ศึกชิง เวย์น รูนี่ย์ ตัวหมากอันตรายพลิกขั้วอำนาจฟุตบอลอังกฤษ

ศึกชิง เวย์น รูนี่ย์ ตัวหมากอันตรายพลิกขั้วอำนาจฟุตบอลอังกฤษ

ศึกชิง เวย์น รูนี่ย์ ตัวหมากอันตรายพลิกขั้วอำนาจฟุตบอลอังกฤษ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : ในโลกของฟุตบอลนั้น ท่ามกลางสิ่งที่ยึดถือกันหลายสิ่งอย่าง มี "กฎทองคำ" ข้อหนึ่งที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าเป็นสิ่งเที่ยงแท้และอยู่เหนือกาลเวลา

"ห้ามปล่อยนักเตะให้กับคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด"

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คนในแวดวงลูกหนังต่างตระหนักรู้ และเข้าใจถึงมันเป็นอย่างดี และนั่นจึงทำให้เกิด "มหากาพย์" ของการเจรจาย้ายทีมที่ยืดเยื้อ ยาวนาน และยังไม่รู้ว่าจะจบลงตรงไหน

กรณีของ หลุยส์ ซัวเรซ ลิเวอร์พูล และอาร์เซนอล นั่นเรื่องหนึ่ง

ฟุตบอล

แต่กรณีที่มีความเป็นไปได้ว่าหากเกิดขึ้นแล้ว บางที "ขั้วอำนาจ" ของวงการฟุตบอลอังกฤษ อาจพลิกกลับจาก "เหนือ" ลงสู่ "ใต้" อีกครั้งคือ กรณีศึกชิง "เวย์น รูนี่ย์" ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ เชลซี

อย่างที่ทราบว่าพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลใหม่ 2013-14 กำลังจะได้ฤกษ์ฟาดแข้งกันในสุดสัปดาห์นี้นั้น เดิมก็ถูกจับตามองมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเหล่าสโมสรระดับท็อป 6 ที่มีการ "ปรับโฉม" พอสมควร

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเชลซี ได้ผู้จัดการทีมใหม่

ขณะที่อาร์เซนอล ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ และลิเวอร์พูล ต่างก็มีการปรับทัพเสริมทีมขนานใหญ่

นอกเหนือจากทีม "ปีศาจแดง" แล้ว ทีมที่เหลือทั้งหมดต่างรู้ดีว่า ฤดูกาลนี้คือโอกาสสำคัญที่สุดที่จะพลิกขั้วอำนาจ เพราะแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีมหาบุรุษอย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้ลาจากไปเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลที่แล้ว

ฟตบอล

โดยเฉพาะคู่แข่งสายตรงอย่าง เชลซี และแมนฯ ซิตี้ ซึ่งมีขุมกำลังพร้อมสรรพ ทั้งตัวผู้เล่น บารมี และอำนาจทางการเงิน ไม่มีโอกาสใดจะ "ถอนแค้น" ได้ดีเท่าปีนี้อีกแล้ว

ในฝ่ายของ "เรือใบสีฟ้า" พวกเขาเลือกที่จะบริหารจัดการเป็นการภายในอย่างเงียบๆตามสไตล์ของ มานูเอล เปเญกรินี่ ยอดกุนซือลูกหนังชาวชิลี ผู้ซึ่งมีส่วนคล้ายคลึงกับ อาร์แซน เวนเกอร์ ปราชญ์ลูกหนังชาวฝรั่งเศสที่ไม่นิยมการเป็นข่าวฮือฮาตามหน้าหนังสือพิมพ์

แต่การเสริมทัพด้วยนักเตะระดับ "A" อย่าง อัลบาโร เนเกรโด้, เฆซุส นาบาส, เฟอร์นันดินโญ่ และสเตวาน โยเวติช เป็นการ "ส่งสัญญาณ" ที่ชัดเจนว่าพวกเขา "พร้อม" จะทวงความยิ่งใหญ่กลับมาอีกครั้ง โดยยังรอตบเกมรับให้เข้าที่เข้าทาง ซึ่งแว่วว่า มาร์ติน เดมิเชลิส คือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายสำหรับ เปเญกรินี่

ขณะที่ฝ่าย เชลซี ลำพังการได้ โจเซ่ มูรินโญ่ กลับมาก็ทำให้มีการประเมินจากหลายฝ่ายว่าพวกเขา "เหนือกว่า" ทีมแชมป์อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่แล้ว อันเป็นการสะท้อนให้เห็นว่ายังมีคนไม่เชื่อ "น้ำยา" ของเดวิด มอยส์ อีกมาก

ฟุตบอล

แต่ มูรินโญ่ ไม่ได้หยุดแค่นั้น และโคตรกุนซือชาวโปรตุเกส กำลังเล่น "เกมอันตราย" เพื่อล่อลวงให้แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องตกจากบัลลังก์

เกมอันตรายดังกล่าวยคือการชิงตัว เวย์น รูนี่ย์ มาจากโอลด์ แทรฟฟอร์ด

แน่นอนว่า - ในขวบปีที่ "หมูพลิ้ว" ชักจะพลิ้วไม่ออก ฟอร์มการเล่นดร็อปลงอย่างค่อนข้างเห็นได้ชัดเนื่องจากถูก โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ เบียดบังบทบาท ย่อมมีคำถามคาใจสำหรับหลายคนว่า รูนี่ย์ ยังมีค่ามากขนาดนั้นอีกหรือ?

คำตอบคือ "ใช่" รูนี่ย์ มีค่ามากขนาดที่จะสามารถพลิกโฉมหน้าฟุตบอลอังกฤษได้เหมือนที่เคยพิสูจน์กับผลงานหลายปีที่ผ่านมา

ศักยภาพในตัวของนักเตะรายนี้มีมากมายมหาศาล แม้ในช่วงที่ฟอร์มการเล่นจะตกต่ำ แต่ "ระดับฝีเท้า" นั้นยังอยู่

ฟุตบอล

ดังวลีอมตะในโลกฟุตบอล Form is temporary, class is permanent

รูนี่ย์ อาจไม่ได้อยู่ในฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เรื่องนี้เป็นที่เข้าใจกันได้ แต่ในอีกแง่ เขายังคงเป็นนักเตะจอมทุ่มเทคนเดิมที่พร้อมจะวิ่งพล่านไปทั่วสนาม ทุ่มเทจนหยดสุดท้าย และยังสามารถเปลี่ยนเกมได้ด้วยการเล่นเพียงเพลย์เดียว

ต่อให้ต้องเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัดและไม่ชื่นชอบก็ตาม!

ความทรงอิทธิพลต่อเกมนี้คือคุณสมบัติพิเศษของยอดนักเตะ ซึ่งต่อให้พวกเขาจะไม่อยู่ในฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุด - เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่มีใครรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดได้ตลอดทุกฤดูกาล - แต่สิ่งเหล่านี้จะติดตัวกับพวกเขาไปจนตาย

ไม่ต่างอะไรจาก ไรอัน กิ๊กส์ ที่ยังคงสามารถช่วยเหลือทีมได้ แม้ในวัยใกล้ "หลักสี่" แล้วก็ตาม

ฟุตบอล

นักเตะอย่าง รูนี่ย์ คือนักเตะที่เกิดมาเพื่อ "ชัยชนะ" เป็นคนที่สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีก่อนเกม เรียกสมาธิ และพร้อมจะทุ่มเทเต็มร้อยทุกนาทีที่ได้อยู่ในสนาม เป็นนักเตะที่เพื่อนรู้ว่าอยู่ในทีมก็อุ่นใจ โค้ชรู้ว่าอยู่ในสนามก็จะสามารถพลิกเกมได้

สิ่งเหล่านี้ใช่จะมีใน "ซูเปอร์สตาร์" ทุกคน

มูรินโญ่ รู้ว่าหากสามารถดึง รูนี่ย์ มาร่วมทีมได้ เชลซี จะเป็นทีมที่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากยิ่งขึ้น เป็นแกนหลักของทีมร่วมกับ จอห์น เทอร์รี่ และ แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่อยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่งทางลูกหนังได้

ขณะเดียวกันก็เป็นการ "บั่นทอน" แมนฯ ยูไนเต็ด ทั้งในเรื่องของขีดความสามารถ และเรื่องบรรยากาศภายในทีม ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เป็น "เคล็ดลับ" การทำทีมของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ทำให้หลายต่อหลายครั้งพวกเขาพิชิตชัยเหนือคู่แข่งได้ทั้งที่ศักยภาพของทีมด้อยกว่า

ฟุตบอล

สำหรับรูนี่ย์ เขาได้ "หมดใจ" และ "หมดไฟ" กับแมนฯ ยูไนเต็ด แล้วอย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้จากการหา "ข้ออ้าง" ที่จะไม่ลงเล่นให้กับทีมมาโดยตลอด แต่กลับลงสนามเป็น "ตัวจริง" ในเกมของทีมชาติอังกฤษได้โดยไม่ได้ดูมีอาการทางกายแม้แต่น้อย

ยอดศูนย์หน้าผู้นี้ขอแค่เพียงได้ย้ายทีม ได้รับค่าเหนื่อยที่พอใจ มีโอกาสประสบความสำเร็จ และเมื่อถึงเวลานั้น "รูนี่ย์" คนเดิมจะกลับมาเขย่าวงการฟุตบอลอังกฤษอีกครั้ง

ดังนั้น "ดีล" นี้จึงถูกมองว่าจะเป็นดีลสำคัญสำหรับตลาดฤดูร้อนของพรีเมียร์ลีก ดีลที่สามารถพลิกขั้วอำนาจจาก "แมนเชสเตอร์" กลับมาสู่ "ลอนดอน" อีกครั้ง

และนั่นคือเหตุผลว่าเหตุใด เดวิด มอยส์ ผู้ที่ลำพังต้องแบกรับภาระหนักอึ้งอยู่แล้วในการรับช่วงต่อจาก เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จึงต้องพยายาม "เหนี่ยวรั้ง" อดีตลูกทีมซึ่งในความเป็นจริงไม่ได้เป็นศิษย์-ครู ที่ผูกพันกันมาแต่อย่างใด อย่างถึงที่สุดขนาดนี้

โดยที่มี มูรินโญ่ นั่งไขว้ห้างบนเก้าอี้ผิวปากรอด้วยความสบายใจ

เพราะไม่ว่าจะคว้าตัวมาได้หรือไม่ เชลซี ก็ไม่ได้เดือดร้อน ความกดดันทั้งหมดอยู่ที่ฟากยูไนเต็ด ซึ่งนอกเหนือจากต้องรับมือกับข้อเสนอจากเชลซี พวกเขายังต้องเตรียมเจอ "ไม้ตาย" ของ รูนี่ย์ ที่พร้อมจะขอขึ้นบัญชีย้ายทีมเป็นครั้งที่ 3

และนั่นอาจมีน้ำหนักมากพอจะ "สั่นคลอน" โดยเฉพาะกับหัวใจแฟนผีที่คงไม่ปรารถนาจะรั้งตัวคนไม่มีหัวใจเอาไว้ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดต่อไป...

เรื่องโดย "ลูกแม่กิ่ง"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook