ยื้อ !!

ยื้อ !!

ยื้อ !!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : ผ่านพ้นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2556 ที่ผ่านมา หลายคนถือโอกาสพักผ่อนชาร์จแบตเติมพลังชีวิตชนิดเต็มสตีม เพื่อเพิ่มไฟในการประกอบกิจการต่างๆ พร้อมกลับมาตั้งหน้าตั้งตาขายแรงสู้งานกันต่อไป

บางคนใช้วาระนี้เดินสายท่องเที่ยวท้าลมหนาวและดาวเดือนตามสถานที่ต่างๆ เพื่อพิสูจน์รักแท้ หรือแค่ขำๆ กับคู่ขาปาท่องโก๋ ทั้งที่เป็นแฟน หรือมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน

บางท่านและอีกหลายๆ ท่าน รวมถึงกระผมเอง ใช้โอกาสวันดีๆ นี้กลับไปเยี่ยมครอบครัวที่บ้านเกิดภูมิลำเนาดั้งเดิม ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน ขอพรปีใหม่จากผู้เฒ่าผู้แก่

นั่นแหละ ห้วงเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัวอันเป็นที่รัก ช่างแสนสุขใจนักแล จนแทบมิอยากพรากจากกัน

ว่าแล้วก็อยากมีโอกาส อยากย้อนเวลา อยากกลับไปจุดเดิม แค่เพียงสักครั้งจะแต่งชีวิตเพิ่มเติม เป็นคนที่ดีไม่ยอมเป็นเด็กเสเพล .. เง้อออ !!..ว่าไปเรื่อย

เชื่อว่าหลายคนอยากหยุดช่วงเวลาแห่งความสุขไว้ ณ เดี๋ยวนั้น หรือเป็นไปได้ขอยื้อไว้นานๆ หน่อยก็ยังดี

พยายามที่จะโยงให้เข้าเรื่อง ด้วยการชักแม่น้ำทั้ง 5 ทั้ง ปิง วัง ยม น่าน และแม่น้ำเจ้าพระยา มารวมกัน เพื่อจะได้เล่าเกมโกงความตายของ แมนฯ ยูไนเต็ด หลังจากบุกเสมอ "ขุนค้อน" 2-2 ต่อลมหายใจในเส้นทางสาย เอฟเอ คัพ ไว้ได้อย่างหวุดหวิด

เกมบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เดินทางมาถึงรอบที่ 3 ซึ่งเป็นคิวของทีมจากลีกสูงสุดจะได้ลงโม่แข้งกันถ้วนหน้า

เช่นเดียวกับ เวสต์แฮม ของกุนซือ แซม อัลลาร์ไดซ์ หนุ่มใหญ่ สปอร์ต ใจดี ผู้รักในศาสตร์และศิลป์ของฟุตบอลอังกฤษโบราณ ได้คิวนำลูกทีมเปิดบ้านต้อนรับทีมจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก

อีกทั้งเป็นงานเปิดตัวแข้งใหม่หน้าเดิมอย่าง โจ โคล ที่เพิ่งเซ็นสัญญาหวนคืนรังเก่าอีกครั้ง หลังตกอับกับยอดทีมอย่าง ลิเวอร์พูล อยู่พักใหญ่

อดีตขวัญใจสาวก "เดอะ แฮมเมอร์ส" เปิดตัวกับสโมสรรักเก่าที่บ้านเกิดได้อย่างสะแด่วแห้ว ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวทำเกมแบบเต็มตัว พร้อมมอบผลงาน 2 แอสซิสต์ เป็นของขวัญแด่แฟนบอลในวันคืนสู่เหย้า

ขณะที่ทีม แมนฯ ยูฯ ที่จัดตัวแบบ "ก็เอาอยู่นะ" มีการหมุนเวียนผู้เล่นตัวหลักกับตัวสำรองลงสนามตามสไตล์ นำทัพโดย เนมานย่า วิดิช กัปตันทีมชาวเซิร์บ

เริ่มมาทำท่าว่าจะดี ได้ประตูออกนำก่อนพร้อมกับรูปเกมที่ขี่เจ้าถิ่นอยู่นิดๆ แต่สงสัยจะช๊อตหลังโดนคนหัวดีอย่าง เจมส์ คอลลินส์ ใช้หัวเหม่งๆ บรรจงสะบัดลูกบอลเข้าไปกระทบก้นตาข่าย 2 ดอกเน้นๆ

แต่ผลงานการแก้เกมของ "เซอร์ เฟอร์กี้" ยังเฉียบขาดอยู่เสมอ ไพ่ใบสุดท้ายที่เหลืออยู่ในมือแทนที่จะเป็น 2 นักเตะหนุ่มวัยคะนองอย่าง แอชลี่ย์ ยัง รวมถึง เฟเดริโก้ มาเคด้า แต่ป๋าเลือกจิ้มดาวเตะวัยเก๋ารุ่นน้าอย่าง ไรอัน กิ๊กส์ ยอดแข้งมากประสบการณ์ ในวัย 39 ปี

ลูกเปิดสุดมหัศจรรย์ผีจับยัดในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ "น้ากิ๊กส์" ให้กับ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ที่ลงมาเป็นสำรองเช่นเดียวกันในเกมนี้ มาพร้อมกับน้ำหนักและทิศทางที่เหมาะเจาะยอดเยี่ยมกระเทียมเจียว

แล้วต้องชม "อาร์วีพี" ที่ใช้สัญชาตญาณเพชฆาตระดับโลก แต่งบอลเข้าไปยิงผ่านมือ ยุสซี่ ยาสเคไลเน่น อย่างเฉียบขาด

คิดอะไรไม่ออกบอก "อาร์วีพี" เดียวเฮียเค้าจัดให้ !!

ประตูนี้เท่ากับว่าเส้นทางสายลุ้นแชมป์ "เอฟเอ คัพ" สมัยที่ 12 ของ "ปีศาจแดง" ยังอยู่ในมือ เพียงแต่ดึงเวลานิดหน่อย ก่อนปล่อยพลังอัดค้อนในนัดรีแมตช์ ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 16 ม.ค.นี้

พูดถึงนัด "รีเพลย์แมตช์" บอลถ้วยอายุยืน ขอย้อนความหยิบของเก่าเล่าเรื่องอดีตมานำเสนอ ในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เกมไหนมีความหมาย และอยู่ในความทรงจำกันบ้าง

1. ฤดูกาล 1989-90 พบกับ คริสตัน พาเลซ ในรอบชิงชนะเลิศ

หลังจากทำทีมมาร่วม 4 ปี อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ขณะที่ไร้บรรดาศักดิ์ "เซอร์" ใกล้คอขาดเต็มที นำทีมเข้าชิงฯ กับ คริสตัน พาเลซ ในยุคของ สตีฟ ค็อปป์เปลล์ กุนซือหนุ่มไฟแรง อดีตเด็กเก่า "ผีแดง"

เกมนัดแรก 90 นาที เสมอ 2-2 ต่อเวลาพิเศษยังเสมอกันอีก 3-3 ยื้อไปแข่งต่อนัดที่ 2 ก่อนที่จะได้ ลี มาร์ติน แบ็กซ้ายดาวรุ่ง ณ เวลานั้น ยิงประตูชัยให้ทีมคว้าแชมป์แรกในยุค "เฟอร์กี้" พร้อมกับเซฟเก้าอี้กุนซือไว้ได้หวุดหวิด

2. ฤดูกาล 1993-94 พบกับ โอลด์แฮม ในรอบรองชนะเลิศ

พอเริ่มมีเหรียญรางวัลติดมือ เฟอร์กูสัน นำทีมไล่ล่าความสำเร็จต่อเนื่อง โคจรมาพบกับ โอลด์แฮม แอธเลติก ที่ยังแหวกว่ายอยู่ในเวทีลีกสูงสุดอยู่ ณ เวลานั้น ในรอบรองชนะเลิศ

เกมที่ เวมบลีย์ สเตเดี้ยม ต้องยื้อกันถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ นีล พอนตัน ยิงให้ โอลด์แฮม นำก่อนนาที 107 แต่ มาร์ค ฮิวจ์ส มายื้อชีวิตให้กับทีมตีเสมอได้ในนาที 119 ก่อนหมดเวลาแค่นาทีเดียว

นัดรีแมตช์ย้ายไปแข่งที่ เมน โร้ด อดีตรังเหย้าของ แมนฯ ซิตี้ ก่อนที่แข้ง "อสูรแดง" จะเดินหน้าฆ่าไม่ยั้ง เอาชนะไปได้ 4-1 จากผลงานของ เดนิส เออร์วิน, อังเดร แคนเชลสกี้, ไบรอัน ร็อบสัน และไรอัน กิ๊กส์ ก่อนขยี้ เชลซี ในนัดชิงฯ 4-0 ผงาดคว้าดับเบิ้ลแชมป์ร่วมกับพรีเมียร์ลีก

3. ฤดูกาล 1998-99 พบกับ เชลซี ในรอบก่อนรองฯ และอาร์เซน่อล ในรอบรองชนะเลิศ

ปีประวัติศาสตร์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง ลูกทีมของ "ป๋า" ต้องเล่นรีแมตช์ถึง 2 รอบติดๆ โดยในรอบก่อนรองฯ พบกับ เชลซี ของ จานลูก้า วิอัลลี่ กุนซือชาวอิตาลี นัดแรกเสอที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แบบไร้สกอร์ ก่อนที่ทัพ "ผีแดง" จะได้ ดไวท์ ยอร์ค ซัดเบิ้ล นำทีมบุกชนะถึง สแตมฟอร์ด บริดจ์ 2-0

ในรอบรองฯ ต้องโคจรมาเจอกระดูกชิ้นโตอย่าง อาร์เซน่อล ของ อาร์แซน เวนเกอร์ ที่อุดมไปด้วยขุมกำลังระดับพระกาฬเต็มทีม

เกมการแข่งขันที่ วิลล่า พาร์ค สนามกลาง จบลงด้วยผลเสมอ 0-0 ต้องแตะใหม่ในอีก 3 วันให้หลังที่สนามเดิม แมนฯ ยูฯ ขึ้นนำก่อนจาก เดวิด เบ็คแฮม นาที 17 ก่อนที่ เดนนิส เบิร์กแคมป์ จะมายิงตีเสมอได้ นาที 69

สถานการณ์กลับมาเข้าทางทีม "ปืนใหญ่" เมื่อ รอย คีน โดนไล่ออก พร้อมกับโดนจุดโทษในนาทีสุดท้าย หลังจากที่ ฟิล เนวิลล์ ไปทำฟาวล์ เรย์ พาร์เลอร์ แต่เดชะบุญ เบิร์กแคมป์ ยิงไปโดน ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล เชฟเอาไว้ได้ ยื้อไปต่อเวลาพิเศษ

10 คนที่เหลือในสนามของ แมนฯ ยูฯ ยังเล่นด้วยความมุ่งมั่น ก่อนที่โชคชะตาฟ้าลิขิต จะมอบประตูแห่งความทรงจำให้กับ ไรอัน กิ๊กส์ ร่ายเวทย์มนต์พ่อมด ลากบอลโซโล่เดี่ยวกว่าครึ่งสนามเข้าไปยิงแสกหน้า เดวิด ซีแมน ในช่วงต่อเวลาพิเศษ เป็นประตูชัยนำทีมเข้าไปโค่น นิวคาสเซิ่ล ในนัดชิงฯ 2-0 ก่อนเถลิงบังลังก์ทริปเปิ้ลแชมป์ในเวลาต่อมาได้อย่างยิ่งใหญ่

มนเสน่ห์ของศึกลูกหนังที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ยังเดินหน้าขีดเขียนประวัติศาสตร์ สร้างความสุขสันต์หรรษาให้กับแฟนบอลได้เสพกันทุกปีๆ

หวังว่าปีนี้คงจะเป็นอีกปี ที่สาวก "เร้ด เดวิลส์" จะได้เชยชมโทรฟี่แชมป์ "เอฟเอ คัพ" อีกครั้ง หลังจากร้างตู้โชว์มากว่า 9 ปีเต็ม

เรื่องโดย "จ่าตุ๊"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook