สกู๊ป : 12 เรื่องที่คุณต้องรู้ในเกม พรีเมียร์ลีก นัดปิดท้ายฤดูกาล

สกู๊ป : 12 เรื่องที่คุณต้องรู้ในเกม พรีเมียร์ลีก นัดปิดท้ายฤดูกาล

สกู๊ป :  12 เรื่องที่คุณต้องรู้ในเกม พรีเมียร์ลีก นัดปิดท้ายฤดูกาล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เกมนัดที่ 38 ประจำฤดูกาล 2017/18 จบลงไปพร้อมกันทุกคู่พร้อมกับการตัดสินบางอย่าง

บางทีมตกชั้น/รอดตกชั้น บางทีมได้ไป/อดไป UCL

บางทีมทำสถิติเก็บแต้มสูงสุดและยิงสูงสุดสำเร็จ บางคนทำสถิติยิงมากสุดได้ บางคนก็ใช้เกมนี้เป็นเวทีอำลาสนามของพวกเขา

ในขณะที่สำหรับบางคนอาจจะเป็นก้าวแรกสู่ความยิ่งใหญ่ในโลกฟุตบอลก็เป็นได้ 

12. ซาลาห์ ทำสำเร็จMichael Regan/GettyImages

ซาลาห์ ยิงประตูที่ 31 ของเขาตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเดือนพฤษภาคม แต่ฟอร์มที่อยู่ ๆ ก็สะดุดไป ทำให้เขาสุ่มเสี่ยงจะทำประวัติศาสตร์ไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ซาลาห์ ใช้เวลาแค่ 26 นาที ในการเจาะประตู ไบรท์ตัน เมื่อคืนนี้

จังหวะดังกล่าวเกิดขึ้นจากการทำเกมขึ้นมากลางสนามของ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก่อนจิ้มให้ โซลันกี้ ตรงที่ว่าง ซึ่ง โซลันกี้ เองก็ไหวพริบดี ดีดต่อเข้าเขตโทษที่ ซาลาห์ ยืนอยู่ทันที 

โม ซาลาห์ ซึ่งตอนแรกวิ่งเลยไปแล้วยังยั้งตัวทัน พลิกกลับมาตวัดบอลเสียบเสาเข้าไป กลายเป็นประตูที่ 32 สำเร็จ ทำลายสถิติเก่าของ อลัน เชียร์เรอร์, คริสเตียโน โรนัลโด้ และ หลุยส์ ซัวเรซ ลงได้

11. เชลซี อดบู๊ใน UCLStu Forster/GettyImages

กลายเป็นฤดูกาลที่น่าผิดหวังสุด ๆ สำหรับแชมป์เก่าอย่าง เชลซี และ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 5 ของตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก เมื่อบุกไปพ่าย นิวคาสเซิล 3-0 ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล แม้จะไม่ส่งผลใด ๆ ก็ตามทีเมื่อ ลิเวอร์พูล ก็สามารถเอาชนะ ไบรท์ตัน ไปได้เช่นกันด้วยสกอร์ 4-0

ผลจากความล้มเหลวดังกล่าวทำให้ สิงห์บลู ชวดไปเล่นใน ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่นหน้า เก้าอี้ที่สั่นคลอนอยู่แล้วของนายใหญ่ชาว อิตาเลียน ก็ยิ่งง่อนแง่นเข้าไปอีก

การขยับตัวในตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์นี้ของ สิงโตน้ำเงินคราม จะยิ่งยากเย็นยิ่งกว่าเดิม ขณะที่อนาคตของสตาร์ดังในทีมต่างก็มีเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ ๆ ปรากฏให้เห็นด้วยช่วยกัน

10. สวอนซี ตกชั้นGEOFF CADDICK/GettyImages

ปัจจุบันมีทีมฟุตบอลจาก เวลส์ ทั้งหมด 6 ทีมด้วยกันที่โลดแล่นอยู่ในลีกฟุตบอลอังกฤษ และทีมที่อยู่บนยอดสูงสุดของทั้ง 6 ทีมก็คือ สวอนซี ซิตี้ แต่ในฤดูกาลต่อไป พวกเขากำลังจะเสียตำแหน่งนั้นให้ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ที่ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาในซีซั่นหน้า

สวอนซี เริ่มต้นเกมเมื่อคืนนี้ด้วยการอยู่อันดับ 18 มี 33 แต้ม ตามหลัง เซาแธมป์ตัน 3 คะแนน และมีสกอร์ได้เสียตามหลัง 9 ลูก ซึ่งแค่นี้ก็แย่พอแล้วหากพวกเขาหวังจะรอดตกชั้นจริง ๆ 

แต่เกมมันก็ยิ่งแย่ขึ้นไปอีกเมื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ปกติจะยิงถล่มทลายกลับไม่สามารถเจาะประตูนักบุญได้จนจบ 90 นาทีปกติ

ในขณะที่ พวกเขาเองเล่นในบ้าน กลับโดนบ๊วยอย่าง สโต๊ก ซิตี้ ที่ตกชั้นทีมแรก พลิกแซงกลับมาชนะ 2-1 หน้าตาเฉย ถีบพวกเขาตกชั้นแบบไม่ต้องลุ้นอะไรเลย และเป็นการตกรอบครั้งแรกในรอบ 7 ปีเลยทีเดียว

9. โคตรสถิติของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้Mike Hewitt/GettyImages

ชัยชนะเหนือ เซาแธมป์ตัน 1-0 ด้วยประตูชัยของ กาเบรียล เชซุส ทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดาหน้าสร้างสถิติใหม่ให้กับลูกหนัง อังกฤษ อย่างยอดเยี่ยม

ทัพเรือใบสีฟ้า นับเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีที่ทำคะแนนถึง 100 แต้มในฤดูกาลเดียว, ทำสถิติยิงประตูรวมทั้งเก็บชัยชนะเยอะที่สุดตั้งแต่ก่อตั้ง พรีเมียร์ลีก ที่ 106 ประตู และ 32 นัด ตามลำดับ

8. โอบา กับ อาร์เซนอลIAN KINGTON/GettyImages

ตอนย้ายมาใหม่ ๆ สิ่งที่แฟนบอลคาดหวังจากกองหน้าชาวกาบองคนนี้ก็คือ ความสามารถในการทำประตูมหาศาลอย่างที่เขาทำได้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในฤดูกาลก่อน ซึ่งเจ้าตัวก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นของจริง หลังทำอีกประตูเมื่อคืนให้ อาร์เซนอล เก็บ 3 แต้มครั้งแรกนอกบ้าน

ประตูดังกล่าวทำให้เขายิงประตูในสีเสื้อ อาร์เซนอล ไป 10 ลูกแล้วจาก 13 นัด เป็นนักเตะ อาร์เซนอล ที่ยิง 10 ประตูได้เร็วที่สุด ซึ่งนับเป็นเรื่องดีไม่กี่เรื่องที่เกิดขึ้นในปีนี้ของ ไอ้ปืนใหญ่

โอบาเมย็อง จะถูกกล่าวถึงต่อไปอีกอย่างแน่นอน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เขาเป็นการเซ็นสัญญาครั้งสุดท้ายของ อาร์เซน เวนเกอร์ และเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่คุ้มค่าที่สุดคนหนึ่งของสโมสรเลยทีเดียว

7. ความหวังของ สิงโตคำรามLaurence Griffiths/GettyImages

เกมระหว่าง สเปอร์ส กับ เลสเตอร์ มีประตูเกิดขึ้นถึง 9 ประตูด้วยกัน แต่สิ่งที่เราจะยกเอามาพูดในตอนนี้ก็คือดาวยิงทีมชาติอังกฤษจาก 2 ฝั่งของสนาม ผู้ที่ทำคนละ 2 ประตูด้วยการยิงสุดแสนจะเฉียบขาด ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึง แฮร์รี เคน และ เจมี วาร์ดี้

เป็นเวลานานมากแล้วที่ทีมชาติอังกฤษไม่มีที่พึ่งในแดนหน้านอกจาก เวย์น รูนีย์ ฟุตบอลโลก 3 ครั้งหลังสุด อังกฤษมีกองหน้าอย่าง เจอร์เมน เดโฟ, ปีเตอร์ เคราช์, เอมิล เฮสกีย์ (ที่อายุ 32 ในตอนนั้น), ไมเคิล โอเวน (ที่ย้ายไป นิวคาสเซิล แล้ว), ริคกี้ แลมเบิร์ต, แดนนี เวลเบ็ค และ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ เป็นอะไหล่ของพี่หมู ซึ่งพูดตามตรง กองหน้าเหล่านั้นแทบจะพึ่งพาไม่ได้เลย 

แต่ฟุตบอลโลกที่รัสเซียคราวนี้จะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เคน คือดาวซัลโวของ สเปอร์ส ใน 4 ปีหลังสุด เป็นนักเตะอังกฤษในรอบทศวรรษที่ยิงแตะหลัก 30 และเขาเพิ่งจะ 24 เท่านั้น ในขณะที่ วาร์ดี้ แม้จะอายุปาเข้าไป 31 แล้ว แต่เขายังคงเป็น วาร์ดี้ คนเดิมที่พา เลสเตอร์ ได้แชมป์เมื่อ 2 ปีก่อน การจบสกอร์ของเขาเฉียบขาด ไม่มีลังเลในจังหวะทำประตู และเขาคือนักเตะคนเดียวใน top 5 ดาวซัลโวฤดูกาลนี้ที่ไม่ได้มาจากทีม top 6 และเป็นนักเตะคนเดียวที่ยิงใส่ทีม top 6 ได้ถึง 11 ประตู และยิงครบทุกทีมอีกด้วย

เคน และ วาร์ดี้ เป็นแค่ 2 กองหน้าที่อยู่ในเกมนี้เท่านั้น ขึ้นเหนือไปที่ แมนเชสเตอร์ กองหน้าอังกฤษอีกคนอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็ทำประตูได้เช่นกัน และแม้ แรชฟอร์ด จะไม่ได้ยิงเฉียบขาดหรือถล่มทลายขนาดนั้น แต่ประตูดังกล่าวทำให้เขามีส่วนร่วมกับการทำประตูของทีมไปถึง 21 ลูกแล้ว เป็นรองเพียงหน้าเป้าตัวเก่งอย่าง ลูกากู เท่านั้น และน่าจะทำให้เจ้าหนู แรชฟอร์ด ตาม เคน และ วาร์ดี้ ไปบอลโลกได้อย่างแน่นอน

6. แรชฟอร์ด ยังคงเด็ดขาดเมื่อทีมต้องการOLI SCARFF/GettyImages

มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้รับความไว้วางใจจาก โชเซ มูรินโญ​ ในเกมกับ วัตฟอร์ด และดาวรุ่งทีมชาติ อังกฤษ ก็ไม่ทำให้ มูรินโญ ผิดหวังเมื่อเขาเล่นได้อย่างโดดเด่นและเป็นผู้ยิงประตูชัยให้กับทีมเก็บ 3 คะแนนส่งท้ายฤดูกาลนี้สำเร็จ

และด้วยอาการบาดเจ็บของ โรเมลู ลูกากู ที่ทำให้สตาร์เบลเยียมอาจหมดสิทธิ์ลงเล่นในเกม เอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศกับ เชลซี ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ แรชฟอร์ด น่าจะได้ออกสตาร์ทแทนที่จากฟอร์มการเล่นในนัดนี้

5. แข้งอายุน้อยที่สุดที่คว้าเหรียญชนะเลิศ พรีเมียร์ลีกMichael Regan/GettyImages

ฟิล โฟเดน กลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ได้เหรียญแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองด้วยวัยเพียง 17 ปี กับอีก 358 วัน เมื่อ เปป กวาร์ดิโอลา ส่งเขาลงสนามในฐานะตัวสำรองทำให้เจ้าตัวลงเล่นในลีกครบเกณฑ์ที่จะได้เหรียญรางวัลที่ 5 นัดพอดี

4. Merci ArseneShaun Botterill/GettyImages

'แมร์กซี อาร์เซน' คำบอกลา อาร์เซน เวนเกอร์ ในภาษาฝรั่งเศส บ่งบอกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ชายผู้นี้ทิ้งไว้ให้กับสโมสรและลีกสูงสุดของอังกฤษเป็นอย่างดี ผู้ท้าชิงแชมป์จาก เฟอร์กี้ คนแรก ผู้ที่คว้าแชมป์ลีกได้ทันทีที่คุมทีมเต็มเวลาในฤดูกาลแรก ผู้ที่เริ่มแนะนำแท็คติคการต่อบอลอันน่าเร้าใจมาสู่ พรีเมียร์ลีก ผู้ที่ทำให้เกิดทีมไร้พายเป็นครั้งแรกใน พรีเมียร์ลีก

และตลอดเวลา 22 ปี อาร์เซนอล เป็นทีมเดียวจากท็อป 6 ที่ไม่เคยหลุดไปต่ำกว่าอันดับ 6 ในช่วงเวลา 22 ปีนั้นเลย

2-3 ปีที่แล้วเคยมีคนเตือนให้เขารีบลงจากตำแหน่งในขณะที่ทีมยังได้ไป แชมเปี้ยนส์ลีก และมีถ้วยติดมืออยู่บ้าง แต่เมื่อเขาตัดสินใจต่อสัญญาออกไป เขาก็ต้องลงจากตำแหน่งในช่วงเวลาที่อาจจะไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม การลาออกตอนนี้ก็ยังทำให้เห็นถึงความรักที่แฟนบอลมีต่อเขาอยู่ด้วย ดีกว่าดึงกันมากกว่านี้แล้วจบไม่สวยอย่างที่เกิดกับ มูรินโญ กับ เชลซี เมื่อ 2 ปีที่แล้ว หรือ คอนเต้ กับ เชลซี ในตอนนี้

เวนเกอร์ ออกมายอมรับเองว่าเขาไม่อยากเลิกเป็นโค้ชในตอนนี้ และด้วยความสัตย์จริง เขายังเป็นโค้ชที่มีฝีมืออยู่ และน่าเชื่อว่าเขาจะพาทีมต่อไปที่เขาคุมสร้างปรากฏการณ์ได้อีกแน่นอน

3. บ๊ายบาย คาร์ริคOLI SCARFF/GettyImages

ได้รับเกียรติให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมในนัดสุดท้ายของเขากับสีเสื้อ ปีศาจแดง หลังจากที่รับใช้ทีมมาอย่างยาวนาน 12 ปี

 คาร์ริค ยังคงไว้ลายเมื่อแผลงฤทธิ์จ่ายคิลเลอร์พาสจากแนวลึกให้ ฆวน มาต้า หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปในเขตอันตรายก่อนจะไหลให้กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด แปง่าย ๆ เป็นประตูชัย

 นับว่าเป็นการบอกลาเหล่า เรดเดวิลส์ ที่ยอดเยี่ยมก่อนที่แฟนบอล ปีศาจแดง จะเห็นเขาอยู่กับทีมงานโค้ชของ โชเซ มูรินโญ ในฤดูกาลหน้า

2. ขวัญกำลังใจที่หายไปของ สิงห์บลู ก่อนศึกใหญ่ส่งท้ายLINDSEY PARNABY/GettyImages

จากฮีโร่เมื่อ 12 เดือนก่อน เพียงพริบตาเดียวสถานการณ์ของ อันโตนิโอ คอนเต้ ก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

 เชลซี ภายใต้การคุมทีมของ คอนเต้ บุกไปพ่ายต่อ นิวคาสเซิล เละเทะ 3-0 ก่อนหน้าที่พวกเขาจะทำศึก เอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเขาในฤดูกาลนี้เป็นรางวัลปลอบใจ

 แต่บอกได้เลยว่าหากนัดชิงฯ​ เอฟเอคัพ พวกเขายังเล่นแบบเดียวกับในเกมนี้ก็อย่าหวังเลยที่จะซิวแชมป์มาครองได้สำเร็จ

1. แฟร์ตองเก้น ที่หายไปStu Forster/GettyImages

ยาน แฟร์ตองเก้น สถาปนาตัวเองเป็น 1 ในกองหลังที่ดีที่สุดของลีกในฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ และเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ สเปอร์ส ร่วมกับ เคน, เอริคเซน และ โปเช็ตติโน ไม่ว่าพวกเขาจะเจอคู่แข่งที่มีเกมรุกน่ากลัวขนาดไหน แฟร์ตองเก้น ทำให้อุ่นใจได้เสมอ

การไม่มี แฟร์ตองเก้น ในเกมนี้คือสิ่งที่สะท้อนวิกฤติของ สเปอร์ส ได้อย่างดี พวกเขาต้านทานเกมรุกของ เลสเตอร์ ไม่อยู่ ตัดบอลจังหวะสุดท้ายไม่ได้ และแม้จะเป็นฝ่ายชนะแต่ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำเท่าไหร่

ยิ่งในเมื่อคู่หูหมายเลข 1 ของ แฟร์ตองเก้น อย่าง อัลเดอร์เวเรลด์ มีข่าวจะอำลาทีมไปหลังจบฤดูกาลนี้ โปเช็ตติโน ยิ่งต้องรีบมองหาอะไหล่ชั้นดีในแนวรับโดยด่วนเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบในเกมนี้อีก เพราะบอกตามตรง ดาวินสัน ยังมีประสบการณ์ไม่มากพอ และ ดายเออร์ ก็ดูจะเล่นเป็นเซ็นเตอร์ไม่ได้อีกแล้ว ฟอยธ์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook