่อนจะโดน “เรือใบ” อาศัยประโยชน์จากจุดนี้พร้อมลงโทษโดยใช้ สเตอร์ลิ่ง ที่วิ่งควบตะบันเป็นม้าก่อนจะหลอกล่อ ไคล์ นอห์ตัน พร้อมกับซัดเข้าไปแบบสุดยิด

จบเกมเรือใบบุกเถือ 3-1 พร้อมกับซิวชัย 6 นัดติดในลีกได้อย่างสวยงาม อย่าได้โทษลูกทีมของ กุยโดลิน กับภารกิจหมายเอาคืนที่ไม่สำเร็จ เพราะ กับเกมนัดนี้ สวอนซี วางแท็คติกกันได้ดีแล้วจริงๆ

แต่ก็อย่างที่เกริ่นเอาไว้ข้างต้นครับ...นาทีนี้ใครก็ต่อกรกับลูกทีมของ “เป็ป กวาร์ดิโอล่า” ลำบาก

รับกันเป็นระบบ, กลางแย่งบอลยาก, รุกสุดสะเด่าอีกทั้งยังมีตัวเลือกหลายอ็อปชั่น ซึ่งนั่นนำมาซึ่ง “กุญแจแห่งชัยชนะ”

ต่อให้ใครจะบอกว่า นัดล่าสุดนี้ แมนฯ ซิตี้ นั้นอาจมีโชคที่ได้จุดโทษในวันที่เกมนั้นตีบตันส่วนหนึ่งก็คงใช่...ทว่าถึงตรงนี้ “เป็ป” ไม่ได้มาเล่นๆจริงๆ

เจ้าตัวนวัตยกรรมพร้อมต่อเติมเรือใบโฉมใหม่ให้ “แล่นฉิว” มากขึ้นกว่าเดิม

ส่วนกับคำถามที่ว่า แล้วใครกันนับจากนี้ที่จะหยุดพลพรรค “เรือใบ” ได้ !?

แมนฯ ยู ม่องเท่งไปแล้ว, ที่เหลืออย่าง ปืนโต, ไก่เดือยทอง, สิงห์บลูส์, หงส์แดง หรืออะไรก็แล้วแต่ เอาจากความรู้สึก ณ ก้นบึ้งของหัวใจ ณ ตอนนี้...

บอกตามตรงผมยังมอง “ไม่เห็นทาง”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook