เส้นทางตัวประกอบระดับมาสเตอร์พีซของ “ดิว็อค โอริกี้”

เส้นทางตัวประกอบระดับมาสเตอร์พีซของ “ดิว็อค โอริกี้”

เส้นทางตัวประกอบระดับมาสเตอร์พีซของ “ดิว็อค โอริกี้”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คำอธิบายเดียวจากเกมที่ ลิเวอร์พูล พลิกนรกเข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2018-19 จากการเอาชนะ บาร์เซโลน่า 4-0 ที่ แอนฟิลด์ คือคำว่า "สุดยอด"

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่วันนี้โลกโซเชี่ยลจะต้องพูดถึงความ "สุดยอด" นี้กันตลอดทั้งวัน ไม่มีใครคิดว่าลิเวอร์พูลจะสามารถตีตั๋วไปถึงเกมสุดท้ายที่ ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ กรุงมาดริดได้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดขีดเช่นนี้ ...

“สองกองหน้าที่เก่งที่สุดในโลกไม่พร้อมสำหรับเกมคืนพรุ่งนี้ และเราต้องยิง 4 ประตูเพื่อผ่านเข้ารอบไป “เราจะลงสนามไปเพื่อพยายามเอาชนะ นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่คุณต้องการในเลกสอง” เจอร์เก้น คล็อปป์ ว่าเอาไว้เช่นนี้ก่อนเกม พวกเขาไม่มีทั้ง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คนที่รับหน้าที่กองหน้าธรรมชาติที่จะลงเล่นแทนคือ ดิว็อค โอริกี้ แข้งสำรองสายสแตนด์บายขนานแท้   

ณ เวลานั้นไม่มีใครกล้าคิดว่าเขาจะทำได้สุดยอดและสร้างความแตกต่างให้กับเกมเหมือนกับที่ ซาลาห์ และ ฟีร์มิโน่ ทำได้ จนกระทั่งเกมได้เริ่มขึ้นเท่านั้นเองทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ดาวยิงจากเบลเยี่ยม ยิง 2 ประตูที่สำคัญที่สุด ลูกแรกคือการเปิดหัวเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเพื่อนร่วมทีม และเร่งเร้าเสียงเชียร์ที่ดังอยู่แล้วให้กระหึ่มขึ้นไปอีกและวนไปอย่างนั้นตลอดทั้งเกม ขณะที่อีกประตูคือลูกสุดท้ายของเกมที่ชี้ขาดว่า ลิเวอร์พูล คือทีมที่ดีกว่าบาร์เซโลน่า ทั้งในแง่ของรูปแบบการเล่น, ผลการแข่งขัน และ เข้ารอบชิงชนะเลิศไปได้ในท้ายที่สุด

และนี่คือเรื่องราวของ "อันเดอร์ด็อก" มวยรองเบอร์ 4 ที่ทำได้ดีเกินคาด ดิว็อค โอริกี้ มีความเป็นมาอย่างไรก่อนมาถึงจุดนี้ ติดตามได้ที่นี่

นักเตะประวัติศาสตร์

คำว่านักเตะประวัติศาสตร์ของ โอริกี้ นั้นไม่ได้เพิ่งมาเป็นเอาเมื่อหลังจบเกมที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บาร์เซโลน่า แต่ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่วัยเด็กของเขาเลย พ่อแม่ของเขาเป็นชาวเคนยา ไมค์ โอโกธท์ โอริกี้ พ่อของเขาเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่เคยเล่นให้กับสโมสร อุสเตนด์ และนั่นทำให้ครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่ประเทศเบลเยี่ยม และ ดิว็อค คือลูกไม้ใต้ต้นอย่างแท้จริง


photo : LifeBogger

"ลูกฟุตบอลนั้นอยู่ที่บ้านตั้งแต่ก่อนเขาเกิด เมื่อเขาหัดเดิน สิ่งที่เขาทำคือการเตะมันไปรอบๆ บ้าน" ไมค์ เล่าถึงความผูกพันของลูกชายและฟุตบอล

โอริกี้ ฝึกฟุตบอลจริงๆ จังๆ ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ด้วยการเข้าทีม KDFC De Zuwaluw Wiemesmeer และร่างกายแบบแอฟริกันทำให้เขาเก่งกว่าเด็กๆทุกคนในรุ่นเดียวกัน การเจริญเติบโตของ โอริกี้ ถือว่าไวกว่าเด็กทั่วไป ไมค์ ผู้เป็นพ่อเผยว่า ร่างกายของเขามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อายุ 6 ขวบ และเป็นเช่นนั้นเรื่อยมาในการแข่งรุ่นจูเนียร์

"ตอน ดิว็อค 6 ขวบ เขามีครบแล้วถ้าเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกัน มีพรสวรรค์กว่า, สูงกว่า และ แข็งแกร่งกว่า และเมื่อเขาไปโรงเรียนผมมักจะได้รับรายงานจากคุณครูเสมอว่าเขาเล่นฟุตบอลได้ดียิ่งกว่าใครๆ" พ่อของเขาว่าต่อ ก่อนจะเล่าเรื่องราวหลังจากความเก่งเกินวัยนั้นว่ามีทีมดังของประเทศที่อยู่ห่างบ้านของเขาเพียง 2 ชั่วโมงอย่าง เกงค์ ดึงไปเข้าทีมอคาเดมี่ตั้งแต่ 9 ขวบ ช่วงที่อยู่กับ เกงค์ นั้น ณ ตอนแรก โอริกี้ ได้เริ่มเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับก่อนถูกผลักดันให้เป็นนักเตะตำแหน่งกองหน้าตอนอายุ 14 ปี หลังจากนั้นเพียงปีเดียวการเปลี่ยนตำแหน่งก็ทำให้เขาเข้าตาทีมจากฝรั่งเศสและได้ย้ายประเทศตั้งแต่อายุ 15 ปี เมื่อลีลล์ คว้าตัวไปร่วมทีม 

ช่วงที่เล่นกับ ลีลล์ นั้น โอริกี้ ได้ฉายาว่า "เบบี้ ไคลเวิร์ต" นั่นหมายถึงการหาโอกาสจบสกอร์ที่เก่งกาจเหมือนกับ พาทริก ไคลเวิร์ต ตำนานทีมชาติฮอลแลนด์ที่เคยย้ายมาเล่นกับ ลีลล์ ในช่วงสั้นๆ ส่วน โอริกี้ ถูกยกให้เป็นตัวอนาคตของสโมสร เพราะเขาเล่นแบบแบกอายุมาโดยตลอดด้วยร่างกายที่แข็งแกร่ง เขาสามารถวิ่งและแข่งขันกับเด็กที่อายุมากกว่าเขา 2 ปีได้สบายๆ โอริกี้ ยิง 10 ประตูจาก 19 เกมให้ทีมชาติเบลเยี่ยม ชุดยู 19 ตอนเขาอายุ 17 ปีเท่านั้น ช่วงเวลาดังกล่าว โอริกี้ เคยโดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้ามาทาบทามด้วย ทว่าเขาเลือกที่จะอยู่กับ ลีลล์ ต่อไปเพราะเห็นโอกาสพัฒนาตัวเองที่มากกว่า

"ผมจำได้ว่า ผมกลับจากโรงเรียน พ่อกับแม่ก็เรียกมานั่งคุย ผมรู้ว่า พ่อกับแม่คงตัดสินใจเตรียมบางอย่างไว้ให้แล้ว แต่ก็ให้โอกาสผมได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องใหญ่นะสำหรับเด็กอายุ 15 ปี ตอนนั้นผมตัดสินใจเลือกอยู่กับ ลีลล์ ต่อ ในวันที่ ยูไนเต็ด ติดต่อเข้ามา และผมก็มั่นใจแล้วว่า ผมทำถูก"  โอริกี้ กล่าว

ถึงอายุ 18 ปี ลิเวอร์พูล ส่งแมวมองมาติดตามฝีเท้าของ โอริกี้ อยู่เรื่อยๆ แต่พวกเขายังค้างคาใจว่าเด็กคนนี้จะสามารถรับมือกับความกดดันในฟุตบอลพรีเมียร์ลีกได้หรือไม่ และโชคดีมากที่หลังจากจบฤดูกาล 2013-14 นั้นมีรายการใหญ่อย่าง "ฟุตบอลโลก" รออยู่ ซึ่ง โอริกี้ ในวัย 19 ปี ติดทีมชาติเบลเยี่ยมไปแข่ง ณ เวลานั้นด้วยทั้งๆ ที่เขาไม่เคยมีส่วนร่วมแม้แต่วินาทีเดียวในการแข่งขันรอบคัดเลือก 

เวทีใหญ่ๆ อย่างนี้หากได้ลงเล่นมีอยู่ 2 อย่างสำหรับนักเตะวัยทีนเอจนั่นคือหากไม่แจ้งเกิด ก็อาจจะเสียความมั่นใจไปเลย แตโชคยังดีพอที่ ดิว็อค โอริกี้ เลือกไปที่อย่างแรก ด้วยการยิงประตูชัยให้เบลเยี่ยมเอาชนะ รัสเซีย ไป 1-0 ในเกมที่มาราคาน่า และประตูนั้นคือเหตุผลที่ ลิเวอร์พูล ตัดสินใจเซ็นสัญญาเขาไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์


photo : NDTV Sports

นอกจากนี้ประตูในเกมกับรัสเซีย ที่ โอริกี้ ทำได้ยังถูกบันทึกไว้ว่าเป็นประตูประวัติศาสตร์ของ เบลเยี่ยม เพราะมันมาพร้อมกับสถิตินักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลกของเบลเยี่ยมนั่นเอง

เกือบไม่มีวันนี้

การมาของ โอริกี้ นั้นมาช้ากว่ากำหนด 1 ปี เพราะ ลิเวอร์พูล ปล่อยตัวเขาให้กับลีลล์ ยืมตัวใช้งานต่อไปก่อน ดังนั้นเมื่อครบ 1 ปีและเขากลับเข้ามาสู่รั้วแอนฟิลด์ ปรากฎว่ากุนซือลิเวอร์พูลมีการเปลี่ยนมือไปแล้วจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เป็น เจอร์เก้น คล็อปป์

สไตล์การทำทีมของ คล็อปป์ นั้นเป็นลายเซ็นของเขามาตั้งแต่สมัยคุม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ นักเตะเกมรุกของเขาต้องเป็นคนที่มีเทคนิคล้ำเลิศ คล่องแคล่วในพื้นที่สุดท้าย และจบสกอร์เฉียบขาด ซึ่งฝีเท้าของ โอริกี้ ในช่วงเวลานั้นไม่สามารถทำหน้าที่ดังกล่าวได้แบบเต็มประสิทธิภาพนัก เขายังเด็กเกินไป และยังทำอะไรไม่ได้มากกว่าการรอเข้าฮอร์สยิงประตู ฉายา “เบบี้ ไคลเวิร์ต” ไม่มีความหมายที่แอนฟิลด์ 

หากมองที่จำนวนประตูถือว่าไม่น่าเกลียดเพราะฤดูกาล 2015-16 เขายิงไป 10 ลูก ขณะที่ฤดูกาล 2016-17 เจ้าตัวก็ยิงเพิ่มอีก 11 ลูก แต่ในเรื่องโอกาสการลงเล่นถือว่าส่วนใหญ่ต้องรับบทตัวสำรอง เขาหลุดเป็นตัวสำรองตัวเลือกท้ายๆ ตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ คล็อปป์ ได้เจอแนวรุกที่ลงตัวอย่าง ฟีร์มิโน่, ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ รวมถึง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ (ที่ย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า ในเวลาต่อมา) เมื่อนั้นก็ไม่มีที่ว่างให้กับ โอริกี้ อีกเลย เขาถูกส่งไปให้ โวล์ฟส์บวร์ก ยืมตัวในฤดูกาล 2017-18 ซึ่งผลออกมาก็คือเจ๊งอีกราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เขายิงได้แค่ 6 ประตูจากการลงสนาม 34 นัด ด้วยจำนวนประตูขนาดนี้ต่อให้มีออพชั่นซื้อขาดหลังยืมตัว โวล์ฟส์บวร์ก ก็ปฎิเสธจะใช้ออพชั่นดังกล่าวทิ้งไปแบบไม่ใยดี 


photo : Bleacher Report

ฤดูกาล 2017-18 ถือเป็นปีที่เลวร้าย มีข่าวลือหนาหูว่าเขาจะไม่ได้ไปต่อเพราะ ลิเวอร์พูล กำลังจะขายเขาทิ้งในช่วงหลังฤดูกาลปิดตัวลง ช่วงเวลานั้นผู้คนที่เกี่ยวข้องกับโอริกี้ ต่างก็ออกมาเรียกร้องว่าเขาควรจะได้รับโอกาสมากกว่านี้ หรือไม่ก็ได้ย้ายไปอยู่กับทีมที่พร้อมจะมอบตำแหน่งตัวจริงให้ 

"สำหรับผมแล้วการที่ ดิว็อค ย้ายไปอยู่กับ โวล์ฟสบวร์ก ถือเป็นเรื่องผิดพลาด ตอนนี้ คล็อปป์ จะต้องตัดสินใจเรื่องของเขา ถ้าเขาอยากให้เขาอยู่ต่อ ดิว็อค ก็จะอยู่ต่อ หรือถ้าเขาอยากให้เขาย้ายทีม ดิว็อค ก็จะย้ายทีม ยังไงก็ตาม เราไม่คิดที่จะให้เขาย้ายทีมแบบยืมตัวอีกแล้ว เราอยากให้เขาไปอยู่กับทีมที่มีเขาอยู่ในแผนการทำทีม ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเจรจากับ เบซิคตัส ด้วย" เอเย่นต์ ของเขาเริ่มขู่ทันที ก่อนที่ ไมค์ โอริกี้ ผู้เป็นพ่อจะออกมาเสริมเรื่องดังกล่าวและให้ร้ายต้นสังกัดของลูกชายว่าพยายามจะโก่งราคามากเกินไปจนไม่มีทีมไหนสู้ค่าตัวได้

"โอริกี้ยังคงเป็นนักเตะของลิเวอร์พูล เขายังมีสัญญากับที่นี่จนถึงปี 2020” ไมค์ กล่าว "ดอทมุนด์กับบาเลนเซียให้ความสนใจตัวเขาอยู่ แต่พวกเขาไม่สามารถจ่ายในราคาที่ลิเวอร์พูลต้องการได้ และโอริกี้ก็ไม่มีความคิดที่จะย้ายออกไปแบบยืมตัวอีกแล้ว เพราะฉะนั้นเขาต้องสู้เพื่อตำแหน่งในทีมนี้”


photo : The Independent

คำพูดของ ไมค์ นั้นบอกได้ 2 อย่าง อย่างแรกคือ โอริกี้ ถูกปิดกั้นโอกาสให้ลงสนามหรือแม้กระทั่งย้ายหนีสถานการณ์ที่ยากลำบาก และอย่างที่ 2 คือเมื่อมีสัญญา มันยังมีโอกาสเสมอ และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมลูกชายของเขาจึงต้องก้มหน้าทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าดีพอกับการได้ลงสนามให้กับ ลิเวอร์พูล

ซ้อมแบบไหนได้แบบนั้น

เปิดฤดูกาล 2018-19 ด้วยความยากลำบากอย่างที่ใครต่อใครคาดเดาไว้ โอริกี้ ต้องรอโอกาสถึง 4 เดือนกว่าจะได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก โดยในจำนวนเกมทั้งหมดนั้นเขามีชื่ออยู่บนม้านั่งสำรองเพียงแค่ 2 จาก 13 เกม ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เล่นเลยแม้แต่วินาทีเดียว ที่แย่ไปกว่านั้นคือเขาต้องลงไปเล่นให้กับทีมสำรองเป็นครั้งคราว เรียกได้ว่าแทบมองไม่เห็นโอกาสการกลับมาเฉิดฉายในทีมชีท 11 ตัวจริงได้เลย ณ ช่วงเวลานั้น 

กระทั่งเดือนธันวาคมมาถึง นั่นหมายความว่า บ็อกซิ่ง เดย์ กำลังใกล้เข้ามา นี่คือช่วงเวลาที่นักเตะหลายๆจะได้รับโอกาสลงสนามบ้างเพื่อหมุนเวียนและรักษาความสดของแข้งตัวหลัก และเดือนธันวาคมนี้เองที่เป็นเดือนนำโชคของเขา เพราะเกมนัดแรกในฤดูกาลของ โอริกี้ เกิดขึ้นในวันที่ 2 ในเกมที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านพบ เอฟเวอร์ตัน 

รูปเกมดังกล่าวเป็นไปอย่างอึดอัด ลิเวอร์พูล ใส่แนวรุกไปถึง 4 คนโดยเพิ่ม เซอร์ดาน ชากีรี่ ไปอีกเพื่อต้องการคว้าชัยชนะ แต่ เอฟเวอร์ตัน เหนียวแน่นจนเจาะไม่เข้า จนเข้าสู่นาทีที่ 84 คล็อปป์ ไม่มีทางเลือกเหลือการเปลี่ยนตัวโควต้าสุดท้าย และเขาเลือก โอริกี้ ลงมาแทน ฟีร์มิโน่ แล้วก็อย่างที่เราได้รู้กัน จะฟลุ้กหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น โอริกี้ ลงมาโหม่งประตูชัยในช่วงทดเวลานาทีที่ 6 และส่ง ลิเวอร์พูล คว้า 3 แต้มได้อย่างหวุดหวิด 


photo : 
The18

“ประตูชัยนั้นมีโชคช่วย แต่เป้าหมายของเราชัดเจน เราต้องการจะเป็นผู้ชนะกระทั่งวินาทีสุดท้าย เราต้องการแสดงให้เห็นด้วยการใส่กองหน้าลงสนาม นี่เป็นเกมที่เปิดแลกกันอย่างยาวนาน และผมคิดว่าเราควรได้ 3 คะแนน” คล็อปป์ ว่าไว้เช่นนั้น 

มุมมองของแฟนเดอะ ค็อป ที่มีต่อ โอริกี้ นั้นเปลี่ยนไปไม่น้อยจากประตูสำคัญในเกมนั้น เพราะเจ้าตัวแสดงให้เห็นในการฝึกซ้อมว่าทุ่มเทขนาดไหน อีกทั้งเรื่องทัศนคติอันเป็นสิ่งที่สำคัญพอๆ กับฝีเท้าของ โอริกี้ นั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยมเลยก็ว่าได้ หลังจากจบเกมเปลี่ยนชีวิตเกมนั้น เขาพูดได้แต่เพียงว่าขอแค่ส่งเขาลงสนาม เขาพร้อมที่จะสู้เพื่อทีม 

“มันเป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจจริงๆ ผมคิดว่าตัวเองมีความสุขมาก ผมคิดว่ามันเป็นประตูที่มีความหมายต่อสโมสร และเมืองแห่งนี้ ผมแค่มีความเชื่อมั่นตัวเอง สำหรับฟุตบอลช่วงเวลาเหล่านั้น ทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น เมื่อใดก็ตามที่ผมลงสนาม ผมย้ำตัวเองเสมอว่า ต้องช่วยทีมให้ได้ และผมมีความสุขจริงๆ ที่ผมทำได้อย่างวันนี้” 

ประตูจุดความหวังติดไฟให้ โอริกี้ คึกยิ่งกว่าเดิม เพราะหลังจากเกมกับ เอฟเวอร์ตัน จนมาถึง ณ ปัจจุบันนี้ มีเพียง 2 เกมเท่านั้นที่เขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีม นั่นคือเกมที่เจอกับ 2 ทีมจากเมือง แมนเชสเตอร์ ในเกมพรีเมียร์ลีก ส่วนทุกเกมที่เหลืออย่างน้อยๆ โอริกี้ จะมีชื่ออยู่บนม้านั่งสำรองเสมอ 

“มันสมเหตุสมผล ดิฟ (โอริกี้) คู่ควรกับโอกาสนี้เหมือนกับนักเตะอื่นๆ หากได้รับเลือกก็คู่ควรเช่นกัน เพราะว่าทัศนคติในการซ้อมยอดเยี่ยมมาก" คล็อปป์ หล่นคำชมใส่ โอริกี้ ในวันที่เขาได้ลงเล่นเต็ม 90 นาทีเป็นครั้งแรกในเกมกับ วัตฟอร์ด ในเดือนกุมภาพันธ์ หรือช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนฤดูกาลจะปิดลง

โอริกี้ เข้ามาเป็นอาวุธลับของลิเวอร์พูลไปแล้ว และมาในช่วงที่ถูกที่ถูกเวลา ท้ายฤดูกาลนักเตะคนอื่นลงเล่นติดต่อกันมายาวนาน แต่เขาฟิตเต็มถัง ขณะที่ คล็อปป์ โยกเขาเป็นเล่นริมเส้นฝั่งซ้าย โอริกี้ ก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ปรับตัวกับตำแหน่งใหม่ได้ดีจริงๆ

เดือนสุดท้ายของฤดูกาล

ลิเวอร์พูล สู้ศึกมาอย่างยาวนานและคั่วแชมป์ 2 รายการใหญ่อย่าง พรีเมียร์ลีก กับ แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อเดือนพฤษภาคมเวียนมาถึง มันคือศึกตัดสินว่าพวกเขาจะจบฤดูกาลด้วยมือเปล่าหรือสร้างตำนานบทใหม่ 

วันที่ 4 ของเดือน ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 37 ลิเวอร์พูล ต้องชนะ นิวคาสเซิล เพื่อต่อชะตาลุ้นแชมป์ ในเกมที่ ซาลาห์ โดนอัดยุบจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออก คล็อปป์ ส่ง โอริกี้ ลงมาเป็นสำรองตัวสุดท้ายในช่วง 14 นาทีที่เหลืออยู่ และมันก็เป็นอีกครั้งที่ เจเค จั่วไพ่ถูกใบ โอริกี้ ลงมาและโหม่งประตูชัยในนาทีที่ 86 ... ลิเวอร์พูล ได้ไปต่อ แชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 19 ยังมีลุ้นถึงนัดสุดท้าย


photo : The Liverpool Offside

“มันสำคัญอย่างยิ่ง มันเจ๋งมากๆ มันเหมือนกับเทพนิยาย” คล็อปป์ กล่าวถึง โอริกี้ ในงานแถลงข่าวหลังเกม “คุณสามารถพูดถึงผมเท่าไหร่ก็ได้เท่าที่คุณต้องการ ผมอาจจะไม่ได้ให้ ดิว็อก เล่นมากนัก หรือให้ ชากิรี่ เล่นมากนัก แต่เมื่อผมตัดสินใจแล้ว มันออกมายอดเยี่ยมมาก ผมรักที่มันเป็นแบบนั้น มันเป็นโมเมนต์ที่ยิ่งใหญ่มาก มันเป็นฟรีคิกที่วิเศษของชากิรี่ และการโหม่งที่ยอดเยี่ยมจากดิว็อก ทำให้เราชนะได้ในเกมนี้ และได้เล่นในเกมนัดชิงชนะเลิศของพรีเมียร์ลีกแล้ว"   

4 วันให้หลังจากที่สร้างเทพนิยายที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค  โอริกี้ ได้โอกาสลงเล่นในเกมที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา … ถึงตอนนี้เราคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายอีกแล้ว  

โอริกี้ สู้กับความกดดันมาตลอดหลายปี มันทำให้สภาพจิตใจของเขาแกร่งจนสามารถเล่นได้อย่างเยือกเย็นในเกมที่นักเตะ บาร์เซโลน่า ที่ว่ากันว่าเวิลด์คลาสทั้ง 11 ตัว ออกบอกกันมั่วซั่ว 2 ประตูของ โอริกี้ วิ่งจนตะคริวขึ้น แต่ก็ทำให้ทุกอย่างที่แอนฟิลด์บ้าคลั่งและจบเกมด้วยชัยชนะที่สามารถใช้คำเว่อร์ๆ อย่าง "มหัศจรรย์" ได้อย่างเต็มปาก 

“ผมคิดว่ามันเกี่ยวกับทีมมากกว่า เราทำได้ดีมาก เราสู้ และเรารู้ว่ามันจะเป็นค่ำคืนที่พิเศษ เราต้องการต่อสู้เพื่อผู้เล่นที่บาดเจ็บ มันเป็นเรื่องที่พิเศษมาก มันยากจะบรรยายเป็นคำพูด คุณสามารถสัมผัสถึงมัน มันน่าเหลือเชื่อมาก”

“เราต่อสู้อย่างหนัก ร็อบโบ้ (แอนดี้ โรเบิร์ตสัน) เป็นนักสู้ และเรารู้ว่ามันสามารถส่งผลกระทบกับนักเตะคนอื่นๆ แม้แต่ผมในท้ายที่สุด ผมเป็นตะคริว เราทำมันได้ มันแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานของความสามารถที่ลงตัว และการทำงานหนัก มันเป็นเรื่องที่พิเศษสำหรับเรา เพราะว่าไปถึงนัดชิงชนะเลิศในครั้งนี้”


photo : 
TEAMtalk

"ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน" เป็นคำกล่าวที่เหมาะสมกับ โอริกี้ อย่างที่สุด ตลอดทั้งฤดูกาล 2018-19 เขามีส่วนร่วมไม่ถึง 600 นาที จากจำนวนเต็มๆ ที่มากกว่า 4,500 นาที การมีส่วนร่วมเพียงเท่านั้น เรา "แทบจะ" สามารถเรียกเขาว่าตัวประกอบได้เต็มปาก แต่ความจริงไม่มีใครพูดคำนั้นกับเขาได้เลย เพราะไม่มีตัวประกอบที่ไหนจะเห็นค่าเวลาทุกนาทีที่ได้ลงสนามแบบนี้อีกแล้ว 6 ประตูของ โอริกี้ มีถึง 4 ลูกที่เป็นประตูชี้ขาดเกมและทำให้ลิเวอร์พูลยังมีโอกาสลุ้น 2 แชมป์อยู่ในตอนนี้ 

วินาทีเดียวในสนามก็มีความหมายสำหรับคนที่ต้องการมัน ดิว็อค โอริกี้ คือตัวอย่างของยอดตัวประกอบที่ทุกทีมบนโลกนี้ควรจะมี เขาไม่บ่นออกสื่อ ไม่เล่นเกมจิตวิทยากับใคร แต่เลือกที่จะทำงานหนักเพื่อให้ได้มันมาดังนั้นเขาจึงเห็นค่าและเต็มที่สำหรับเวลาอันจำกัดจำเขี่ยนั้น นั่นคือความแตกต่างระหว่างตัวประกอบธรรมดา กับตัวประกอบระดับมาสเตอร์พีซรางวัลออสการ์อย่างเขา 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook