เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือผู้ไม่เคยตกยุค

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือผู้ไม่เคยตกยุค

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือผู้ไม่เคยตกยุค
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : 27 ปีที่ผ่านมา ตำแหน่งกุนซือของสโมสรในอังกฤษ มีการเปลี่ยนแปลงกันเป็นว่าเล่น มีจำนวนมากกว่าพันครั้ง แต่มีเก้าอี้อยู่ตัวเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนคนนั่ง ก็คือ เก้าอี้กุนซือที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

จากการใช้เวลา 6-7 ปีแรกในการสร้าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่รอแชมป์ลีกสูงสุดของ อังกฤษ มาเป็นเวลานาน นับตั้งแต่ยุคของ เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้ จนถึงวันนี้ ปรากฏว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สามารถบันดาลแชมป์ลีกสูงสุดที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อมาเป็น พรีเมียร์ลีก ให้กับ "ปีศาจแดง" อีก 13 สมัย จนยอดรวมตอนนี้เป็น 20 สมัย มากที่สุดในเกาะอังกฤษ ไปแล้ว หลังจากที่ เอาชนะ แอสตัน วิลล่า ได้ 3-0 จากแฮตทริกของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่

 

ชายผู้ไม่เคยอิ่มกับความสำเร็จ ถ้าเป็นหมอก็คือสุดยอดศัลยกรรมแพทย์เบอร์หนึ่ง
ผ่าตัดทีมกี่ครั้งขายสตาร์เบอร์ 1 ไปกี่หน แต่ เฟอร์กี้ ก็จะสร้าง แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นมาได้ใหม่ทุกครั้ง

ดูจากตัวผู้เล่นชุดนี้ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มูลค่านักเตะในทีมอาจจะไม่ได้สูงเท่ากับพวกทีมเศรษฐียุคใหม่ อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือว่า เชลซี แต่ว่า พวกเขามีสิ่งที่ไม่สามารถจะประเมินมูลค่าได้ อย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่แทบจะการันตีการมีโทรฟี่แชมป์ ติดไม้ติดมือในทุกๆ ปี

สิ่งที่น่าทึ่งสำหรับตัวของ จอมคนสกอตต์ ก็คือ เขาไม่เคยหมดไฟในการทำงานเลยแม้แต่น้อย ขนาดพาทีมประสบความสำเร็จมากมายจนคาดว่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แต่ก็ไม่ เขากลับสร้างทีมชุดใหม่ ขึ้นมาเรื่อยๆ ราวกับว่านั่นคือความท้าทายที่ไม่มีวันสิ้นสุด

 

หลายคนเคยฟันธงว่า เฟอร์กี้ มาถึงจุดอิ่มตัวเหมือนพา "ปีศาจแดง" คว้า 3 แชมป์ไปได้แบบเหลือเชื่อ

หลังทีมที่ได้ดับเบิ้ลแชมป์ชุดแรกเมื่อฤดูกาล 1993-94 ไปพลาดได้ดับเบิ้ลรองแชมป์ในซีซั่นถัดมา เซอร์ อเล็กซ์ ที่ตอนนั้นยังไม่เป็นท่าน เซอร์ ก็โละพวกตัวหลักอย่าง พอล อินซ์, มาร์ค ฮิวจ์ส, อังเดร แคนเชลสกี้ส์ และอีกหลายๆ คน เพื่อเปิดทางให้กลุ่มลูกนกหัดบิน อย่าง เดวิด เบ็คแฮม, พอล สโคลส์, นิคกี้ บัตต์ และพี่น้องเนวิลล์ ซึ่งโดนกังขาจากหลายฝ่าย

คงไม่ต้องบอกว่า กลุ่มนักเตะที่โดนปรามาสว่าเป็นเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเหล่านั้น ได้ตอกกลับพวกนักวิจารณ์ได้เจ็บแสบขนาดไหน เมื่อคว้าดับเบิ้ลแชมป์ในฤดูกาลแรก รวมทั้งทริปเปิ้ลแชมป์แห่งประวัติศาสตร์ในฤดูกาล 1998-1999 เป็นทีมสโมสรชุดที่ดีที่สุดของประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดี

ถ้ายังจำกันได้ครั้งหนึ่ง เฟอร์กี้ ก็เคยคิดที่จะวางมือเหมือนกัน ในช่วงปี 2002 แต่ว่าสุดท้ายเขาก็เปลี่ยนใจ หลังจากที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเสียแชมป์ให้กับ อาร์เซน่อล เขาก็พาทีมประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมายใหม่ๆ ให้ไขว่คว้ามาโดยตลอด

จากที่เคยอยากจะวางมือ เฟอร์กี้ จัดการคว้า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เข้ามาโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หลังจากนั้น
เจ้าตัวก็ยอมรับว่าการมาของ โรนัลโด้ คือการกระตุ้นให้เขาอยากทำงานมากขึ้นไปอีก (ไม่ยอมหมดไฟจริง)

จากยุค เบ็คแฮม ส่งต่อมายุค คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เวย์น รูนี่ย์ และคาร์ลอส เตเวซ ต่อมาตอนนี้ ที่มี โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ และก็มีพวกนักเตะหน้าใหม่ๆ สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ซึ่งนั่นกลายเป็นเหมือนยาชูกำลังชั้นดีให้กับ ให้กับ เซอร์ อเล็กซ์ ไปซะแล้ว

ปีไหนได้แชมป์ เขาก็มีความกระหายที่จะทำสถิติเรื่องจำนวนแชมป์ อย่างแชมป์ลีก ก็ต้องการที่จะแซงหน้าคู่ปรับอย่าง ลิเวอร์พูล ที่ได้ 18 สมัย ซึ่งตอนนี้ก็แซงไปเป็นที่เรียบร้อย หรือถ้าปีไหนพลาดเขาก็จะมีความกระหายมากกว่าเดิมที่จะทวงแชมป์กลับมาให้ได้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ชายคนนี้ไม่เคยรู้จักกับคำว่าพอ หรืออิ่มเอมในความสำเร็จ

การคว้าแชมป์ฟุตบอลสโมสรยุโรป เป็นสิ่งที่ เฟอร์กี้ ปรารถนามากๆ แม้ว่าเขาจะได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้ว 2 สมัย แต่ว่านั่นมันยังไม่พอสำหรับกุนซือผู้มีความทะเยอทะยานไม่หมดสิ้น หลังจากที่แพ้ให้กับ บาร์เซโลน่า ในรอบชิงชนะเลิศแบบหมดรูปเมื่อปี 2011 เขาก็วางเป้าหมายใหม่ ก็คือการล้มบาร์ซ่าและขึ้นสู่จุดสูงสุดของวงการฟุตบอลยุโรปอีกครั้ง

ความยอดเยี่ยมของ เซอร์ อเล็กซ์ คือเขาอาจจะโดนมองว่าเป็นตาแก่หัวดื้อในบางเวลา แต่ถ้าในเรื่องแท็กติก หรือ ระบบการเล่นแล้ว เขาสามารถกลืนตัวเองเข้ากับฟุตบอลยุคใหม่อย่างง่ายดาย แม้ว่าเขาจะเป็นคนยุคก่อนก็ตาม

จากยุคของเขาที่ระบบการเล่นจะเป็นกองหน้าคู่ ขึ้นเกมทางปีกสองข้าง มาสู่ยุคนี้ที่เน้นแท็กติกมากขึ้น ในระบบ 4-5-1 หรือจะเรียกว่า 4-2-3-1 โดยมีหน้าเป้าเพียงแค่คนเดียว เซอร์ อเล็กซ์ ก็สามารถยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี อย่างที่เราได้เห็นในหลายๆ แมตช์ในซีซั่นนี้และซีซั่นก่อนๆ โดยปรับรูปแบบตามความเหมาะสม ทั้งในเกมลีก และเกมฟุตบอลสโมสรยุโรป

 

หลังจากคว้าแชมป์เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา "เฟอร์กี้" ประกาศลุยงานต่อทันทีโดยเขาหมายมั่นปั้นมือในฤดูกาลหน้าคือการคว้าถ้วยหูยักษ์มาครองเพิ่มให้ได้

เทรนเนอร์ในยุคของป๋าหลายคนที่กลับมาในยุคนี้ แต่สุดท้ายก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร อย่าง ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์ กุนซือของ เอฟเวอร์ตัน ที่เกือบจะไม่สามารถพา เอฟเวอร์ตัน รอดตกชั้นได้ เมื่อปลายทศวรรษ 90 หรือคนที่เคยเอาชนะเขามาแล้ว เมื่อฤดูกาล 1994-95 ที่เขาพา แบล็คเบิร์น เป็นแชมป์ แต่ผลงานล่าสุดกับ ลิเวอร์พูล เมื่อซีซั่นก่อน มันก็อย่างที่เห็นกัน ว่าเหมือนกับ "คิง เคนนี่" จะตกยุคไปแล้ว

สิ่งที่น่าทึ่งสำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคของ เฟอร์กี้ นั้นคือทุกครั้งที่เราดู "ปีศาจแดง" ลงแข่ง ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากขนาดไหน เราก็จะเชื่ออยู่ลึกๆ ตลอดว่า เดี๋ยวพวกเขาก็กลับมาได้ ซึ่งมันเป็นแบบนี้มาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา

หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของโชคที่เข้าข้าง แต่ เซอร์ อเล็กซ์ ยืนยันว่า ของแบบนี้มันไม่ใช่โชค แต่เป็นความมุ่งมั่น ที่เขาใส่ลงไปในตัวของนักเตะให้สู้จนหยดสุดท้ายมากกว่า บวกกับระบบที่วางมาอย่างยาวนาน รากฐานอันแข็งแกร่งของทีมแล้ว ทำให้นี่เป็นสาเหตุว่า แมนฯ ยูฯ ถึงชนะได้เป็นกิจวัตร ทั้งๆ ที่บางทีเหมือนจะจัดทีมขัดใจแฟนๆ แม้บางนัดจะมีแพ้บ้างก็เหอะ

ตอนนี้ เหล่าบรรดาแฟนผีแดง เริ่มกลัวว่าด้วยวัยของ ป๋า ที่อายุก็เกิน 70 ปีแล้ว อาจจะถึงวันที่เขาจะวางมือ แต่ดูจากแววตาตอนที่ทีมได้แชมป์สมัยที่ 20 แล้ว มันแสดงให้เห็นว่า เขายังกระหายอยู่ และสิ่งที่จะดับความกระหายที่ไม่สิ้นสุดของเขาก็คือ สิ่งที่เรียกว่า ถ้วยแชมป์

นี่แหละครับกุนซือผู้ไม่เคยตกยุค เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

เรื่องโดย "The Nut"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook