"คาชิม่า แอนท์เลอร์ส" : แรงบันดาลใจแห่งเอเชีย!

เริ่มต้นบรรทัดแรก ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับ คาชิม่า แอนท์เลอร์ส ที่ผ่านเข้าชิงชนะเลิศ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ เป็นทีมแรก

หลังจากที่แชมป์เจลีก ทีมล่าสุด โชว์ฟอร์มไร้เทียมทาน ไล่ถล่มแอตเลติโก นาซิอองนาล ตัวแทนแชมป์อเมริกาใต้ จากโคลัมเบีย ซะราบคาบ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ส่วนตัวแทนเอเชียอีกทีมอย่าง ชุนบุก ฮุนได มอเตอร์ส จากเกาหลีใต้ แพ้ให้กับ คลับ อเมริกา แชมป์คอนคาเคฟ จากเม็กซิโก 1-2 พลาดเข้าไปเจอเรอัล มาดริด ในรอบรองชนะเลิศ อย่างน่าเสียดาย

แต่แชมป์เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ทีมนี้ ก็แก้ตัว เอาชนะ มาเมโลดี้ ซันดาวน์ส แชมป์จากแอฟริกา 4-1 คว้าอันดับที่ 5 ปลอบใจ

วกกลับมาที่เรื่อง คาชิม่า แอนท์เลอร์ส กันต่อ บอกได้เลยว่า กว่าจะผ่านเข้ามาถึงจุดนี้ แน่นอนว่า ต้องมาจากความพยายามอย่างหนัก บวกกับโชคเพียงแค่เล็กน้อย

 

เส้นทางของตัวแทนจากญี่ปุ่นทีมนี้ ช่างทรหดซะเหลือเกิน แต่ก็ผ่านมาได้อย่างแข็งแกร่ง

พวกเขาเริ่มต้นแข่งขันตั้งแต่ลีกในประเทศ ฝ่าฟันความโหดหินต่างๆนานา จนกระทั่งได้เข้าสู่ด่าน “แชมเปี้ยนชิพ สเตจ” ในรอบรองชนะเลิศ โดยเอาชนะ คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ 1-0

และผ่านเข้าชิงชนะเลิศ ไปพบกับ อุราวะ เร้ด ไดมอนส์ ที่เข้าไปรออยู่แล้ว ในฐานะทีมที่มีคะแนนรวมจาก 2 เลก มากที่สุด โดยใช้ระบบเหย้า-เยือน และนับประตูอะเวย์โกล

ทว่านัดแรก ก็แพ้คาบ้านก่อน 0-1 แถมนัดสอง ก็ถูกอุราวะนำตั้งแต่ 7 นาทีแรกของเกม ทำท่าว่า คาชิม่า จะมาได้แค่นี้ซะแล้ว

แต่ได้ มู คานาซากิ กองกลางที่เคยค้าแข้งอยู่กับ เนิร์นแบร์ก ในเยอรมัน ยิงคนเดียว 2 ประตู คาชิม่าแซงชนะ 2-1 เฉือนคว้าแชมป์ลีกประจำปี ด้วยกฎประตูทีมเยือน

 

และนั่นก็คือ “ใบเบิกทาง” สู่รายการ “ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ” ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ของทีมแชมป์ลีกแดนปลาดิบ 8 สมัย ทีมนี้

ในฐานะแชมป์ลีกสูงสุดของชาติเจ้าภาพ การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกครั้งนี้ คาชิม่า ต้องเริ่มต้นตั้งแต่รอบเพลย์ออฟ พบกับ โอ๊คแลนด์ ซิตี้ แชมป์โซนโอเชียเนีย จากนิวซีแลนด์

และเป็นทีมจากแดนซามูไร ที่พลิกสถานการณ์ จากตามหลัง 0-1 แซงเอาชนะ 2-1 จากผลงานของ ชูเฮ อากาซากิ และ มู คานาซากิ

รอบก่อนรองชนะเลิศ พบกับ มาเมโลดี้ ซันดาวน์ส แชมป์จากแอฟริกาใต้ และโชว์ฟอร์มสุดแกร่ง เอาชนะไป 2-0 จาก ยาซึชิ เอ็นโดะ กับ มู คานาซากิ อีกแล้ว

มาถึงรอบรองชนะเลิศ ต้องเจอด่านหินอย่าง แอตเลติโก นาซิอองนาล จากโคลัมเบีย ที่ได้สิทธิ์ลงเล่นรอบนี้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเหลืออีกแค่ด่านเดียวเท่านั้นจะถึงรอบชิงดำ

 

แน่นอนครับ เมื่อเทียบชื่อชั้นกันแล้ว ใครหลายๆคนต่างก็คิดว่า ทีมแกร่งจากดินแดนนางเอกเอวี คงจะเสร็จแชมป์จากละตินอเมริกา เป็นแน่

แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่า “ม้ามืด” ทีมนี้ กำลังจะเขียนประวัติศาสตร์บทใหม่ ให้กับฟุตบอลรายการสโมสรโลก!

ที่ผ่านมา ผมได้เล่าถึงความพยายามอย่างหนัก ของคาชิม่า แอนท์เลอร์ส มามากมาย แต่เหลืออีกสิ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่มีส่วนที่ทำให้พวกเขามาถึงจุดนี้ นั่นคือปัจจัยแห่ง “โชค” ครับ

ผมเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “การแข่งขันกันด้วยกำลังย่อมแข่งขันกันได้ แต่แข่งบุญบารมีและวาสนานั้น ไม่มีทางแข่งกันได้อย่างแน่นอน”

และผู้ที่มอบโชคให้กับพวกเขา ไม่ใช่ใครที่ไหน วิคเตอร์ คาสไซ ตุลาการชาวฮังการี นั่นเอง!

 

ท่านเปาจากดินแดนแม็กย่าร์ กลายเป็นบุคคลประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกไว้ตลอดกาล เมื่อเป็นผู้ตัดสิน ที่ขอใช้ “ตัวช่วย” อย่าง “วีเออาร์” หรือ Video Assistant Referees ช่วยตัดสินในแมตช์การแข่งขันอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก หลังจากที่ “ฟีฟ่า” ได้เปิด “ไฟเขียว” ให้ใช้เทคโนโลยีที่ว่านี้

โดยเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นในนาทีที่ 29 เมื่อไดโกะ นิชิ ปราการหลัง แอนท์เลอร์ส โดน ออร์แลนโด เบอร์ริโอ ผู้เล่น นาซิอองนาล ทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ

แต่ทั้ง คาสไซ และไลน์แมน ไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วยผู้ตัดสินข้างสนามคนหนึ่ง ซึ่งชมเกมผ่านจอมอนิเตอร์ ส่งสัญญาณให้เปาคนดังชาวฮังกาเรียนมาดูภาพช้า เพื่อการตัดสินที่ถูกต้อง

ปรากฎว่า หลังจากเป่าหยุดเกมชั่วคราว และวิ่งไปข้างสนามเพื่อใช้ “วีเออาร์” รับชมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง และคาสไซ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาที มอบจุดโทษให้กับ แอนท์เลอร์ส

แน่นอนล่ะ ฝั่งที่เสียประโชยน์อย่าง นาซิอองนาล ย่อมไม่พอใจ ออกมาประท้วงเป็นเรื่องธรรมดา

 

ผู้รับหน้าที่สังหารจุดโทษ คือ โชมะ โดอิ ที่ยิงเข้าไปได้สำเร็จ ทีมจากญี่ปุ่น ออกนำ 1-0 และว่ากันว่า ถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ของเกมนี้

และในช่วงท้ายเกมครึ่งหลัง แอนท์เลอร์ส มายิงเพิ่มอีก 2 ประตู ในเวลาห่างกันแค่ 2 นาที จาก ยาซึชิ เอ็นโดะ และ ยูมะ ซูซูกิ เอาชนะไปแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด 3-0

คาชิม่า แอนท์เลอร์ส สร้างประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ ด้วยการเป็นสโมสรแรกของเอเชียที่ทะลุเข้าชิงชนะเลิศ รายการสโมสรแรก เวอร์ชั่นของฟีฟ่า นับตั้งแต่จัดการแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี 2000 โดยจะไปพบกับ เรอัล มาดริด แชมป์ยุโรปจากสเปน ในนัดชิงชนะเลิศ เย็นวันอาทิตย์นี้

และหลังจากนัดสำคัญเสร็จสิ้นลง ในช่วงต้นปีหน้าพวกเขาจะได้สิทธิ์ลงแข่ง เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก และได้อยู่ร่วมสายกับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก ที่ “โค้ชแบน” ธชตวัน ศรีปาน กุนซือเมืองทองฯ บอกนะครับว่า ได้แอบไปศึกษาข้อมูลคู่แข่งจากญี่ปุ่นทีมนี้ มาแล้วด้วย

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าฉากจบของ คาชิม่า แอนท์เลอร์ส จะเป็นอย่างไร แต่พวกเขา คือ “แรงบันดาลใจ” ชั้นดี ให้กับทุกสโมสรในทวีปเอชีย และแน่นอนว่ารวมถึงสโมสรในประเทศไทยด้วย

แชมป์ไทยลีกทีมไหน อยากจะดิ้นรนไปแข่งรายการสโมสรโลก ควรจะนำแบบอย่างที่ดีของพวกเขา มาเรียนรู้ไว้นะครับ เผื่อว่าประเทศไทย จะได้เป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันรายการนี้ กะเค้ามั่ง 555

แบงค์