5 เรื่องต้องรู้! เชลซี เชือด แมนฯ ยูฯ 1-0 ซิวแชมป์ เอฟเอคัพ สมัยที่ 8
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/sp/0/ud/140/700715/cotntntn.jpg5 เรื่องต้องรู้! เชลซี เชือด แมนฯ ยูฯ 1-0 ซิวแชมป์ เอฟเอคัพ สมัยที่ 8

    5 เรื่องต้องรู้! เชลซี เชือด แมนฯ ยูฯ 1-0 ซิวแชมป์ เอฟเอคัพ สมัยที่ 8

    2018-05-20T08:32:00+07:00
    แชร์เรื่องนี้

    ลูกทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ ทำให้แฟนบอลของพวกเขายิ้มได้สำเร็จ หลังเจอฤดูกาลที่โหดร้ายมาทั้งปี โดยประตูชัยของพวกเขาเกิดจากลูกจุดโทษเพียงครั้งเดียวของปีกตัวเก่ง เอเด็น อาซาร์ ที่คว้าแชมป์ เอฟเอคัพ ครั้งแรกสำเร็จในชีวิตค้าแข้งของเขา

    ไปดูกันว่ามีอไรที่น่าสนใจเกิดขึ้นบ้าง ในเกมที่พวกเขาสามารถเอาชนะคู่แข่งที่มขึ้นชื่อเรื่องเกมรับอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จ และส่งท้ายฤดูกาลแบบมีถ้วยติดมืออีกครั้งในปีนี้

    5. เซาท์เกต มีงานให้แก้Laurence Griffiths/GettyImages
    เกมนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ มีกองหลังทีมชาติอังกฤษชุดตัดตัวลุยบอลโลกลงสนามถึง 3 คนด้วยกัน ได้แก่ ฟิล โจนส์, แอชลีย์ ยัง และ แกรี เคฮิลล์ นอกจากนี้ยังมี คริส สมอลลิงที่ก็เป็นชาวอังกฤษที่ได้ลงสนามด้วย แม้ว่าพี่ไมค์ของเราจะไม่ติดธงชุดนี้ก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น เคฮิลล์ เป็นเพียงรายเดียวที่สอบผ่านในเกมนี้

    กัปตันทีมชาติอังกฤษและเชลซีโชว์ความแข็งแกร่งในการจัดการกับแนวรุกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ แรชฟอร์ด กองหน้าทีมชาติสิงโต) เขามีความเข้าใจในเกมรับเป็นอย่างดี รู้ว่าควรจะช่วยยืนซ้อนตรงไหน เข้าปะทะเมื่อไหร่ เรียกได้ว่า เคฮิลล์ กลับมาเป็นตัวเขาสมัยยังรุ่ง ๆ อีกครั้ง 

    ในขณะที่กองหลังร่วมชาติฝ่ายตรงข้ามกลับทำได้ไม่เป็นที่น่าพอใจ แอชลีย์ ยัง อาจจะปั่นป่วน โฒเสส ได้บ้าง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้มากนัก ส่วน ฟิล โจนส์ นี่แล้วใหญ่ เขาสู้ อาซาร์ ไม่ได้เลย ช้าอย่างเห็นได้ชัด แถมทำทีมเสียจุดโทษอีก 

    เมื่อพิจารณาว่า เซาท์เกต เลือกเซ็นเตอร์ ไปเพียงแค่ 3 ตัว ซึ่งอีกตัวเลือกหนึ่งก็คือ จอห์น สโตนส์ ที่ฟอร์มก็ยังไม่นิ่งกับ แมนฯ ซิตี้ เท่าไหร่ ดูท่าแล้วพวกเขาควรหาวิธีที่จะเรียกฟอร์มกองหลังเหล่านี้ให้มาเข้าฝักโดยเร็วอีกครั้ง ส่วนตำแหน่งของ ยัง กับ แรชฟอร์ด ไม่ใช่ตัวจริงอยู่แล้ว ก็คงไม่เครียดมากเท่าไหร่นัก

    4. แรชฟอร์ด ยังแทน ลูกากู ไม่ได้Laurence Griffiths/GettyImages
    มาร์คัส แรชฟอร์ด เพิ่งจะทำประตูชัยโทนใส่ วัตฟอร์ด ได้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่เกมรับของ เชลซี ทำให้เห็นว่ากองหน้าวัย 20 ยังไม่พร้อมที่จะเจอคู่แข่งมหาหินในเกมสำคัญเท่าไหร่

    แรชฟอร์ด ได้โอกาสลงเป็นหน้าเป้าตัวจริงเป็นเกมที่ 4 จาก 6 เกมหลังสุด แถมถูกส่งมาเป็นหน้าเป้าสำรองในอีก 2 เกมที่เหลือ แต่ แรชฟอร์ด กลับยิงคู่แข่งได้เพียงประตูเดียวเท่านั้น ซึงน้อยกว่าในเกมแรกของเขากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อ 2 ปีที่แล้วเสียอีก

    ดูท่าเจ้าหนูคนนี้ต้องพยายามเรียกความมั่นใจกลับมาให้ได้เร็วที่สุดละนะ หากหวังจะลงสนามในรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกที่รัสเซียในเดือนข้างหน้านี้

    3. บากาโยโก้ พัฒนาขึ้นเรือย ๆGLYN KIRK/GettyImages
    แม้เจ้าตัวจะถูกขนานนามว่า บา กาก โยโก้ จากแแฟนบอลชาวไทย แต่ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มวัย 23 จะเริ่มดึงฟอร์มสมัยเล่นใน ลีกเอิง กลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง

    บากาโยโก้ เล่นเกมแดนกลางได้อย่างแข็งแกร่งในคืนนัดชิงที่ผ่านมา เขาเข้าปะทะกับนักเตะผีแดงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ช่วย ก็องเต้ เล่นเกมรับได้อย่างยอดเยี่ยม และยังคอยสนับสนุนเกมรุกหลัง ฟาเบรกาส ได้เป็นอย่างดี 

    โดยรวมแล้ว เขาเองอาจจะโชคดีที่ไม่ต้องคอยพะวงเกมรุกหรือรับด้านใดด้านหนึ่งเพราะมี ก็องเต้ กับ เชสก์ ช่วย แต่ บากาโยโก้ เองอาจจะเจอแผนที่เหทาะสมกับเขาที่สุดแล้วก็ได้ และก้ได้แต่หวังว่าทีม เชลซี ในฤดูกาลหน้าจะยังเห็นประโยชน์ของเขาแบบในค่ำคืนนี้ 

    2. ความภาคภูมิใจของ แมนฯ ยูฯ หายไปในเกมสำคัญLaurence Griffiths/GettyImages
    อาจไม่ใช่วิธีการเล่นแบบที่เราเห็นเป็นปกติของ คอนเต้ กับ เชลซี แต่เมื่อพิจารณาว่าพวกเขาเอาชนะคู่แข่งแค่ 1-0 ใช้บอลโยนให้กอหน้าตัวสูงเก็บบอล ใช้ปีกความเร็วสูงเล่นเกมสวนกลับ และเล่นเกมรับแบบสุดใจเมื่อโดนนำรอสวน เฮ้ย นี่มันแผนรถบัสของ มูรินโญ ชัด ๆ

    จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเมื่อเราวิเคราะหืแผนการเล่นของ มูรินโญ พวกเขามีกองหน้าที่เก็บบอลได้และดุดันอย่าง ลูกากู มีปีก 2 ข้างที่คอยฉีกแนวรับคู่แข่งอย่าง อเล็กซิส, แรชฟอร์ด และ มาร์กซิยาล แนวรับของพวกเขาเน้นพวกเล่นสวนกลับได้และโยนบอลได้ไว นี่คือหัวใจของแท็คติค มูรินโญ แต่สิ่งที่เขามักจะคอยกระแหนะกระแหนทีมอื่นมาตลอดก็คือนักเตะของพวกเขาไม่ 'ดีเท่า' คนอื่น ซึ่งก็คงได้เห็นแล้วในวันนี้ โจนส์ กับ สมอลลิง สู้ความเหนียวของ เคฮิลล์ และ รูดิเกอร์ ไม่ได้ ก็องเต้ กินขาด มาติช แถมการไม่มี ลูกากู ยิ่งทำให้พวกเขาเก็บบอลไม่ได้อีก แผน มูรินโญ จึงล้มเหลวไม่เป็นท่าในเกมนัดชิงนี้

    มันมีสำนวนภาษาอังกฤษอยู่คำหนึ่งที่ว่า Beat them at their own game หรือก็คือ การชนะคู่แข่งด้วยวิธีการของเขา ซึ่งมันช่างเข้ากันสุด ๆ กับเกมนัดชิง เอฟเอคัพ ปีนี้สุด ๆ

    1. แมนยูปีหน้าจะยังคงเป็นแบบเดิม เพิ่มเติมคือกองหน้าตัวใหญ่กับจอมโยนบอลGLYN KIRK/GettyImages
    หลังจบเกมนัดชิงชนะเลิศ สิ่งที่ มูรินโญ พูดออกมาชัด ๆ 2 อย่างอาจทำให้แฟน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมีเคืองเล็กน้อย 1. เขายังมองผลลัพธ์ของเกมเหนือการเอนเทอร์เทนคนดู และ 2. มู ยังเชื่อในแผนของเขา

    มูรินโญ ออกมาชื่ชมลูกทีมของเขาอีกครั้งว่าพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะเจาะเกมรับของคู่แข่ง แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีกองหน้าตัวใหญ่ ๆ หรือตัวที่เก็บบอลได้อย่าง ลูกากู หรือ เฟลไลนี มันจึงยากที่จะเจาะ แถมแนวรับคู่แข่งมีแต่พวกตัวใหญ่ ๆ สูง ๆ อย่าง เคฮิลล์, รูดิเกอร์, บากาโยโก้ และ กูร์กตัวส์ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นทีมอันดับ 2 ที่ดีทีสุดในลีก และทีมที่ดีกว่ามักจะเป็นฝ่ายแพ้ในนัดชิง

    แม้จะถูกล้ออย่างหนักเรื่องการเป็นตัวโปรดของ ลูกากู และ เฟลไลนี แต่ดูเหมือนนี่จะเป็นแผนการทำทีมระยะยาวของเขาจริง ๆ ซะแล้ว ซลาตัน และ ลูกากู คือกองหน้าที่แท้จริงของเขา ส่วน แรชฟอร์ด, อเล็กซิส และ มาร์กซิยาล เป็นแค่ปีกคอยก่อกวนมากกว่า และเราเตรียมได้เห็นกองหน้าร่างยักษ์เพิ่มอีกได้เลย

    ใครดีล่ะ ปีเตอร์ เคราช์ ? แอนดี้ แคร์โรลล์ ? มาร์โก้ อาร์เนาโตวิช ?