เมื่อรูนี่ย์ ‘คลิก' และมีเคมีตรงกับ ‘RVP'

เมื่อรูนี่ย์ ‘คลิก' และมีเคมีตรงกับ ‘RVP'

เมื่อรูนี่ย์ ‘คลิก' และมีเคมีตรงกับ ‘RVP'
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในฐานะ "คอบอล" คนหนึ่งที่ไม่ใช่แฟนทีม "ปิศาจแดง" แมนฯยูไนเต็ด ผมยอมรับว่า "เอนจอย" นะครับตอนเห็นลูกทีมท่านเซอร์โดน "นำก่อน" ในทุกแมตช์ฤดูกาลนี้

และก็ "ยอมรับ" ด้วยว่า "ไม่ฮา" เพราะยอดทีมอังกฤษคัมแบ็กได้แทบทุกครั้ง จะมียกเว้นก็แค่เกมล่าสุดกับ สเปอร์สในบ้านเท่านั้น

นอกนั้นอีก 4 เกมในลีก และเกมล่าสุดใน UCL รอบแบ่งกลุ่มนัดที่ 2 กับซีเอฟอาร์ คลูจ์ ทีมปิศาจแดงแซงกลับ หรือ Come from behind มาชนะได้ทุกครั้ง

ข้อดีประการหนึ่งของการ "พลิกแซง" ที่ต่างจากแมตช์ "เข้าป้าย" ง่ายๆ ชนิดนำม้วนเดียวจนจบ เช่น ที่เชลซีบุกไปถล่ม เอฟซี นอร์เยลแลนด์ 4-0 ก็คือ ประเด็นสวยๆ ให้ได้พูดถึงจากการ "แก้เกม" ผ่านสถานการณ์ที่ตกเป็นรอง

หรือผลงานของนักเตะที่สามารถ "พลิกเกม" หรือเปลี่ยนเกมให้ทีมได้อย่างเช่น ล่าสุดที่การลงสนามพร้อมกันตั้งแต่นาทีแรกระหว่าง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ และเวย์น รูนี่ย์ ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จอย่างสูง

ตามหลังการลงมา "เปลี่ยนเกม" ในครึ่งหลังแต่ไม่ทันกาลในแมตช์แพ้สเปอร์ส 2-3 ของรูนี่ย์ที่ทั้งไอ้หมูพลิ้ว และ RVP ฉายแววการเล่นคู่กันได้ดี

ดังนั้นการได้เห็นเซอร์อเล็กซ์ จับรูนี่ย์ และขุนพลชุดใหญ่เน้น "เกมรุก" เต็มรูปแบบบุกคลูจ์ จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจหลังจากซีซั่นก่อน "เฟอร์กี้" พลาดใส่นักเตะชุดรองลงสนามในหลายเกม UCL รอบแบ่งกลุ่มจนต้องตกรอบแรก

รูนี่ย์ assist ให้ฟาน เพอร์ซี่ จากทั้ง 2 ประตูในชัยชนะนัดที่ 2 ติดต่อกันในยุโรปผ่านระบบที่ผมมองว่าน่าจะเป็น 4-2-3-1 ที่มีชิชาริโต้ห้อยหน้า และรูนี่ย์, ฟาน เพอร์ซี่ และทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ สนับสนุน ขณะที่ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ และอันแดร์สัน เป็นมิดฟิลด์คู่กลาง

ระบบนี้จะเป็นอีก "ออพชั่น" ของทีม เพราะเกมรุกจะทำจากการเจาะตรงกลางเป็นหลัก เนื่องจากด้านกว้างของสนามที่เติมเกมรุกจะไม่มี นานี่, อันโตนิโอ บาเลนเซีย หรือแอชลี่ย์ ยัง แต่จะเป็นแบ็กทั้ง 2 ข้าง : เอฟร่า และฟาบิโอ

การมี RVP, รูนี่ย์, ชิชาริโต้, เคลฟเวอร์ลี่ย์ ลงสนามพร้อมกัน สิ่งที่ "การันตี" ได้แน่นอนก็คือ "โอกาส" ในการทำประตูที่สุดท้ายก็แล้วแต่ "จังหวะ" และ "โชค" เหมือนกันว่าโอกาสจะเปลี่ยนเป็นประตูได้แค่ไหน

แต่อย่างน้อยผมมั่นใจครับว่า 8 จาก 10 แมตช์ หรือ 80% ขึ้นไป ท่านเซอร์ต้องใช้ "อาวุธ" เหล่านี้ที่มีไม่นับ "อะไหล่" ในคลังอย่าง แดนนี่ เวลเบ็ค ฯลฯ เปลี่ยนทุกสถานการณ์เป็น "ประตู" ได้มากกว่า "เสียประตู" แน่นอน

ครับถึงเวลานี้ ผมคิดว่า แฟนทีมผีแดงต้อง "ทำใจ" เนื่องจากเกมรับมีปัญหามากจริงๆ เช่นเกมนี้ก็ปล่อยให้หัวหอกทีมชาติกรีซ พันเทลิส คาเปตานอส ยืนว่างๆ และพลิกตัวยิงในเขตโทษได้อย่างไร?

ระหว่าง จอนนี่ อีแวนส์, ริโอ ใครควรจะประกบ หรือสื่อสารถึงกันและกัน เพราะการเสียประตูนั้นเกิดขึ้นได้ครับ เฉพาะอย่างยิ่งเกมระดับสูงอย่าง UCL แต่มันต้อง "ไม่ง่าย" ขนาดนี้ หรือเหมือนทั้ง 3 ประตูที่เสียให้สเปอร์ส
งานนี้ระดับ อลัน เชียเรอร์ ยังแสดงความเห็นว่า การขาด เนมานย่า วิดิช กัปตันทีมจะมีผลถึงการชวดแชมป์พรีเมียร์ลีก

ไม่นับการได้เห็น "ส่วนเกิน" อย่าง มิกาเอล ซิลแวสตร์ ที่ไร้สังกัด ณ วัย 36 ปี มาร่วมเทรนกับเพื่อนๆ น้องๆ ที่แคร์ริงตัน ยังเป็นภาพน่าคิดว่า วันหนึ่งกองหลังฝรั่งเศสอาจได้กลับมาเติมตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟช่วยทีม

เพราะผมกำลังรอดูอยู่ว่า ริโอ เฟอร์ดินานด์ วัย 33 ปี และมีประวัติการบาดเจ็บบ่อยจะทนเล่นสัปดาห์ละ 2 แมตช์ หนักๆ แบบนี้ได้ต่อไปอีกสักกี่น้ำ ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น สถานการณ์ "เกมรับ" ของทีมปิศาจแดงจะยิ่งน่าเป็นห่วง

ตรงกันข้าม การได้เห็น "แชมป์เก่า" UCL ถล่มแชมป์เดนมาร์ก นอร์ดเยลแลนด์ ถึง 4-0 แต่กลับไม่มีชื่อ เฟอร์นานโด ตอร์เรส บนสกอร์ชีต (แม้จะเล่นได้ดีโดยรวม) ทำให้ผมแอบเป็นห่วงทีมสิงโตน้ำเงินคราม

ครับ ในเวลาที่แมนฯยูฯ มีกองหน้าเยอะแยะ และระดับโลกถึง 4 คน แต่ขาดกองกลางชั้นดี เชลซีกลับไม่มีกองหน้า แต่มีกองกลางทุกรูปแบบที่ต้องการทั้งรุก, รับ หรือเพลย์เมกเกอร์ ชนิดที่ RDM โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ต้องอธิบายให้แฟรงค์ แลมพาร์ด เข้าใจว่า บทบาทบนม้านั่งสำรองจะต้องมีมากขึ้น

โดยรวมๆ ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา RDM ทำได้ดีกว่า เฟอร์กี้ เพราะเลือก "โรเตชั่น" ได้เหมาะสม เช่น เกมนี้กับนอร์ดเยลแลนด์ ซึ่งเป็นทีมยุโรป และเล่นช้า แลมพาร์ดได้โอกาสลงสนามเป็นกัปตันทีม และตัวจริง

ต่างกับท่านเซอร์ที่ผมไม่แน่ใจว่า พอล สโคลส์ และไรอัน กิ๊กส์ ป่วยจริงเหมือนข่าวบางกระแส หรือต้องการจะเปลี่ยนทัพในแมตช์นี้กับคลูจ์ ซึ่งผมมองว่า สโคลส์ และกิ๊กส์ เล่นสบาย เพราะเกมยุโรปจะช้ากว่าในพรีเมียร์ลีก (เช่น เกมกับกาลาตาซาราย ซึ่งสโคลส์เล่นเป็นพระเอก)

แต่สโคลส์, กิ๊กส์ และริโอ เล่นด้วยกันไม่ได้แน่ๆ กับทีมใหญ่ในพรีเมียร์ลีก เพราะความสด, ความฟิต และความเร็วเป็นรองเหมือนที่โดนสเปอร์ส "สอนบอล" มา

วกมาที่ เชลซีอีกครั้งครับ ปัญหาของตอร์เรส ซีซั่นนี้ก็คือ หัวหอกสแปนิชไม่มี "คู่แข่ง" ในแดนหน้าให้เค้า "เค้นฟอร์ม" ที่ดีกว่านี้ออกมา เพราะแดเนียล สเตอร์ริดจ์ ก็ไม่ค่อยได้รับโอกาสจาก RDM เฉพาะอย่างยิ่งโอกาสเป็น "หอกเดี่ยว"

อารมณ์ตอร์เรสจึงดูขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดูแฮปปี้ เดี๋ยวดูเซ็งๆ ไม่ทุ่มเทในสนาม หรือคาดเดาใจไม่ถูกในเวลาที่แม้จะเล่นดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ดีเท่าตอนอยู่ลิเวอร์พูล

หากตอร์เรสเจ็บไป ผมเกรงว่า เชลซีอาจมีปัญหา และมีสิทธิ "สะดุด" ได้ในซีซั่นที่ยัง "ราบรื่น" ไร้ปัญหาอยู่ ต่างจากแมนฯยูฯที่ "ขรุขระ" พอควร แต่เอาตัวรอดได้เรื่อยๆ

เฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ รูนี่ย์ และ RVP เป็นดูโอที่ดูเข้าอกเข้าใจกัน และ "คลิก" กันขนาดนี้...

เรื่องโดย "Kai Mook Dam"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook