เก็บตกหลังเกม ! 5 เรื่องต้องรู้ หลัง ฝรั่งเศส พลิกเชือด เยอรมนี 2-1

เก็บตกหลังเกม ! 5 เรื่องต้องรู้ หลัง ฝรั่งเศส พลิกเชือด เยอรมนี 2-1

เก็บตกหลังเกม ! 5 เรื่องต้องรู้ หลัง ฝรั่งเศส พลิกเชือด เยอรมนี 2-1
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สองประตูของ อ็องตวน กรีซมันน์ ในครึ่งหลังทำให้ ฝรั่งเศส มีโอกาสสูงทีเดียวที่จะเข้าไปลุ้นแชมป์ ยูฟา เนชันส์ลีก ในรอบน็อคเอาท์ต่อไป และทำให้ เยอมรนี หมดโอกาสดังกล่าวในปีนี้เป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับสร้างแรงกดดันให้กับ โยอาคิม เลิฟ และสมาพันธ์ฟุตบอลเยอมรนีไปในตัว

ไปดูกันว่ามีอะไรที่น่าสนใจเกิดขึ้นบ้างส่งท้ายเกมทีมชาติในเดือนตุลาคมนี้

5. เยอรมนี ยังแก้ปัญหาแนวรับไม่ตกFRANCK FIFE/GettyImages หลังจากล้มเหลวมาทั้งปี 2018 โยอาคิม เลิฟ ตัดสินใจใช้โอากสสุดท้ายในการลุ้นเข้ารอบน็อคเอาท์ ยูฟา เนชันส์ลีก ด้วยการส่งกองหลังธรรมชาติลงสนามถึง 6 คน โดยมี โยชัว คิมมิช เป็นมิดฟิลด์ตัวรับ นิโก้ ชูลซ์ และ ธีโล เคห์เรอร์ เป็นฟูลแบ็คซ้ายขขวา ปิดท้ายด้วยเซ็นเตอร์แบ็ค 3 คน ประกอบด้วย มัตส์ ฮุมเมลส์, มาเธียส กินเทอร์ และ นิคลาส ซือเล

การส่งนักเตะแนวรับธรรมชาติลงสนามจำนวนค่อนทีมทำให้เราเห็นความเครียดที่เกาะอยู่ในหัวของเขาชัดเจน เยอรมนี แพ้มา 3 จาก 4 นัดหลังสุดในเกมระดับทัวร์นามเนต์ แถมยังเก็บคลีนชีตได้เพียงนัดเดียวเท่านั้นในปี 2018 นี้ อย่างไรก็ตาม กองหลังทั้ง 6 คนกลับไม่สามารถแสดงศักยภาพที่จะช่วยให้ทีมเก็บคลีนชีตได้เลย คิมมิช รับมือ กรีซมันน์ และ เอ็มบัปเป้ ไม่ไหว กินเทอร์ กับ ซือเล คุมได้เพียง ชิรูด์ เท่านั้น ในขณะที่ ฮุมเมลส์ ที่เหมือนจะฟอร์มดีสุดก็ดันทำเสียจุดโทาในช่วงเวลาสำคัญเสียอีก

โยกี้ เลิฟ ไม่น่าโดนปลดในช่วงนี้ ต่อให้ เยอรมนี ต้องตกชั้นไปเล่นในลีกบี ศึก ยูฟา เนชันส์ลีก ครั้งถัดไปก็ตาม แต่หากเขาคิดจะพา เยอรมนีกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เขาต้องแก้ปัญหาเกมรับของทีมโดยด่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเหล่าตัวหลักเริ่มโรยรากันหมดแล้ว

4. กรีซมันน์ สำแดงเดชต่อเนื่องANNE-CHRISTINE POUJOULAT/GettyImages แม้ว่าชีวิตของ กรีซมันน์ ในปีนี้จะไม่โดดเด่นเหมือนสมัยที่เขาเป็น 1 ใน 3 ผู้ท้าชิงรางวัลบัลลงดอร์ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาสามารถรักษาฟอร์มให้ดีคงเส้นคงวาาตลอด ตั้งแต่คว้ารองแชมป์ ลาลีก้า กับ แอตเลติโก้ มาดริด คว้าแชมป์โลกกับ ฝรั่งเศส และลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน

ในเกมนี้ กรีซมันน์ เป็นตัวป่วนของแนวรับ เยอรมนี อย่างชัดเจน เพราะในขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่ความเร็วของ เอ็มบัปเป้ และความสูงใหญ่ของ ชิรูด์ กรีซมันน์ มักจะเป็นคนที่สอดเข้าเขตโทษหรือพื้นที่อันตรายได้เสมอ และประตูตีเสมอของทีมก็มาจากการลอบเร้นของเขาที่ทำให้แนวรับ เยอรมนี ถึงกับขาตายกันทั้งทีม

ไม่น่าเชื่อว่าชายผู้นี้จะไม่ได้ชิงนัเตะยอดเยีย่มในรางวัลใดหรือสาขาใดในปี 2018 นี้ แต่หากเขายังรักษาฟอร์มแบบนี้ต่อไปได้เรื่อย ๆ ปีหน้าเรามีสิทธิ์ที่จะได้เห็นชื่อ กรีซมันน์ บนทำเนียบบัลลงดอร์แน่นอน 

3. เยอรมนี หวังเพิ่งความเร็วFRANCK FIFE/GettyImages นับตั้งแต่ เลิฟ เข้าคุมทีม เยอรมนี พวกเขาขึ้นชื่อเรื่องการวางบอลอันแม่นยำและการต่อบอลจากแดนกลาง ซึ่งในยุคที่ผ่านมา เราได้เห็นนักเตะอย่าง เมซุต เออซิล, โทนี โครส, โธมัส มืลเลอร์ และ ซามี เคดิรา เป็นตัวชูโรง แต่เมื่อ เออซิล อำลาทีมชาติ เคดิรา เริ่มโรยรา มืลเลอร์ กับ โครส เริ่มฝืด เราก้ได้เห็นเด็กรุ่นใหม่ปรับมาใช้ความเร็วในการโจมตีกันบ้าง

ในเกมนี้นักเตะที่โดดเด่นที่สุดในเกมรุกเห็นจะเป็น เลรอย ซาเน ที่ใช้ความเร็วกดดัน ฝรั่งเศส ได้สนุกพอ ๆ กับ เอ็มบัปเป้ ของทีมเจ้าบ้าน ต่างกันเพียงที่ ซาเน อาจจะยังไม่ค้นเคยกับเพื่อนร่วมชาติเท่าไหร่ เพราะการต่อบอลสุดท้ายของเขานั่นไม่แม่นเอาเสียเลย

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะ ซาเน ทำให้เห็นแล้วว่าเขามีศักยภาพพอที่จะทำอะไรได้บ้าง ในขณะที่ แวร์เนอร์ และ นาบรี้ อาจไม่เด่นเท่า แต่ทั้งคู่มีส่วนอย่างมากในการวิ่งเปิดพื้นที่ในแดนของ ฝรั่งเศส โดยเฉพาะ นาบรี้ ที่ขยันวิ่งหาช่องจนทำให้ คิมเป็มเบ้ ต้องพะวงอยู่บ่อย ๆ

เหลือแค่ เลิฟ เท่านั้นที่จะปักใจกับวิธีการเล่นแบบนี้ได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเขาไม่ยอมใช้วิธีนี้แบบจริง ๆ จัง มาก่อนเลย

2. ถึงเวลาที่ ฝรั่งเศส ควรลองอะไรใหม่ ๆMatthew Ashton - AMA/GettyImages ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ แทบไม่เปลี่ยนนักเตะจากชุดที่คว้าแชมป์โลกเลย โดยในเกมดังกล่าวมีเพียง ซามูเอล อุมติตี้ เท่านั้นที่ไม่ได้มาแข่งด้วยเพราะอาการบาดเจ็บ ส่วน 10 ตำแหน่งที่เหลือ เราทุกคนต่างคุ้นหน้ากันดี อย่างไรก็ตามการที่ทีมของพวกเขาเก็บชัยชนะอย่างต่อเนื่องก็ใช่ว่าจะเป็นเพราะฟอร์มของพวกเขาคงเส้นคงวาแต่อย่างใด เพราะนักเตะบางคนก็เริ่มออกอาการแกว่งให้เห็นกันบ้างแล้ว

ตำแหน่งที่มีปัญหาที่สุดในเกมนี้ของ ฝรั่งเศส เห็นจะเป็นคู่กองกลางอย่าง เอ็นโกโล ก็องเต้ และ ปอล ป็อกบา ทั้งคู่รับมือกับแนวรุกอันว่องไวของ เยอรมนี ไม่ได้เลยในครึ่งแรก โดยเฉพาะ เลรอย ซาเน ที่สปีดหนี ก็องเต้ ไปครั้งแล้วครั้งเล่า แถม ปอล ป็อกบา ก็ยังมีส่วนให้ทีมเสียประตูขึ้นนำอีกต่างหาก 

ปัจจุบัน ฝรั่งเศส เริ่มที่จะมีดาวรุ่งแจ่ม ๆ หน้าใหม่โผล่หน้าออกมาบ้างแล้ว อย่างเช่น ต็องกี เอ็นด็อมเบเล ที่โชว์ฟอร์มได้เด่นสุด ๆ กับ โอลิมปิก ลียง ซึ่งเขาคนนี้น่าจะเป็นอนาคตของทีมชาติได้ไม่ยาก เหลือแค่ เดส์ชองส์ จะให้โอกาสเมื่อไหร่เท่านั้น 

1. ผลการแข่งขันอื่น ๆ ที่น่าสนใจ Image by P' CHIN

ยูฟา เนชันส์ลีก

ลีกบี กลุ่ม 1
ยูเครน 1-0 เช็ค (มาลินอฟสกี้ 43')

ลีกบี กลุ่ม 4
ไอร์แลนด์ 0-1 เวลส์ (วิลสัน 58') 

ลีกซี กลุ่ม 3
นอร์เวย์ 1-0 บัลแกเรีย (เอลยูนุสซี 31')
สโลวีเนีย 1-1 ไซปรัส (ปาปูลิส 37', สคูบิซ 83') 

ลีกดี กลุ่ม 1
ลัตเวีย 0-3 จอร์เจีย (คันคาวา 8', กวิเลีย 29', ชาเควทัดเซ 61')

ลีกดี กลุ่ม 4
อาร์เมเนีย 4-0 มาเซโดเนีย (ปิซเซลลี 12', มอฟซิซยาน 67', กาซาร์ยาน 81', มคิทาร์ยาน 90+3')
ยิบรอลตาร์ 2-1 ลิกเตนสไตน์ (ซาลาโนวิช 12', คาเบรลา 61', ชิโปลินา 66')

แอฟริกันคัพออฟเนชันส์ รอบคัดเลือก

เลโซโธ 0-2 อูกันดา (มิยา 6', 35')

แกมเบีย 0-1 โตโก (อยิเต้ 90+2')

มอริเตเนีย 1-0 อังโกลา (อดามา บา 8')

นามิเบีย 1-0 โมซัมบิก (ชาลูลิเล 73')

ซิมบับเว 1-1 ดีอาร์ คองโก (คารูรู 2', ฮาเดเบ (เข้าประตูตัวเอง) 24')

ซูดาน 0-1 เซเนกัล (ซิดี้ ซาร์ 86')

ลิเบเรีย 2-1 คองโก (เดนนิส 8', เจบอร์ 13', อิบาร์รา 14')

ลิเบีย 2-3 ไนจีเรีย (อิกาโล 14', 81', มูซา 17', ซูเบีย 35', เบนาลี 74')

 

กระชับมิตร

อิหร่าน 2-1 โบลิเวีย (จาฮันบัคช์ 17', กอร์โดโซ 51', ฏุรอบี 63')

บาห์เรน 4-1 เมียนมาร์ (ราชิด 45+1', มารูน 48', 69', เมียะกองคัน 51', อาลี อิสซา 70')

บราซิล 1-0 อาร์เจนตินา (มิรันด้า 90+3')

เบลเยียม 1-1 เนเธอร์แลนด์ (เมอร์เทนส์ 5', กรูเนอเวลด์ 27')

เดนมาร์ก 2-0 ออสเตรีย (เลแรเกอร์ 29', เบรธเวท 90+3)

สวีเดน 1-1 สโลวาเกีย (กุยเด็ตติ 52', รุสนัค 84')

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook