Premier League Review by Mark Suradej

Premier League Review by Mark Suradej

Premier League Review by Mark Suradej
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : ชัยชนะแบบเหมือนนัดกันมาของทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้สถานการณ์ด้านบนของหัวตารางพรีเมียร์ลีกหลังผ่านสุดสัปดาห์ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

โดย ยูไนเต็ด เก็บชัยชนะเหนือคู่ปรับตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล เกมนี้ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ยิงประตูได้อีกแล้ว ส่วน "แชมป์เก่า" ซิตี้ โชว์ผลงานไม่น้อยหน้าบุกไปเอาชนะ อาร์เซน่อล ได้ถึง เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม

โดยจบเกมนี้ทั้งสองทีมเหลือผู้เล่นในสนามแค่ฝั่งละ 10 คนเท่านั้น นอกเหนือจากความสำคัญของความเป็นเกมแดงเดือดที่เข้มข้นในแง่ของศักดิ์ศรี และ ความภาคภูมิใจของแฟนๆแล้ว

การพบกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมายังมีความหมายทั้งต่อการลุ้นแชมป์ของเจ้าถิ่นและโอกาสไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ฤดูกาลหน้าของทีมเยือนเป็นอย่างยิ่ง

ก่อนหน้าเกมนี้ ยูไนเต็ด มีคะแนนนำหน้าคู่ปรับร่วมเมืองอยู่ 7 คะแนนและมีโอกาสจะฉีกหนีไปมากกว่านั้นเพราะมีโปรแกรมได้ลงเล่นก่อน

ขณะที่ ลิเวอร์พูล นั้นรั้งอยู่อันดับ 8 แต่ยังไม่หมดความหวังในการจะลุ้นไปเล่นฟุตบอลรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า

เพราะคะแนนของทีมตั้งแต่อันดับ 4 ลงมาจนถึงพวกเขายังไม่ถึงกับถูกทิ้งห่างจนเกินไป

สถิติในการเจอกันที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นั้น ยูไนเต็ด มีสถิติที่ดีกว่าโดยเฉพาะในช่วง 3 ฤดูกาลที่ผ่านมาเป็นพวกเขาที่เอาชนะคู่ปรับสำคัญมาได้ตลอด

หนสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล บุกมาชนะเกมลีกที่นี่เกิดขึ้นเมื่อปี 2009 เลยนั่นเอง

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ส่ง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ กลับมาเป็นตัวหลักในแนวรุกอีกครั้งคู่กับ แดนนี่ เวลเบ็ค โดยไม่มี เวย์น รูนี่ย์ ที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ

ด้าน ลิเวอร์พูล นั้น เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ไม่ได้ส่ง ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ เป็นตัวจริงตั้งแต่ต้นเกม โดยเลือกใช้งาน หลุยส์ ซัวเรซ เป็นหัวหอกตัวเป้าคนเดียว

ขณะที่แบ็คซ้ายซึ่ง โฆเซ่ เอ็นริเก้ เจ็บไป ก็ใช้งาน เกล็น จอห์นสัน ลงเล่นแทนตามคาด

เกมครึ่งแรกนั้น ยูไนเต็ด เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดและพวกเขาก็ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนในเกมนี้ในนาทีที่ 19 จาก โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ที่ใช้ความเร็วที่เหนือกว่า ดาเนี่ยล แอ๊กเกอร์ เข้าไปซัดผ่าน เปเป้ เรน่า

ส่งให้ ยูไนเต็ด ขึ้นนำไปก่อน และนี่ยังเป็นประตูที่ 10 ของเขาใน 10 เกมหลังสุดด้วย

ช่วงท้ายครึ่งแรก ยูไนเต็ด น่าจะได้ประตูที่สองเมื่อลูกเปิดจากด้านข้างของ ราฟาเอล เลยทั้ง ชินจิ คากาวะ และ ฟาน เพอร์ซี่ ไปหมด ทำให้ ยูไนเต็ด นำอยู่แค่ 1-0 เท่านั้น

เข้าสู่ครึ่งหลังทั้ง เซอร์ อเล็กซ์ และ ร็อดเจอร์ส ต่างปรับทีมของตัวเอง ยูไนเต็ด ส่ง อันโตนิโอ วาเลนเซีย ลงมาแทน แอชลี่ย์ ยัง ที่บาดเจ็บจากจังหวปะทะกับ ดาเนี่ยล แอ๊กเกอร์

ขณะที่ ลิเวอร์พูล เองก็ต้องยอมถอด ลูคัส เลว่า มิดฟิลด์ตัวรับที่โดนใบเหลืองอกไปและส่งตัวรุกอย่าง ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ลงมาเสริมเพื่อหวังเอาประตูคืน

และผ่านไปประมาณ 9 นาทีเท่านั้นจากจังหวะที่ได้ฟรีคิกของ ยูไนเต็ด พวกเขาก็มาได้ประตูหนีห่างเป็น 2-0 เมื่อบอลที่ ปาทริซ เอฟร่า โหม่งมาไปกระทบตัว เนมานย่า วิดิช เข้าประตูไป

อย่างไรก็ดี ลิเวอร์พูล ก็ตีไข่แตกในอีกไม่กี่นาทีต่อมาเมื่อลูกยิงของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด โดน ดาบิด เด เคอา ชกทิ้งออกมาไปเข้าทาง ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ พอดี

เลยโดนดาวยิงตัวใหม่ของทีม "หงส์แดง" จัดการสอยประตูนี้เข้าไปและเป็นประตูที่สองจากสองเกมติดต่อกันของ สเตอร์ริดจ์ ให้กับ ลิเวอร์พูล ด้วยหลังจากประเดิมประตูแรกไปตั้งแต่เกมเอฟเอ คัพ รอบ 3 กับ แมนส์ฟิลด์ ทาวน์ เมื่อสัปดาห์ก่อน

ก่อนหมดเวลา สเตอร์ริดจ์ เกือบจะตีเสมอให้กับ ลิเวอร์พูล แต่เขาพลาดปล่อยโอกาสทองหลุดลอยไปทำให้จบเกมเป็นทางด้าน ยูไนเต็ด ที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล ไปได้ 2-1 พร้อมกับทำคะแนนทิ้ง ซิตี้ ไปล่วงหน้าเป็น 10 คะแนนเต็ม

 ให้หลังเกมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด จบลงไม่นาน เกมสำคัญอีกหนึ่งเกมในวันอาทิตย์ระหว่าง อาร์เซน่อล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ลงสนามตามมาติดๆ

โดยสถิติการมาเยือนรัง อาร์เซน่อล ของ ซิตี้ นั้นย่ำแย่เอามากๆ หนสุดท้ายที่พวกเขาบุกมาชนะถึงถิ่นของ "ไอ้ปืนใหญ่" ได้นั้นต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1975 เลยทีเดียว

ครั้งนั้น ซิตี้ บุกมาชนะ 3-2 ที่ ไฮบิวรี่ โดยได้ประตูจาก อาซา ฮาร์ทฟอร์ด, โจ รอยล์ และ ร็อดนี่ย์ มาร์ช คนละประตู

 

เจ้าถิ่นได้ทีมที่สมบูรณ์ลงเล่นในเกมนี้โดยเฉพาะบรรดาตัวรุกอย่าง ธีโอ วัลค็อตต์, ลูคัส โพดอลสกี้, ซานติ กาซอร์ล่า รวมถึง อเล็กซ์ อ็อกเลด-แชมเบอร์เลน

ด้าน ซิตี้ ไร้ เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่บาดเจ็บแต่ยังมี คาร์ลอส เตเวซ ล่าตาข่ายคู่กับ เอดิน เชโก้ และแดนกลางยังมีตัวริมเส้นฝีเท้าจัดๆอย่าง เจมส์ มิลเนอร์ และ ดาบิด ซิลบา ไว้คอยขับเคลื่อนเกม

เริ่มเกมมาได้เพียง 10 นาที อาร์เซน่อล ก็ต้องเหลือผู้เล่นแค่ 10 คนแล้วเมื่อ โลร็องต์ กอสเซียลนี่ ไปทำฟาวล์ เอดิน เชโก้ แต่ เชโก้ กลับซัดไม่ผ่าน วอยเซียจ เชสนี่ อย่างน่าเสียดาย

 

ทว่า ซิตี้ ก็รอไม่นานที่มาได้ประตูขึ้นนำอย่างที่ต้องการจากจังหวะฟรีคิกที่ แกเร็ธ แบร์รี่ ฉวยโอกาสเล่นเร็วเปิดบอลไปให้ คาร์ลอส เตเวซ ไหลต่อให้ เจมส์ มิลเนอร์ ซัดผ่าน เชสนี่ เข้าไป

อาร์เซน่อล ที่ตัวน้อยกว่าต้องเผชิญกับเกมบุกของทีมเยือนอย่างหนัก ฆาบี้ การ์เซีย น่าจะโหม่งให้ ซิตี้ หนีห่างออกไปอีกแต่ดาวเตะสเปน ก็พลาดจังหวะนี้

ถึงนาทีที่ 32 ประตูที่สองของ ซิตี้ ก็ตามมา ซาบาเลต้า ดวลกับ กิ๊บบ์ส ก่อนจะเปิดเข้ากลางแม้ เชสนี่ จะบล็อคโอกาสของ เตเวซ ไว้ได้ในจังหวะแรกแต่ก็ไม่วายโดน เชโก้ ตามเข้าซ้ำได้อยู่ดี ซิตี้ นำอยู่ด้วยสกอร์ 2-0 เมื่อจบครึ่งแรก

ครึ่งหลัง อาร์เซน่อล พยายามจะทวงประตูคืนและถึงนาทีที่ 75 ซิตี้ ก็เหลือผู้เล่นไม่ครบ 11 เช่นกันบ้าง

เมื่อผู้ตัดสิน ไมค์ ดีน มองว่าการเข้าปะทะ แจ็ค วิลเชียร์ ของ แว็งซ็อง ก็อมปานี นั้นอันตรายเกินไปจึงไล่กัปตันทีมรายนี้ของ ซิตี้ ออก

อย่างไรก็ดี ซิตี้ นั้นเล่นเน้นประคองตัวและเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ในที่สุด 2-0 ทำคะแนนตามหลัง ยูไนเต็ด อยู่ 7 คะแนนเท่าเดิม ด้าน อาร์เซน่อล แพ้เกมนี้ทำให้อยู่ห่างจากพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก อยู่ 6 คะแนน 

 ไปดูสถานการณ์ด้านล่างของตารางคะแนนกันบ้าง ที่ วิลล่า ปาร์ค บ้านของ แอสตัน วิลล่า มี เซาแธมป์ตัน มาเยือน

เกมนี้ ริคกี้ แลมเบิร์ต หัวหอกตัวเก่งของเทีมเยือนกลายเป็นฮีโรเมื่อ เจย์ โรดริเกวซ ไปพุ่งล้มและได้จุดโทษโดย ริคกี้ แลมเบิร์ต รับสังหารเข้าไปไม่พลาด ในนาทีที่ 34 เป็นประตูโทนของเกมนี้

โดยเป็นการย้ำชัยชนะเหนือ วิลล่า แบบไป-กลับ ด้วย หลังจากที่การเจอกันมาหนแรกเมื่อเดือนกันยายน หนนั้นก็เป็น เซาแธมป์ตัน ที่เปิดบ้านถล่ม วิลล่า ถึง 4-1 มาแล้ว

ที่ มาเดจสกี้ เร้ดดิ้ง ของ ไบรอัน แม็คเดอร์ม็อตต์ เป็นอีกทีมที่ต้องดิ้นรนอย่างหนักเก็บคะแนนให้ได้เพื่อหนีตกชั้น โดยสัปดาห์นี้พวกเขาได้ปักหลักในรังตัวเองรับการเยือนของ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน

โรเมลู ลูคาคู หัวหอกที่ยืมมาจาก เชลซี ทำคนเดียวสองประตูให้ทีมเยือนขึ้นนำ 2-0 ขณะที่เหลืออีก 20 เท่านั้นจะจบเกม

ซึ่งดูแล้วชัยชนะน่าจะเป็นของลูกทีมของ สตีฟ คล้าร์ก แบบไม่ยาก แต่ประตูตีไข่แตกของ จิมมี่ เคเบ้ ในนาที 82 เหมือนเป็นประตูจุดประกาย

ก่อนที่ อดัม เลอ ฟองเดรอ จะยิงจุดโทษเข้าไปตีเสมอในนาที 88 และ พาเวล โพเกร็บเนี๊ยค กลายเป็นฮีโร่ทำประตูชัยให้กับ เร้ดดิ้ง ในเกมนี้

ความพ่ายแพ้ของ วิลล่า ทำให้พวกเขาตกลงมาอยู่ในโซนอันตรายที่จะตกชั้นแล้ว

ปิดท้ายด้วยชัยชนะของ เชลซี เหนือ สโต๊ค ที่ บริทานเนีย ถึง 4-0 เกมนี้ จอน วอลเตอร์ส ฝันร้ายสุดๆเมื่อทำประตูตัวเองถึงสองประตูให้ เชลซี นำห่าง 2-0

ก่อนที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะยิงจุดโทษ และ เอเดน ฮาซาร์ ทำประตูสุดท้ายย้ำชัยชนะให้กับทีมเยือนอย่างเด็ดขาด

สัปดาห์หน้าฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยังมีเตะกันตามปกติและคงจะต้องคอยติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไป

ส่วนวันพรุ่งนี้กลับมาพบกับเรื่องราวเบื้องหลังเกมแดงเดือดของ ลิเวอร์พูล ใน My Liverpool กันได้ตามปกติครับ

เรื่องโดย : Mark Suradej

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook