การกลับมาของราชาแห่ง 'เดอะ บริดจ์'

การกลับมาของราชาแห่ง 'เดอะ บริดจ์'

การกลับมาของราชาแห่ง 'เดอะ บริดจ์'
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : ดร็อกบา เองรู้ดีว่าสิ่งที่เขาต้องเผชิญในสนามคือเกมรับที่แข็งแกร่งมากขึ้นกว่ายามปกติ เขาต้องโรมรันกับเพื่อนเก่าอย่างจอห์น เทอร์รี่ และบรานิสลาฟ อิวาโนวิช ซึ่งจะเป็นการดวลกันที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง

มันอาจเป็นโชคชะตาที่ทำให้ เชลซี และกาลาตาซาราย ต้องมาพบกันในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ทำให้ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา จะได้เดินลงสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ อันเป็นที่รักของเขาอีกครั้ง

การกลับมาที่แม้กระทั่งเจ้าตัวยอมรับว่าเขาเองสับสนและทำตัวไม่ถูก

ไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไร ไม่รู้จะพูดอย่างไร ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร

ที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะการจากลากันระหว่างเขากับเชลซีนั้นไม่น่าจดจำ ในทางตรงกันข้าม ดร็อกบา ได้ทำอย่างดีที่สุดแล้วในการอุทิศทุกอย่างเพื่อพาสโมสรอันเป็นที่รักของเขาไปสู่จุดหมายปลายทางที่พวกเขาฝันมาตลอดกับการเป็นจ้าวยุโรปในฤดูกาล 2011-12

ประตูตีเสมอในช่วงชี้เป็นชี้ตาย และการยิงจุดโทษปิดท้ายเมื่อเกมต้องตัดสินที่ฎีกาลูกหนัง ทำให้เชลซี สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือยูโรเปี้ยน คัพ ได้สำเร็จเป็นสมัยแรก และยังเป็นการคว้าแชมป์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นเมื่อเป็นการคว้าแชมป์ที่อลิอันซ์ อารีน่า เหนือบาเยิร์น มิวนิค

นั่นจึงทำให้ ดร็อกบา จากลาทีมที่เขารักได้แบบสบายใจ ไม่มีอะไรติดค้างอีกต่อไป

แต่ในคืนนี้เขาได้โอกาสกลับมาเยือนถิ่นเก่าอีกครั้ง ในสถานะที่แตกต่าง เขากลับมาในฐานะดาวยิงตัวอันตรายของกาลาตาซาราย คู่ปรับเชลซี ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทีมเก่าที่มีเจ้านายเก่าซึ่งเขารักและนับถือมากที่สุดในชีวิตนี้อย่างโจเซ่ มูรินโญ่

"เมื่อเชลซี มีความคิดที่จะดึงตัวผมมา ก็เป็นมูรินโญ่ที่เดินเข้ามาในชีวิตผม เขาบอกกับผมว่าถ้าผมอยากเป็นยอดศูนย์หน้าแบบเธียร์รี่ อองรี หรือรุด ฟาน นิสเตลรอย ก็จงมาอยู่กับเขา และลงเล่นเพื่อเขา" ดร็อกบา กล่าวถึงนายใหญ่ที่เปลี่ยนเขาจากศูนย์หน้าที่เก่งคนหนึ่งให้กลายเป็นดาวยิงระดับโลกที่เก่งที่สุดในรูปแบบของตัวเอง

มูรินโญ่ รู้ดีว่าใต้โคลนตมที่แปดเปื้อนภายนอก เนื้อแท้ของดร็อกบา คืออัญมณีเลอค่าที่รอวันเปล่งประกาย

การตัดสินใจของมูรินโญ่ ไม่ผิดในครั้งนั้น ดร็อกบา กลายเป็นศูนย์หน้าผู้เป็นเสาหลักของเชลซี เกือบทศวรรษ ด้วยผลงาน 157 ประตูจากการเล่น 341 เกมในช่วงปี 2004-2012 และโทรฟี่แชมป์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย, ลีกคัพ 2 สมัย และจุดสูงสุดกับแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คือความทรงจำล้ำค่าที่จะตรึงใจของดาวยิงไอวอรี่โคสต์ไปตลอดชีวิต

เช่นกันกับแฟนเชลซี ที่ไม่เคยลืมเขาและยังคงคิดถึงเสมอ เพราะนับจากไม่มีดร็อกบา เชลซีไม่เคยมีศูนย์หน้าคนไหนที่ทดแทนเขาได้เลย แม้กระทั่งดาวยิงค่าตัว 50 ล้านปอนด์อย่างเฟร์นานโด ตอร์เรส

อย่างไรก็ตาม แม้จะผูกพันแค่ไหน แม้ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร แต่ในการกลับมา "เดอะ บริดจ์" ครั้งนี้ ไม่มีคำว่าอ่อนข้อให้อย่างแน่นอนสำหรับ ดร็อกบา

ในวัย 36 ปี เขาไม่ต่างอะไรจากเสือเฒ่าผู้แสนชราและรอวันปลดระวาง พลัง ความแข็งแกร่ง ความเร็ว ความเกรี้ยวกราดย่อมไม่เท่าในวันที่เป็นพยัคฆ์ร้ายจากแอฟริกาที่น่าสะพรึงกลัวในอดีต

แต่ใช่ว่าเชลซี จะมองข้ามเขาได้

ตรงกันข้ามปราการหลังของเชลซี ต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดไม่ให้ดร็อกบา ศูนย์หน้าผู้ที่มักจะทำอะไรพิเศษในเกมพิเศษเสมอแผลงฤทธิ์ได้ในเกมนี้

ผลเสมอ 1-1 ในเกมแรกที่อิสตันบูลทำให้ เชลซี ไม่ลำบากเท่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ตามหลัง 2-0 แต่พวกเขาในฐานะทีมเดียวของอังกฤษที่มีโอกาสผ่านเข้ารอบต่อไปมากที่สุด คงไม่คิดที่จะเข้ารอบต่อไปด้วยสกอร์ 0-0 แน่นอน

มันเสี่ยงเกินไปที่จะทำเช่นนั้น โดยเฉพาะหลังจากเพิ่งพลาดพ่ายต่อแอสตัน วิลล่า มาในเกมสุดสัปดาห์จนทำให้สถานการณ์และโอกาสในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกสั่นคลอน

คนอย่าง "มูผู้โอหัง" ไม่มีวันยอมผิดพลาดซ้ำอีก

ดร็อกบา เองรู้ดีว่าสิ่งที่เขาต้องเผชิญในสนามคือเกมรับที่แข็งแกร่งมากขึ้นกว่ายามปกติ เขาต้องโรมรันกับเพื่อนเก่าอย่างจอห์น เทอร์รี่ และบรานิสลาฟ อิวาโนวิช ซึ่งจะเป็นการดวลกันที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ดีเป็นที่คาดหมายได้ว่าในวินาทีแรกที่เขาเดินลงสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกครั้ง เสียงเชียร์และเสียงปรบมือจะดังสนั่นไม่แพ้วันที่ มูรินโญ่ กลับสู่ "บ้าน" อีกครั้งเมื่อช่วงต้นฤดูกาล

มันจะเป็นอีกหนึ่งวินาทีที่ดร็อกบาจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต

และนี่จะเป็นโอกาสที่เขาจะได้เอ่ยคำล่ำลากับทุกคนอีกครั้งอย่างเป็นทางการในสนามที่เขารักปานดวงใจ

ลูกแม่กิ่ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook