Premier League Review:

Premier League Review:

Premier League Review:
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หาผลเสมอ 0-0 ไม่ได้เลยแม้แต่คู่เดียวสำหรับบทสรุปของผลการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่เกมใหญ่ที่แอนฟิลด์ระหว่าง ลิเวอร์พูล ซึ่งเล่นในฐานะเจ้าบ้านกับผู้มาเยือนอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จบลงด้วยผลเสมอกัน 1-1

ทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก้าวขึ้นมาเป็นจ่าฝูงทีมใหม่ และเป็นจ่าฝูงโดดๆหลังจากทีมเศรษฐีใหม่เอาชนะ แอสตัน วิลล่า ไปอย่างขาดลอย 4-1

ผ่านไปอีกสัปดาห์แล้วสำหรับเกมพรีเมียร์ลีก โดยคู่เอกของสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นถือเป็นสุดยอดบิ๊กแมตช์เมื่อ ลิเวอร์พูล ได้เล่นในบ้านพบกับคู่ปรับอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

โดยเกมนี้ ลิเวอร์พูล ได้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด หายเจ็บกลับมาบัญชาการเกมในฐานะตัวจริงเป็นหนแรกในรอบ 7 เดือน ด้าน “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจดร็อปหัวหอกดีกรีทีมชาติอังกฤษอย่าง เวย์น รูนี่ย์ เป็นแค่ตัวสำรองเท่านั้น

ในเกมนี้ ลิเวอร์พูล เล่นได้ดีกว่า และพวกเขาคงเสียดายที่ปล่อย 3 คะแนนสำคัญหลุดมือไปหลังจากที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด บรรจงซัดฟรีคิกให้กับ “หงส์แดง” ออกนำในนาทีที่ 68

อย่างไรก็ดีเจ้า “ถั่วน้อย” ชิชาริโต้ ตัวสำรองก็แผลงฤทธิ์ลุกจากม้านั่งสำรองมาตีเสมอให้กับ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จก่อนหมดเวลาเพียง 9 นาทีเท่านั้น

ลิเวอร์พูล โดย จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มีโอกาสอีก 2 หนที่น่าจะทำประตูชัยได้สำเร็จ แต่ก็ต้องยกนิ้วให้กับความยอดเยี่ยมของผู้รักษาประตูทีมชาติสเปนอย่าง ดาวิด เด เกอา ที่ปกป้องสองฟากเสาประตูเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

ทำให้ ยูไนเต็ด รอดพ้นความพ่ายแพ้ และ หยิบ 1 คะแนนกลับออกไปจากแอนฟิลด์ได้สำเร็จแม้ว่านั่นไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขารักษาบัลลังก์จ่าฝูงที่นำร่วมกับ ซิตี้ ไว้ได้ก็ตาม

พูดถึง ซิตี้ แล้ว ก็คงต้องไปต่อกันที่เกมที่สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม ซึ่งทีมของกุนซือชาวอิตาเลี่ยน โรแบร์โต้ มันชินี่ ได้เฝ้าบ้านรอพบกับ แอสตัน วิลล่า ของ อเล็กซ์ แม็คลีช

ในเกมนี้ มันชินี่ หันมาใช้ระบบ 4-5-1 โดยเลือกดร็อปทั้ง ดาวิด ซิลบา, ซาเมียร์ นาสรี่ และ เอดิน เชโก้ ไว้ที่ม้านั่งสำรอง แล้วหันมาส่งเด็กเกรียนอย่าง มาริโอ บาโลเตลลี่ ลงมายืนเป็นหัวหอกตัวเป้า

เกมครึ่งแรกนั้นตกอยู่ภายใต้การครอบครองของ ซิตี้ และในนาทีที่ 28 มาริโอ บาโลเตลลี่ ก็ทำประตูที่ 4 ของตัวเองในฤดูกาลนี้ ส่งให้ทีม “เรือใบสีฟ้า” ขึ้นนำไปก่อนด้วยสกอร์นี้เมื่อจบ 45 นาทีแรก

เข้าสู่ครึ่งหลัง ซิตี้ มาได้ 2 ประตูในเวลาไม่ห่างกันมากนักจาก อดัม จอห์นสัน และ แวงซ็อง กอมปานี ก่อนที่ เจมส็ มิลเนอร์ จะมาทำประตูปิดท้ายให้กับ ซิตี้ เอาชนะไปขาดลอย

สำหรับประตูที่ มิลเนอร์ ทำได้นั้น เขาปฏิเสธที่จะฉลองประตูนี้ เพราะเหตุผลที่ว่าตัวเองเคยเล่นให้กับ วิลล่า มาก่อนนั่นเอง

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซิตี้ มักจะต้องลงแข่งล่วงหน้าก่อนทาง ยูไนเต็ด เสมอๆ และมันก็บังเอิญที่พวกเขาแซงหน้าคู่แข่งร่วมเมืองไม่ได้เสียทีบนตารางคะแนน

จนกระทั่งในสัปดาห์นี้ที่ ยูไนเต็ด ต้องลงซดแข้งกับ ลิเวอร์พูล ก่อนบ้าง และ ซิตี้ ลงเล่นกับ วิลล่า ทีหลัง และทุกอย่างก็เป็นใจให้ ซิตี้ ขึ้นมานำเป็นจ่าฝูงโดดๆแต่เพียงผู้เดียว

แมนฯ ซิตี้ มีผลงานที่ยอดเยี่ยมมากสมฐานะของทีมที่มีโอกาสลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัว แม้ว่านี่เพิ่งจะผ่านไปเพียงแค่ 8 สัปดาห์เท่านั้นและฤดูกาลยังอีกยาวไกล ทว่ากับการเก็บชัยได้ถึง 7 จาก 8 นัด และเสียประตูยากเย็น

นั่นทำให้พวกเขาถูกปรับราคาด้วยการหั่นราคาลงมาในสายตาของบริษัทรับพนันกับโอกาสในการคว้าแชมป์ในปีนี้มาครอง

“สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เป็นทีมใหญ่อีกทีมที่ไม่พลาดเก็บ 3 คะแนนในสัปดาห์นี้ และยังรักษาโอกาสในการลุ้นแชมป์ไว้ด้วยการไล่จี้ติดทั้ง แมนฯ ซิตี้ และ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบหายใจรดต้นคอ

สถิติเก่าๆที่เคยพบกันมาก่อนหน้าเกมนี้ดูเหมือนจะเป็นใจกับ เอฟเวอร์ตัน ไม่น้อย เพราะทีมของ เดวิด มอยส์ ไม่แพ้ เชลซี ในการเผชิญหน้ากันที่บ้านของ เชลซี ก็คือ สแตมฟอร์ด บริดจ์ มา 5 ปีซ้อนๆแล้ว    

ในเกมนี้ อังเดร วิลลาส โบอาส กุนซือหนุ่มของ เชลซี ใช้ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ลงประสานงานในแดนหน้าร่วมกับ ดาเนี่ยล สเตอริดจ์ ขณะที่เกมรับ ดาวิด ลุยซ์ ไม่ได้ลงเป็นตัวจริง โดยกุนซือหนุ่มสัญชาติโปรตุกีสให้ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กับ จอห์น เทอร์รี่

ด้าน เอฟเวอร์ตัน นั้นไม่ได้เปลี่ยนทีม แต่ก็ไม่มี แจ็ค ร็อดเวลล์ ที่โชคร้ายโดนไล่ออกมาจากเกม เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน

ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ทำประตูปลดล็อกในเกมนี้ให้กับ เชลซี เมื่อเกมผ่านไปครึ่งชั่วโมง โดยเป็นเครดิตจากการเปิดบอลให้ของ แอชลี่ย์ โคล

สถานการณ์ของ เอฟเวอร์ตัน ยิ่งย่ำแย่หนักเมื่อมาเสียประตูที่ 2 ในช่วงทดเจ็บของครึ่งเแรกหลังจาก ทิม ฮาวเวิร์ด รับลูกยิงฟรีคิกของ แฟรงค์ แลมพาร์ด กระฉอกทำให้โดน จอห์น เทอร์รี่ ซ้ำเข้าไปให้ เชลซี หนีห่าง 2-0

แม้ว่าเกมนี้ เชลซี ยังหมดสิทธิ์ใช้งาน เฟร์นันโด ตอร์เรส กองหน้าค่าตัวแพงสุดของทีมเหตุเพราะยังใช้โทษแบนไม่ครบ แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคแต่อย่างใด

เพราะพวกเขายังมีแดนกลางที่ขับเคลื่อนเกมได้ดีอย่าง ฆวน มานูเอล มาตา คอยสั่งการเกมตรงกลาง และ มาตา ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับ 2 จาก 3 ประตูที่ทีมทำได้ด้วย

รามิเรส มิดฟิลด์บราซิเลียน ทำประตูที่ 3 ให้กับ เชลซี นำห่างสุดกู่เมื่อนาฬิกาบอกเวลาเลยหนึ่งชั่วโมงมาได้เล็กน้อย แม้ว่า อปอสโตลอส เวลลิออส จะกู้หน้าให้กับ เอฟเวอร์ตัน ด้วยการลงมาทำประตูตีไข่แตกให้กับผู้มาเยือนได้ แต่ก็ไม่ทันอยู่ดี

จบเกมนี้ เชลซี เหลือแต้มตามหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต้มเดียว และตามหลังจ่าฝูงอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงแค่ 3 คะแนนเท่านั้น ถือว่าพวกเขาพร้อมจะเป็นม้ามืดสอดแทรกสำหรับการลุ้นแชมป์ได้ชนิดทั้ง ซิตี้ หรือ ยูไนเต็ด เองก็มองข้ามไม่ได้เช่นกัน

จาก เชลซี ไปต่อกันที่ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ซึ่งปีนี้พวกเขาออกสตาร์ตได้ไม่ดี ทำให้อันดับยังวนเวียนอยู่ในครึ่งล่างของตารางคะแนนนับตั้งแต่ออกสตาร์ตฤดูกาลมา

2 ประตูจากกัปตันคนเก่ง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ทำให้ทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ เก็บ 3 คะแนนในเกมนี้ได้สำเร็จ โดยประตูแรกที่ดาวยิงดัตช์ทำได้นั้น เกิดขึ้นเพียงแค่ 29 วินาทีของเกมเท่านั้น โดยมีการบันทึกไว้ว่าเป็นประตูที่เร็วที่สุดของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ด้วย

เซบาสเตียน ลาร์สสัน อดีตเด็กของ อาร์เซน่อล ตีเสมอให้กับ ซันเดอร์แลนด์ เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงจากฟรีคิก ทว่าก่อนหมดเวลาเพียง 8 นาที ฟาน เพอร์ซี่ ที่ยังนิ่งกับการต่อสัญญาฉบับใหม่กับ อาร์เซน่อล

ก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่เขามีต่อทีมด้วยการสังหารประตูชัยเก็บ 3 คะแนนที่ล้ำค่าให้กับต้นสังกัดได้สำเร็จ

นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ของ อลัน พาร์ดิว ยังเดินหน้าต่อไป แม้ว่าหวุดหวิดจะพบกับความพ่ายแพ้คาบ้าน ทว่าพวกเขาก็สามารถฮึดตีเสมอแบ่งแต้มกับผู้มาเยือนอย่าง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ได้อย่างหวุดหวิด 

ทำให้ปีนี้แฟนๆของทีม “สาลิกดง” เริ่มจะฝันหวานมองไกลไปถึงโอกาสทำอันดับไปเล่นฟุตบอลยุโรปในปีหน้ากันบ้างแล้ว

พรีเมียร์ลีกสัปดาห์หน้า จะมีเกมบิ๊กแมตช์อีกครั้งเมื่อจ่าฝูง และ รองจ่าฝูง อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะต้องมาปะทะแข้งกันเอง เพื่อจะพิสูจน์ว่าใครกันแน่ที่คือเต็ง 1 ตัวจริงสำหรับการลุ้นแชมป์ในปีนี้

เรียกว่าพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง และเตรียมกลับมาพบกับรีวิวได้ใหม่ในสัปดาห์หน้าครับ

เรื่องโดย "มาร์ค สุรเดช"

คอลัมน์ Premier League Review นสพ.กีฬาฮอตสกอร์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook