เกิดอะไรขึ้นกับ "สิงห์ผงาด" ??!

สำหรับฟุตบอลยุคใหม่การเปลี่ยนถ่ายเจ้าของทีม หรือที่เราเรียกติดปากว่าการ "เทกโอเวอร์" เป็นเรื่องที่แฟนบอลโดยทั่วไป โดยเฉพาะในฟุตบอลลีกอังกฤษ ถือเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

เช็กรายชื่อแต่ละสโมสรทั้งในพรีเมียร์ลีก และแชมเปี้ยนชิพ ส่วนใหญ่ตอนนี้ถูกนักธุรกิจต่างชาติเข้ามากลืนกิน ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวแทนจากไทย ที่เข้ามาถือครองสิทธิ์อยู่ 2-3 ทีม

อย่างไรก็ตาม การได้เศรษฐีจากต่างแดนเข้ามาอุ้มชูสโมสร ไม่ได้หมายความว่าทีมนั้นๆจะ "ตกถังข้าวสาร" ไปเสียหมด เอาจริงๆต้องบอกว่าเป็นส่วนน้อยเสียด้วยซ้ำ

ที่สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยการใช้เส้นทางลัดเหมือนกับที่ เชลซี หรือ แมนฯ ซิตี้ ทำให้เห็นอยู่ในเวลานี้

 

ด้วยความสัตย์จริง ไม่มีใครรู้ได้ว่านักธุรกิจแต่ละคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับโลกลูกหนังนั้นมีเหตุผลอะไร แต่ที่เราคุ้นชินเป็นอย่างดีคือคราบน้ำลายที่นักธุรกิจเหล่านี้มักพ่นออกมาเหมือนลอกการบ้านกันมา

"ผมรักฟุตบอล ผมอยากพัฒนาสโมสร เรามีเป้าหมายที่จะพาทีมกลับไปยิ่งใหญ่ให้ได้อีกครั้ง"

ในรายของ โทนี่ เซียะ มหาเศรษฐีชาวจีน เป็นอีกรายที่กำลังอยู่ในข่ายของเรื่องที่เราพูดถึง เพราะเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาเจ้าตัวเพิ่งทุ่มเงิน 60 ล้านปอนด์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ชนิด 100% ของแอสตัน วิลล่า

เจ้าของบริษัท เรคอน กรุ๊ป แถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์สโมสรว่า "ต้องการพา แอสตัน วิลล่า กลับสู่พรีเมียร์ลีก จากนั้นทำให้ทีมจบใน 6 อันดับแรก และพาทีมไปเล่นในเวทียุโรป"

 

"ผมหวังว่าภายใน 5 หรือ 6 ปีหลังจากนี้ เราจะพูดถึงสโมสรแห่งนี้เหมือนที่พูดถึง เรอัล มาดริด หรือ บาร์เซโลน่า รวมถึงทำให้แฟนบอลทั่วโลกยอมรับว่า แอสตัน วิลล่า เป็นหนึ่งในสโมสรที่ดีที่สุดในโลก"

อย่างไรก็ตาม ผลลัพท์ในตอนนี้มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนที่ ดร.เซียะ คาดหวัง อย่าว่าแต่โอกาสกลับสู่พรีเมียร์ลีกเลย ผลงานตอนนี้ "สิงห์ผงาด" ควรกังวลกับเรื่องตกชั้นซ้ำสองด้วยซ้ำไป

จริงๆแล้ว ขุมกำลังเดิมที่หล่นมาจากพรีเมียร์ลีกก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ อะไรมากมาย เอาจริงๆเทียบกันตัวต่อตัวก็เป็นรองเพียงแค่ นิวคาสเซิล ทีมเดียวเท่านั้น

การเสริมทัพก็ไม่ธรรมดาได้ ทอมมี่ เอลฟิค, เจมส์ เชสเตอร์, ไมล์ เจดินัค ที่มีดีกรีเป็นแข้งเก๋าระดับพรีเมียร์ลีก ขณะที่แนวรุกก็คว้าหัวหอกระดับท็อปของ ชปช.มาทั้ง รอสส์ แม็คคอร์แม็ค และ โจนาธาน โกฌิอา

 

ทว่าภายใต้การคุมทีมของ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ที่เคยมีดีกรีเป็นถึงแชมป์ยุโรป อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กลับพาทีมออกทะเลไปแบบมึนงง

กุนซือชาวอิตาเลียน พาทีมชนะแค่หนเดียวจาก 13 นัดแรก ก่อนถูกอัปเปหิออกจากตำแหน่งไปตามผลงาน

การก้าวเข้ามาของ สตีฟ บรู๊ซ จริงๆควรเป็น "ฟ้าหลังฝน" ของแฟนบอล "สิงห์ผงาด" เพราะนี่้คือมือดีจากพระนคร ที่มีความเชี่ยวชาญในสู้รบในลีกพระรองอย่าง แชมเปี้ยนชิพ

อดีตกองหลังของแมนฯ ยูไนเต็ด โปรไฟล์ค่อนข้างหรูหรา เคยพาต้นสังกัดกลับขึ้นไปเล่นในพรีเมียร์ลีกได้ถึง 4 ครั้ง ในสมัยที่คุม เบอร์มิงแฮม (2002, 2007) และ ฮัลล์ (2013, 2016)

 

แต่ทำไปทำมา บรู๊ซ จะเข้าตำราท่าดีทีเหลว ช่วงแรกๆเหมือนจะปลุกผีทีมขึ้นมาได้ แต่การชนะ 7 จาก 13 นัดก่อนเปลี่ยนศักราช กลายเป็นความดีความชอบเพียงประเดี๋ยวประด๋าว

ตั้งแต่เข้าปี 2017 วิลล่า อยู่ดีๆก็ช็อตไปดื้อๆ พวกเขายังเอาชนะใครไม่ได้เลย แถมเป็นการปราชัยไปถึง 6 จาก 7 นัดที่ลงสนาม

นาทีนี้ความหวังในการลุ้นขึ้นชั้นถือว่าริบหรี่มากๆ เพราะช่องว่าที่ห่างจากทีมอันดับ 6 ที่ได้ลุ้นเพลย์ออฟ ก็มากถึง 19 คะแนน ในทางกลับกัน วิลล่า มีแต้มมากกว่าโซนตกชั้นเพียง 7 คะแนนเท่านั้น

แม้ สตีฟ บรู๊ซ จะยังไม่ยกธงข่าวสำหรับการพาทีมกลับไปเล่นในพรีเมียร์ลีก แต่นาทีนี้คงต้องเริ่มที่จะคิดถึงการดิ้นรนหนีตายเพื่อเอาไว้บ้าง

 

ปัญหาในทีมตอนนี้มีครบทั้งรุกและรับ รอสส์ แม็คคอร์แม็ค ผิดฟอร์มไปจากดาวซัลโวแชมเปี้ยนชิพ ยิงได้แค่ 3 ประตูจาก 20 นัด จนต้องถูกปล่อยตัวไปให้ ฟอเรสต์

กาเบรียล อักบอนลาฮอร์ หมดลายดาวยิงพรีเมียร์ลีก 11 เกมที่ลงสนามยังยิงประตูไม่ได้เลย ที่พึ่งพาได้ก็มีแค่ โกฌิอา คนเดียวเท่านั้น ที่เวลานี้ยิงไปพอประมาณที่ 11 ประตู

ขณะที่แดนหลัง ก็เป็นเรื่องที่ บรู๊ซ เหมือนจะรู้ว่าเป็นจุดอ่อนอยู่เหมือนกัน หลังให้สัมภาษณ์หลังเกมแพ้ บาร์นสลี่ย์ ว่า "ถ้าคุณดู 29 นัด ผมคิดว่ามันมีเพียง 6 คลีนชีต เราต้องการเกมรับที่กว่านี้"

กับเกมที่เหลืออีกราวๆ 15 นัดซึ่งถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับแต้มที่ยังเหลือให้โกยได้อยู่ ทว่าหลังจากนี้ วิลล่า จำเป็นต้องเล่นทุกเกมเหมือนนัดชิงฟุตบอลถ้วย ที่จะพลาดไม่ได้อีก

เพราะสำหรับแฟนบอลรุ่นลายครามทั้งหลาย คงไม่อยากเห็นทีมเก่าแก่อย่าง "สิงห์ผงาด" ตกต่ำลงไปกว่านี้แน่