เมื่อฟุตบอลไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด

เมื่อฟุตบอลไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด

เมื่อฟุตบอลไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตอนนี้สิ่งที่แฟนฟุตบอลอังกฤษอยากรู้ที่สุด ไม่ใช่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะรักษาตำแหน่งจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกไว้ได้ต่อไปเรื่อยๆ หรือไม่ หรือทีมไหนจะได้ผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกเอฟเอคัพบ้าง

แต่เป็นอาการของฟาบริซ มูอัมบา มิดฟิลด์ของโบลตัน วันเดอเรอร์ส ที่ต้องถูกหามออกจากสนามไปยังห้องไอซียูของโรงพยาบาลแบบไม่มีใครคาดคิด

ภาพที่นักเตะหนุ่มวัยแค่ 23 ปีล้มฟุบลงไปกับพื้นสนามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีการถูกปะทะหรือสาเหตุภายนอกใดๆ ให้เห็น บวกกับการแสดงออกที่ตื่นตกใจและวิตกกังวลของนักเตะคนอื่นๆ ในสนาม และการที่ทีมแพทย์สนามของทั้งสองทีมกรูกันลงไปดูอาการของเขา บอกให้รู้ได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดี

หลังจากลงเล่นได้ตามปกติในช่วง 40 นาทีแรกของเกม มูอัมบาก็ฟุบลงไปเพราะอาการหัวใจหยุดเต้น ซึ่งทำให้เขาหยุดหายใจ และทีมแพทย์สนามต้องใช้ความพยายามในการกู้ชีพของเขาอยู่ราว 10 นาที ทั้งการผายปอดและการปั๊มหัวใจ โดยมีการใช้เครื่องปั๊มหัวใจช่วยกระตุ้นถึง 6 ครั้ง จนกระทั่งหัวใจเขากลับมาเต้นใหม่

ก่อนที่เขาจะถูกหามออกจากสนามไปโดยสวมหน้ากากออกซิเจน และถูกนำตัวขึ้นรถพยาบาลไปยังลอนดอน เชสท์ ฮอสปิตอล ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจโดยเฉพาะ โดยมีโอเว่น คอยล์และเควิน เดวี่ส์ ผู้จัดการทีมและกัปตันทีมโบลตัน นั่งรถไปด้วย

ฮาวเวิร์ด เว็บบ์ กรรมการในเกมนี้ ตัดสินใจสั่งยกเลิกการแข่งขัน หลังจากปรึกษากับคอยล์และแฮร์รี่ เรดแนปป์ ผู้จัดการทีมสเปอร์ส แล้ว เพราะไม่มีนักเตะคนไหนมีกะจิตกะใจจะแข่งต่ออีกแล้ว ขณะที่แฟนบอลก็ไม่ได้สนใจว่าสกอร์ตอนนั้นเป็นยังไงหรือจะออกมาเป็นยังไง เพราะนาทีนั้นสิ่งเดียวที่ทุกคนนึกถึงคือมูอัมบา มันคือช่วงเวลาที่ฟุตบอลไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดอีกต่อไปแล้ว

กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ มูอัมบาต้องผ่านเรื่องที่หนักหนาสาหัสในชีวิตมาแล้ว เมื่อเขาและครอบครัวต้องหลบหนีออกมาจากบ้านเกิดอย่างอดีตประเทศซาอีร์ ซึ่งปัจจุบันคือสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก มายังอังกฤษในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง และเขาก็มีฟุตบอลเป็นบ้านหลังที่สอง

พ่อของเขาเป็นอดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีซาอีร์ในขณะนั้น ก่อนที่จะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990 การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจกันทำให้กรุงคินชาซา ซึ่งเขาและครอบครัวที่ประกอบด้วยพ่อแม่และพี่น้องอีกสามคนอาศัยอยู่ ไม่ใช่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป

“มันทำให้เราออกไปเล่นฟุตบอลไม่ได้เพราะเรากลัวจะโดนฆ่า เพื่อนของผมคนสองคนเคยบาดเจ็บมาแล้ว” มูอัมบาเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับชีวิตของเขาไว้เมื่อปีที่แล้ว

เช้าวันหนึ่งของปี 1994 เจ้าหนูมูอัมบาในวัย 6 ขวบถูกพ่อปลุกขึ้นมาเพื่อบอกว่ากำลังจะออกไปข้างนอก ซึ่งความจริงแล้วเขาตั้งใจจะหนีไปอังกฤษเพื่อขอลี้ภัยทางการเมือง

“พ่อแค่เข้ามาหาผมตอนเช้าแล้วบอกว่ากำลังจะออกไปข้างนอก ผมถามว่าจะไปไหนแต่พ่อไม่บอก ผมบอกว่าครับ ไว้เจอกันเมื่อถึงเวลา โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าเขากำลังจะไปสนามบินและทิ้งพวกเราไป”

อีก 5 ปีให้หลังเขาและครอบครัวที่เหลือจึงได้อพยพตามผู้เป็นพ่อมาอยู่ยังอังกฤษด้วย โดยมูอัมบาในวัย 11 ขวบที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เริ่มต้นชีวิตในประเทศใหม่ของเขา ด้วยการเข้าเรียนที่โรงเรียนเคล์มสกอตต์ในวอลแธมสโตว์ ซึ่งอยู่ห่างจากสนามไวท์ฮาร์ทเลนไปแค่ไม่กี่ไมล์

สิ่งที่ยังติดตัวเขามาด้วยคือความสามารถในด้านฟุตบอล จนทำให้เขาถูกอาร์เซนอลเรียกตัวไปร่วมฝึกซ้อมด้วยในปี 2002 และได้รับการเซ็นสัญญาเป็นนักเตะยาวชนของปืนใหญ่ในอีก 2 ปีให้หลัง

แต่ด้วยนักเตะฝีเท้าดีๆ หลายคนในทีมทำให้มูอัมบามีโอกาสได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของอาร์เซนอลแค่ในเกมลีกคัพ 2 นัดเท่านั้น และเขาก็ตัดสินใจย้ายไปเบอร์มิงแฮม ซิตี้ในปี 2006 ด้วยสัญญายืมตัว หลังจากหนึ่งฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จ ทีมตราลูกโลกก็ซื้อขาดเขาด้วยค่าตัวราว 4 ล้านปอนด์ ก่อนที่จะย้ายไปโบลตันในปี 2008 ด้วยค่าตัวราว 5 ล้านปอนด์

เขายังเคยลงเล่นให้ทีมเยาวชนของอังกฤษในทุกระดับอายุมาแล้ว โดยลงเล่นในทีมชุดยู 21 ถึง 33 นัดและเคยสวมปลอกแขนเป็นกัปตันทีมด้วย

มูอัมบาใช้ชีวิตร่วมกับชอนน่า มากุนด้า แฟนสาวของเขา และโจชัว ลูกชายวัย 3 ขวบ ที่วิล์มสโลว์ในเชสเชียร์ โดยเขาได้ขอชอนน่าแต่งงานเมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาด้วย และเขาเพิ่งเริ่มลงเรียนในมหาวิทยาลัยเปิดไปเมื่อไม่นานมานี้

“สิ่งที่ผมได้พบเจอมาทำให้ผมเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ และช่วยให้ผมผ่านพ้นอุปสรรคทุกอย่างไปได้ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน” มูอัมบาบอก

“เวลาที่ผมมองย้อนกลับไปยังเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาของผม ผมจะเห็นได้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน”

“ผมไม่ใช่นักฟุตบอลที่มีพรสวรรค์มากที่สุด แต่ผมรู้ว่าผมทำอะไรได้และต้องทำอะไรเพื่อจะมาอยู่ตรงจุดที่ผมอยู่ในตอนนี้”

“ผมแค่รักษาความเป็นตัวของตัวเองไว้และสนุกกับสิ่งที่ผมมี ผมอยากสนุกกับทุกอย่างที่ผมได้รับจากชีวิตนี้”

เบบี้ แบร์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook