ปัจจัยสู่ความสำเร็จ

ปัจจัยสู่ความสำเร็จ

ปัจจัยสู่ความสำเร็จ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : หลังจากหยากไย่ขึ้นตู้โชว์ถ้วยรางวัลที่สโมสรเพราะร้างแชมป์มานาน 8 ปี ฤดูกาลนี้เป็นปีที่อาร์เซนอลกำลังมีลุ้นมากที่สุดที่จะกลับไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง

ปืนใหญ่ยึดหัวหาดในตำแหน่งจ่าฝูงมาได้เกือบตลอดฤดูกาลนี้ หลังจากออกสตาร์ทนัดแรกด้วยความพ่ายแพ้คาบ้าน แต่เมื่อโปรแกรมนัดที่ 4 สิ้นสุดลง เดอะกันเนอร์สก็ผงาดขึ้นมาเป็นทีมนำได้ และนั่งแป้นอยู่ตรงนั้นต่อเนื่องกันนาน 13 นัด

อาร์เซนอลมาเจอช่วงฟอร์มสะดุดครั้งแรกในฤดูกาลในช่วง 3 นัดก่อนถึงโปรแกรมบ๊อกซิ่งเดย์ เมื่อเก็บได้แค่ 2 แต้มเท่านั้น ทำให้หล่นไปอยู่ที่ 2 เป็นครั้งแรก โดยโดนลิเวอร์พูลเบียดแซงขึ้นไปเป็นจ่าฝูงแทน

แต่อาร์แซน เวนเกอร์ก็ไม่ต้องใช้เวลานาน เมื่อทวงตำแหน่งจ่าฝูงกลับคืนในโปรแกรมถนัดไป และยังนั่งแป้นอยู่ตรงนั้นมาตลอดด้วยชัยชนะ 4 นัดรวด

เท่ากับว่าหลังผ่านโปรแกรมไปแล้ว 21 นัดในฤดูกาลนี้ อาร์เซนอลรั้งตำแหน่งจ่าฝูงได้ถึง 17 นัด แม้ช่องว่างของคะแนนในช่วงหลัง ๆ จะไม่ทิ้งห่างเหมือนกับช่วงแรก ๆ แล้วก็ตาม

ปืนใหญ่ยังคงต้องลุ้นเหนื่อยหนักต่อไป เมื่อทั้งแมนเชสเตอร์ ซิตี้และเชลซีตามไล่บี้มาแบบหายใจรดต้นคอ โดยมีคะแนนตามหลังอยู่แค่หนึ่งและสองแต้มเท่านั้น

แต่ยังไงก็ต้องถือว่าปีนี้อาร์เซนอลมีโอกาสดีพอที่จะลุ้นแชมป์ได้อย่างเต็มตัว เมื่อปัจจัยหลาย ๆ อย่าที่เคยขาดหายไปดูจะมาพร้อม ๆ กันอย่างประจวบเหมาะ

โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ศูนย์หน้าตัวหลัก ออกสตาร์ทฤดูกาลด้วยการทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนอารอน แรมซี่ย์ก็องค์ลงโชว์เทพในแดนกลางได้อย่างสะเด็ดสะเด่า และทำประตูได้เป็นเรื่องแบบราวแบบไม่กลัวใครตาย แถมการซื้อตัวยังเป๊ะเว่อร์ เมื่อได้เมซุท โอซิลมาเป็นจอมทัพคอยสร้างสรรค์เกมได้อย่างมีคุณภาพ

อีกปัจจัยที่อาจจะดูไมได้โดดเด่นอะไร แต่มีผลสำคัญไม่น้อย นั่นก็คือเกมรับที่เหนียวแน่น ซึ่งทำให้อาร์เซนอลเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในฤดูกาลนี้คือ 19 ลูกเท่ากับเชลซีและเอฟเวอร์ตัน

ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องยกความดีความชอบให้กับโลร็องต์ กอสเซียลนี่และแพร์ แมร์เตซัคเคอร์ สองเซ็นเตอร์แบ๊กตัวหลัก ซึ่งถูกยกให้เป็นคู่ปราการหลังตัวกลางที่แกร่งที่สุดของอาร์เซนอลในรอบหลายปี

สถิติที่ช่วยสนับสนุนเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีก็คือตัวเลขที่บอกว่า ภายในระยะเวลา 2 ปีมานี้ นั่นคือนับจากเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่แพ้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-2 คาบ้านตัวเองเมื่อ 22 มกราคม 2012 อาร์เซนอลก็ยังไม่แพ้อีกเลยในเกมที่กอสเซียลนี่กับแมร์เตซัคเคอร์ลงเล่นเต็ม 90 นาทีทั้งคู่

จนกระทั่งถึงเกมล่าสุดที่บุกไปชนะวิลล่า 2-1 เมื่อวันจันทร์ กอสเซียลนี่ย์กับแมร์เตซัคเคอร์ลงเล่นแบเต็มเกมด้วยกันมาแล้ว 28 นัด โดยปืนใหญ่ชนะถึง 20 นัดและเสมออีก 8 นัด

แต่กว่าที่เวนเกอร์จะปั้นจนได้คู่เซ็นเตอร์แบ๊กในฝันคู่นี้ ก็ต้องใช้เวลาอยู่นานหลายปี โดยเริ่มต้นจากการดึงตัวโธมัส แฟร์มาเลนมาเสริมแนวรับในปี 2009 และเขาก็กลายเป็นตัวหลักของทีมทันที ในการเล่นคู่กับตัวเก๋าอย่างวิลเลี่ยม กัลลาส

ฤดูกาลถัดไปปืนใหญ่ก็ปรับแนวรับอีกขนานใหญ่ เมื่อปล่อยทั้งกัลลาส, ฟิลิปป์ เซนเดอรอส และมิกาเอล ซิลแวสตร์ออกจากทีมไป รวมถึงโซล แคมป์เบลล์ อดีตกองหลัวหลัก ซึ่ถูกดึงมาเสริมทีมระยะสั้นในซีซั่นก่อนหน้านั้นด้วย

เวนเกอร์หันไปคว้าตัวกอสเซียลนี่กับเซบาสเตียน สกิลลาชี่ สองเซ็นเตอร์แบ๊กชาวฝรั่งเศส มาเสริมทีมแทน และทั้งคู่ก็ก้าวมาเป็นคู่ปราการหลังตัวกลางตัวหลักในฤดูกาลนั้นทันที เมื่อแฟร์มาเลนเจ็บไปตั้งแต่ต้นฤดูกาล และต้องพักยาวไปในปีนั้น โดยมีโยฮัน ฌูรูเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ถูกหมุนเวียนใช้งานอีกคน

ในช่วงซัมเมอร์ของปี 2011 แมร์เตซัคเคอร์ก็ถูกดึงตัวมาเสริมความแกร่งให้กับแผงหลังอีกคน และแฟร์มาเลนก็ฟิตกลับมาแล้ว ทำให้ฤดูกาลนี้อาร์เซนอลมีตัวเลือกในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ๊กเหลือเฟือ

กอสเซียลนี่และแฟร์มาเลนถูกเลือกใช้งานเป็นตัวหลักในปีนั้น โดยมีแมร์เตซัคเคอร์ที่ได้รับโอกาสรองลงไป เพราะยังอยู่ระหว่างปรับตัวกับพรีเมียร์ลีกอยู่ ทำให้ผลงานช่วงแรก ๆ ไม่ค่อยเข้าตา

ส่วนฌูรูก็ถูกหมุนเวียนใช้งานอีกคน และกลายเป็นสกิลลาชี่ที่หลุดจากทีมไปชนิดที่ถูกลืม จนแทบไม่ได้ลงเล่นเลย

มาถึงฤดูกลที่แล้วแฟร์มาเลนยังคงเป็นตัวหลักในแผงหลัง แถมยังได้รับมอบปลอกแขนกัปตันทีมต่อจากโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ที่ย้ายไปแมนฯ ยูไนเต็ดด้วย และแมร์เตซัคเคอร์ที่ปักหลักได้แล้วก็ขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในแนวรับด้วยอีกคน เบียดให้กอสเซียลนี่ตกเป็นเป็นตัวเลือกอันดั 3

ส่วนสกิลลาชี่ยังคงหมดอนาคตเช่นเคย และไม่ได้ลงเล่นในลีกเลยแม้แต่นัดเดียว ขณะที่ฌูรูก็เริ่มหมดบทบาท จนต้องย้ายไปอยู่กับฮันโนเวอร์ในแบบยืมตัวในครึ่งหลังของฤดูกาล

เมื่อมาถึงตอนนี้ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า 3 ตัวหลักในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางของอาร์เซนอลคือแฟร์มาเลน, แมร์เตซัคเคอร์ และกอสเซียลนี่ โดยรายแรกนั้นถูกจับไปยืนเป็นแบ๊กซ้ายบ้างในหลาย ๆ นัดที่ทีมมีปัญหาในตำแหน่งนี้

และเมื่อฤดูกาลล่าสุดเริ่มต้นขึ้น สกิลลชาชี่ก็ถูกโละทิ้ง ส่วนฌูรูถูกยืมตัวไปเล่นกับฮัมบวร์ก และคู่เซ็นเตอร์แบ๊กที่เวนเกอร์เลือกใช้งานก็เป็นกอสเซียลนี่กับแมร์เตซัคเคอร์ ส่วนแฟร์มาเลนถูกจับไปนั่งสำรอง

หลังจากที่ปั้นมานาน การตัดสินใจของเวนเกอร์ดูจะได้ผล เมื่อฤดูกาลนี้อาร์เซนอลมีเกมรับที่แข็งแกร่งขึ้น หรือถ้าจะว่าไปแล้วการจับคู่ของกอสเซียลนี่กับแมร์เตซัคเคอร์ก็มีสถิติเป็นเครื่องยืนยันความเหนียวอีกครั้ง

จากตัวเลขระบุว่าตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาล 2012/13 เป็นต้นมา คู่หูคู่นี้มีสถิติการเสียประตูเฉลี่ยต่อเกมต่ำที่สุดในพรีเมียร์ลีกเมื่อได้ลงเล่นร่วมกัน (31 นัด) นั่นคือนัดละ 0.8 ประตูเท่านั้น

ขณะที่คู่ของจอห์น เทอร์รี่กับแกรี่ เคฮิลล์ของเชลซี (18 นัด), แว็งซองต์ กอมปานีกับมาติย่า นาสตาซิชของแมนฯ ซิตี้ (19 นัด) และฟิล จากีลก้ากับซิลแว็ง ดิสแต็งของเอฟเวอร์ตัน (47 นัด) มีสถิติเสียประตูเฉลี่ยอยู่ที่นัดละ 1 ลูก

รองลงไปคือคู่ของแดเนี่ยล แอ็กเกอร์และมาร์ติน สเคอร์เทลของลิเวอร์พูล ซึ่งมีสถิติเสียประตูเฉลี่ย 1.2 ลูกต่อนัด จากการลงเล่นร่วมกัน 28 เกม

หลังจากการขับเคี่ยวในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ผ่านไปแล้วเกินครึ่งทาง แมนฯ ซิตี้และเชลซียังคงถูกยกให้เป็นทีมเต็งหนึ่งและเต็งสองที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้

ขณะที่อาร์เซนอลยังคงเป็นเพียงเต็งสาม แต่ถ้ายังรักษาผลงานในระดับนี้เอาไว้ได้ ก็มีโอกาสไม่น้อยกว่าสองคู่แข่งสำคัญที่จะเข้าวินในฤดูกาลนี้เลย

เพราะถ้าเรือใบสีฟ้ามีเกมรุกที่ยิงระเบิดระเบ้อเป็นอาวุธหนัก และสิงห์น้ำเงินมีมิดฟิลด์ตัวรุกดี ๆ ที่สามารถพลิกเกมให้กับทีมได้ ทีเด็ดของปืนใหญ่อาจจะอยู่ที่คู่ปราการหลังคู่แกร่งคู่นี้ก็ได้

babybear

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook